ชั่วพริบตานี้เฉินเสียนเข้าใจซูเจ๋อเสียทีว่า เหตุใดต้องเผยด้านเด่นของตนต่อหน้าเธอ
เพราะยามนี้เธอก็ตกระกำลำบากอย่างน่าเวทนาเช่นกัน สิ่งเดียวที่เธอปรารถนาคือมิอยากให้ซูเจ๋อเห็นสภาพนี้
เธอจิบฝ่ามือของตัวเองใต้ชายเสื้อ บังคับให้ตัวเองลุกขึ้นยืน
ดังนั้นเธอกัดฟันพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นยืน ต่อด้วยขยับกายไปมองจ้าวเทียนฉีด้วยแววตาดื้อดึง
หน้าชาครึ่งซีกที่ไร้ความรู้สึกมีเลือดสดคาวหวานไหลริน
เฉินเสียนยกนิ้วเช็ดมุมปากอย่างไม่มีอันใดเกิดขึ้น หากมองดีๆจะรู้ว่ามุมปากแตกร้าวยังคงฉายชัดไปด้วยคราบเลือด
จ้าวเทียนฉียังคิดจะตบเธออีกหน ทว่าเธอยืนอกผายไหล่ผึ่งกล่าวว่า “หรือท่านมีฝีมือเพียงเท่านี้ เก่งแต่ทำร้ายสตรีไปวันๆ”
จ้าวเทียนฉีเอ่ยอย่างเหี้ยมโหด “ข้ามีกลเม็ดเด็ดๆอีกเยอะ ไม่ถือสาให้ท่านลิ้มลองอย่างละคราว”
เขาพึ่งเยื้องย่างมาด้านหน้าหนึ่งก้าว เฉินเสียนพลันทุบจานใบหนึ่งแตก ก่อนจะคว้าเศษมาชี้พร้อมกับตวาดใส่เขา “ท่านเก่งมากใช่หรือไม่ ท่านจริงไยมาเฉิดฉายความโอ่อ่าอยู่ที่นี่เล่า แน่จริงไปรบกับเย่เหลียงโน่น”
เฉินเสียนหัวเราะดังสนั่นหวั่นไหว “ท่านก็เป็นผู้แพ้คนหนึ่งนั่นแหละ หากพวกเจ้าไม่ใช่ถุงสุราห่อข้าว ไร้ปัญญาเช่นนี้ ต้าฉู่คงไม่แพ้ศึกแก่เย่เหลียง ยิ่งไม่มีทางถูกบีบให้เจรจาสงบศึกเด็ดขาด สักแต่พูดปกปักรักษาชาติ ยอมสละเลือดเนื้อ ช่างตอแหลสิ้นดี”
จ้าวเทียนฉีหยุดก้าวเดิน มองเฉินเสียนด้วยแววตามืดครึ้ม “แน่จริง เจ้าพูดอีกรอบสิ”
เฉินเสียนเชิดคางอย่างองอาจผึ่งผาย กล่าวทีละถ้อยคำ “ท่านว่าฉินหรูเหลียงเป็นเศษสวะ ในสายตาข้าท่านกลับเทียบเขาไม่ได้เลย อย่าได้ดูแคลนทูตที่ราชสำนักส่งมาเลย เพราะทูตต้องคอยตามเช็ดก้นให้แก่พวกขี้ขลาดหัวหดเป็นเต่าอย่างพวกเจ้า หากท่านชนะเย่เหลียงได้จริง เหตุใดจึงเป็นสถานการณ์เช่นทุกวันนี้?”
จ้าวเทียนฉีชูมือจะฟาดเธออีกครั้ง
เธอหัวเราะเยัยหยันพร้อมกับกล่าวต่อไป “ว่าไง มีแรงตบสตรี แต่ไม่กล้าไปรบกับเย่เหลียง? จักรพรรดิเย่เหลียงอยู่ในเขตชายแดน หากท่านสามารถจับกุมตัวได้ เท่ากับเป็นการพลิกสถานการณ์โดยแท้จริง เช่นนั้นต้าฉู่ก็ไม่ต้องมอบห้าคูเมืองให้อีกฝ่าย และไม่ต้องกล้ำกลืนไปเจรจากับเย่เหลียง หากยามนั้นมาถึง ท่านคือขุนนางผู้มีความดีความชอบ เฉินเสียนอย่างข้าเป็นผู้รู้กาลเทศะ ต้องปูเสื่อรอปรนนิบัติท่านโดยไม่อิดออด”
บัดนี้โทสะของจ้าวเทียนฉีผสมปะปนไปด้วยความทะเยอทะยาน
เฉินเสียนถามเขา “ทำไม ท่านกล้าหรือไม่? ไม่กล้าก็ยอมรับเสียเถอะ ไม่มีผู้ใดตำหนิท่าน” เธอเผยความดูหมิ่นทางสีหน้า พลางยิ้มกล่าวว่า “อย่างไรเสียแต่ไหนแต่ไรท่านมันก็เป็นได้แค่นี้อยู่แล้ว”
เฉินเสียนกล่าวจบ พลางหันกายอย่างกล้าแกร่ง
แม้นว่าอาภรณ์จะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบอาหาร หากแต่รัศมีความสูงส่งนั้นไม่เคยจืดจาง
จ้าวเทียนฉีผู้ยืนอยู่ด้านหลังเธอ ทันใดนั้นก็จับข้อมือเธอแล้วดึงกลับมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าฟังข้าให้ดี แค่เย่เหลียงเอง ข้ากล้าอยู่แล้ว รอให้ข้าจับตัวจักรพรรดิเย่เหลียงได้เมื่อไหร่ เจ้าไม่เพียงต้องปรนนิบัติข้าเท่านั้น เจ้ายังต้องปรนนิบัติให้พี่น้องของข้าทุกคนด้วย เจ้ากล้าหรือไม่?”
เฉินเสียนยิ้มอย่างชื่นมื่น พลางกล่าวว่า “หากพี่น้องทุกท่านสามารถสร้างผลงานได้ ข้าต้องปรนนิบัติให้ทั่วถึงอยู่แล้ว เหตุใดจะไม่กล้า?”
“เจ้าช่างพูดดีนัก รอดูเถอะ รอให้แม่ทัพอย่างข้ากลับมาแล้วจะมาจัดการเจ้า”
จ้าวเทียนฉีกลับไปยังที่นั่งหลัก เทสุราใส่ถ้วยเพื่อดื่มคารวะบรรดาหัวหน้าทหารทุกนาย จากนั้นก็ดื่มพร้อมกันอีกครั้ง ต่อด้วยปาถ้วยเปล่าลงพื้นจนแตกหักทุกใบ
เกิดเสียงเปรี๊ยะในบัดดล
จ้าวเทียนฉีสวมชุดเกราะเสร็จก็พาหัวหน้าทหารทุกนายเดินออกจากห้องโถงใหญ่
กลางวันจ้าวเทียนฉีนำเหล่าหัวหน้าทหารหารือเรื่องภูมิทัศน์ จัดกำลังทหาร ซึ่งก่อนหน้านั้นคิดว่าจะเตรียมการให้รัดกุมก่อนแล้วค่อยลงมือ
ยามนี้จักรพรรดิเย่เหลียงอยู่เขตชายแดน ซึ่งหาโอกาสดีเช่นนี้ยากมาก หากเทียบกับเจรจาสงบศึก จ้าวเทียนฉียิ่งไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอย
หากจับตัวจักรพรรดิเย่เหลียงสำเร็จ อย่าว่าแต่เรื่องชดใช้ห้าเมืองเลย กระทั่งโค่นล้มเย่เหลียงทั้งแผ่นดินยังทำได้เลย
ก่อนหน้านี้จ้าวเทียนฉีวางแผนจะลงมือในวันเจรจาสงบศึก
ทว่า ยามนี้เขาถูกสตรีชี้หน้าด่าทอว่าเขาเป็นเต่าหัวหด ไม่กล้าไปรบกับเย่เหลียง
ตลกสิ้นดี เขาอยู่มาถึงปูนนี้ยังเขียนคำว่า “ไม่กล้า” ไม่เป็นเลย
ทหารอย่างจ้าวเทียนฉีที่หุนหันพลันแล่น เวลาจะกระทำอะไรสักอย่างมักไม่คำนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย อดีตเคยชนะสงครามเย่เหลียง ซึ่งเขาก็มีส่วนร่วมในผลงานครั้งนั้น เขาคิดว่าเย่เหลียงยังเป็นเย่เหลียงที่ผ่านมา คิดว่าตัวเองแก่งกาจเสมือนอดีต
จ้าวเทียนฉีรู้สึกเคียดแค้นในใจ รอให้เขาจับตัวจักรพรรดิเย่เหลียงกลับมาเมื่อไหร่ มีอันต้องทรมานสตรีผู้นี้ให้ตายทั้งเป็น
เมื่อออกไปมองท้องฟ้า คืนนี้มืดมน ทั้งยังมีลมกระโชกแรง คาดว่าคงเป็นโอกาสอันดีงามในการบุกโจมตีในยามวิกาล มีคำกล่าวที่ว่า เลือกวันไม่สู้วันที่เหมาะสม มันคือเช่นนี้นี่เอง
เหล่ารองแม่ทัพข้างกายจ้าวเทียนฉีต่างดื่มสุรามา เมื่อสุราถึงท้อง ความกล้าก็บังเกิด คิดแต่สร้างผลงานโดยไม่คำนึกอะไรทั้งนั้น
ได้ยินจ้าวเทียนฉีประกาศจะลอบทำร้ายคืนนี้ พวกรองแม่ทัพต่างพร้อมใจกันเห็นด้วย
ทหารรวมตัวกันในเมืองเสวียนอย่างเงียบๆ เพื่อจะได้ย่องออกจากประตูเมืองในยามราตรี มุ่งหน้าสู่ค่ายศัตรู
จากห้องโถงใหญ่ที่กำลังร้องรำทำเพลงอยู่ดีๆ หลังผ่านจุดเปลี่ยนที่แสนชลมุน ห้องโถงใหญ่ก็กลายเป็นเงียบงันวังเวงขึ้นมา
พรมแดงเต็มไปด้วยคราบมัน หากแต่เปลวไฟของเทียนไขยังคงพริ้วไหวไปมา
แม่ทัพโฮ้วได้สติ แต่ในใจยังคงตื่นตระหนกตกใจ
หากการวาจาที่เฉินเสียนกล่าวในกระโจมค่ายตอนกลางวัน ถือเป็นการเปิดหูเปิดตาของเขา งั้นความกล้าหาญของเธอในคืนนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ศรัทธาอย่างเปรมปรีดิ์
เธอไม่ใช่องค์หญิงในอดีตที่ต้องมีคนทะนุถนอมปรนเปรออีกต่อไป
อยากลุกขึ้นมายืนอย่างสง่าอีกครั้ง นางจำเป็นต้องพึ่งตัวเอง
คนรอบกายทำได้เพียงออกความคิดเห็นแก่เธอเท่านั้น หากอยากก้าวไปถึงเส้นชัย ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา เช่นนั้นก็จำเป็นต้องก้าวทีละขั้นด้วยตัวเอง
รัศมีความสูงศักดิ์โอหัง และความกล้าหาญยังคงติดตัวนางเสมอ ไม่มีใครทำลายความจริงข้อนี้ได้
แม่ทัพโฮ้วตื้นตันเหลือคณานับ น้ำตารินไหลอย่างท่วมท้น
องค์หญิงเติบโตเฉกเช่นวันนี้ คุ้มค่าที่อดทนมานานแรมปี
แม่ทัพโฮ้วเอ่ยว่า “กระหม่อมส่งอค์หญิงเสด็จกลับพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเหนื่อยล้า เธอโบกมือพร้อมกับเอ่ยว่า ” ไม่ต้อง หลังพรุ่งนี้แม่ทัพยังต้องสะสางเรื่องภายในค่ายมากมาย ท่านแม่ทัพต้องเตรียมการแต่เนิ่นๆ”
สิ้นเสียงเธอก็สะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่
แสงไฟสะท้อนอยู่บนแผ่นหลังอันดื้อรั้นและหนักแน่นของเธอ
เธอจับสัมผัสมุมปากที่บวมขึ้น พลางอดสูดลมหายใจเข้ายาวๆไม่ได้
แม้เธอไม่หันหน้ากลับไปก็รู้ดีว่าซูเจ๋อย่อมตามหลังเธออยู่
เธอยอมเดินไปเบื้องหน้าเรื่อยๆอย่างไม่เหลียวหลัง สภาพยับเยินของตน หากหันไปให้เขาเห็นก็ไม่รู้ควรพูดเช่นไรดี
ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมตลอดทาง
พอกลับมาถึงเรือนอันเงียบกริบ
“อาเสียน”
สุ้มเสียงของซูเจ๋อแผ่วเบามาก คล้ายกับย่อยสลายเมื่อยามแตะต้อง
เฉินเสียนหยุดก้าวเดิน เอ่ยอย่างไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “ข้าเข้าไปชำระกายเสียก่อน มีอะไรรอข้าออกมาก่อนค่อยว่ากันทีหลัง”
เขายืนอยู่ด้านหลังเธอ ลมหายใจที่เบาบางคล้ายมีไอเย็นส่งมาสัมผัสบริเวณคอของเธอ
จากนั้นซูเจ๋อยื่นมือไปจับแขนของเธอ พลางดึงนางสู่อ้อมแขน
ท่าทางโอบกอดเธอของเขาค่อยๆแน่นขึ้นจนหายใจไม่สะดวก
เฉินเสียนยืนแข็งทื่อกับที่ ปล่อยให้เขาก้มหน้ามาพิงอยู่บนบ่าเธอ
เธอเอ่ยเสียงแหบพร่า “ซูเจ๋อ อย่าแตะข้าได้หรือไม่ อาภรณ์ข้าเต็มไปด้วยคราบ”