ได้ยินมาว่าหลังร่มเงานั้นมีลำธารสายหนึ่งไหลผ่าน เหล่าองครักษ์ผลัดกันไปที่ลำธารเพื่อดื่มน้ำและชำระล้างทำความสะอาด หลังจากนั้นความเหนื่อยล้าจึงคลายลง ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ชิงซิ่งหยิบอาหารแห้งออกจากห่อผ้าแล้วนำไปย่างบนไฟผ่านไปสักพักหนึ่งจึงค่อยส่งกลิ่นหอมออกมาฟุ้งกระจาย
เพลิงไฟส่องประกาย ส่องสะท้อนเข้าบนใบหน้าของทุกคน
เฉินเสียนพูดกับเหล่าองครักษ์อย่างกะทันหันว่า “พวกเจ้าเคยมีประสบการณ์จับกวางที่อยู่ในป่าภูเขาแห่งนี้หรือไม่?กินแต่อาหารแห้ง ข้ารู้สึกว่ามันไม่มีรสชาติ อยากจะกินเนื้อบ้าง”
หาได้ยากที่องค์หญิงจะพูดขออย่างชัดเจนแบบนี้ เหล่าองครักษ์มีที่ไหนที่จะไม่พอใจเหตุผล
เดินทางอย่างหมดเรี่ยวแรงกันมาตั้งหลายวัน ขณะนี้มันก็เป็นช่วงโอกาสที่ดีที่จะแยกย้ายกันทำประโยชน์
ดังนั้นหัวหน้าองครักษ์จึงแบ่งองครักษ์ออกเป็นสองกลุ่ม คืนนี้จะออกไปล่ากวางกัน เพื่อเพิ่มความสนุกสนานของทุกคน เฉินเสียนจึงนำตั๋วเงินออกมา แล้วพูดว่า “ ใครล่ากวางได้ ข้ามีรางวัลให้ ”
ทุกคนหันหลังต่างก็กระตือรือร้นใช้มือคลำหาทุกหนทุกแห่ง เหลือเพียงองครักษ์รักษาการณ์แค่ไม่กี่คน
ชิงซิ่งนำใบไม้มาห่ออาหารแห้งที่ย่างสุกแล้ว วางไว้ข้างกายของเฉินเสียน แล้วนวดคลึงไปที่แขนที่ปวดเมื่อย พูดอย่างคับแค้นข้องใจว่า “บ่าวคือคนที่จักรพรรดิส่งมาให้รับใช้ข้างกายองค์หญิง องค์หญิงไม่ให้บ่าวรับใช้ บ่าวก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปรับใช้ข้างกายคนอื่นเพคะ ”
“รองท่านฑูตเฮ่อเป็นคนอื่นรึ?” เฉินเสียนพูดอย่างเย็นชา
ชิงซิ่งพูด “เป็นคนไร้เหตุผล บ่าวรับมือไม่ไหวจริงๆเพคะ”
เฉินเสียนพูด “เจ้าคือคนที่จักรพรรดิส่งมา เขาก็เป็นคนที่จักรพรรดิส่งมา รองท่านฑูตคือสถานะที่อยู่เมืองหลวงเป็นคนที่มีเกียรติสูง เจ้าคิดว่าเขาไม่สมควรได้รับการรับใช้จากเจ้า?”
“บ่าวมิกล้า บ่าวไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเพคะ ”
“ถ้าตอนนี้เจ้าทำผิดต่อเขา เมื่อกลับไปเมืองหลวง เขาจะต้องได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เจ้าจะได้อะไรรึ?ถ้าเขาทูลขอให้จักรพรรดิลงโทษทรมานเจ้า เจ้าคิดว่าจักรพรรดิจะลังเลตัดสินใจเพื่อบ่าวตัวน้อยๆอย่างเจ้าเชียวรึ?”
คำพูดของเฉินเสียนได้ไปเตือนสติให้แก่ชิงซิ่ง
เธอได้รับคำบัญชาจากจักรพรรดินั้นก็จริง แต่เฮ่อโยวนั้นเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวมีชื่อเสียงและมีอำนาจ เธอไม่สามารถกล่าวหาเขาได้
เฉินเสียนพูด “ดังนั้น คนเราไม่ใช่เป็นห่วงแค่ปัจจุบัน แต่ต้องวางแผนในระยะยาวด้วย แล้วข้าก็ยังไม่อยากให้เจ้าต้องมาทำงานหนักที่นี่ ต่อไปถ้าเขาให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ต้องทำตามเขา ไม่เช่นนั้นเมื่อกลับไปที่เมืองหลวง เจ้าจะใช้ชีวิตได้ยากลำบาก ”
“ขอบพระทัยองค์หญิงที่ชี้แนะ บ่าวเข้าใจแล้วเพคะ”
ไม่นาน องครักษ์ก็ล่ากวางมากลับมาได้ ต่างก็ได้รับรางวัลจากเฉินเสียนกันไป
พวกเขานำเนื้อกวางไปล้างทำความสะอาดที่ลำธาร แล้วนำกลับมาย่างบนไฟ
เฉินเสียนหรี่ตาแล้วเหลือบมองไปยังเนื้อกวางที่ส่งกลิ่นหอมและชุ่มไปด้วยน้ำมัน คิดว่าคืนนี้คงเป็นมื้ออาหารที่ดี
เฮ่อโยวตื่นมาได้เวลาพอดี ตอนที่เนื้อกวางย่างกำลังจะสุกแล้ว เขายืดช่วงเอว ในขณะตาก็ยังคงปิดอยู่ ปากก็พูดขึ้นว่า “ย่างอะไรกันทำไมถึงหอมขนาดนี้”
องครักษ์ตอบว่า “รองท่านฑูตตื่นมาได้เวลาพอดี พวกเราพี่น้องล่าไก่ฟ้าและล่ากระต่ายมาได้นิดหน่อย เพื่อเป็นมื้ออาหารพิเศษสำหรับองค์หญิงและรองท่านฑูต ”
เพราะว่ามีเนื้อกวางมากเกินพอ แค่เฉินเสียนและเฮ่อโยวสองคนก็คงกินไม่หมด จึงเอาไว้แค่สองชิ้น ที่เหลือให้ทุกคนได้แบ่งกันกิน
ยังมีองครักษ์ที่ดูแลชิงซิ่งเป็นพิเศษ เก็บเอาไว้ให้เธอกินด้วย
แต่เธอยังต้องดูแลเฉินเสียนกินให้อิ่มก่อน แล้วเธอจึงค่อยกินของตัวเอง
เดิมทีเฉินเสียนไม่ต้องการให้เธอมารับใช้ แต่เป็นเฮ่อโยว เพิ่งตื่นหรี่ตามองไปที่กองไฟ จึงกวักมือเรียกชิงซิ่งแล้วพูดว่า “มามามา มานี่ เอาเนื้อไก่ฟ้าอันเล็กมาให้คุณชายน้อยชิมหน่อย ”
ชิงซิ่งมองไปเฉินเสียน เฉินเสียนพูด “ข้าอยู่ที่นี่จัดการเองได้ เจ้าไปหาเขาไปเถอะ”
ชิงซิ่งนำเนื้อกวางที่เพิ่งย่างสุกแล้วไปข้างๆเฮ่อโยว แล้วส่งให้เขา
เฮ่อโยวชำเลืองมา แล้วพูดว่า “คุณชายน้อยกลัวมือเลอะ เจ้าป้อนหน่อย”
ชำเลืองมองไปที่ใบหน้าอันดูมีความสุขอย่างกวนๆของเขา ทำให้ชิงซิ่งอยากจะเอาไม้ไปตีเขาให้ตาย
แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ต้องปฏิบัติตาม ทำได้เพียงแค่นั่งยองๆลงไป แล้วใช้มือฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆป้อนให้เฮ่อโยว
เมื่อเฮ่อโยวอยากจะดื่มน้ำ ชิงซิ่งก็ต้องเอาน้ำไปส่งถึงปากเขา เมื่ออยากจะกินขนม ชิงซิ่งก็ต้องป้อนขนม
เฉินเสียนเหลือบมองเฮ่อโยวที่เหมือนจะบีบเค้นให้ชิงซิ่งจะตายเอาให้ได้ ยิ่งกว่านั้นเขาดูเพลิดเพลินกับตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะนึกขำ
นางกำนัลน้อยคนนี้ ไหนเลยจะมาเป็นคู่ปรับกับคุณชายเจ้าสำอางค์
เฮ่อโยวพูดถูก มอบชิงซิ่งให้กับเขาถึงจะเหมาะสม
ครั้งก่อนเป็นชิงซิ่งถูกใช้อำนาจบังคับ ครั้งนี้เฉินเสียนเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง
เมื่อถึงกลางดึก องครักษ์ผลัดกันเปลี่ยนเข้าเวรเฝ้ายาม เพื่อรักษาความปลอดภัย คนที่ไม่ได้ทำหน้าที่เฝ้ายามก็รวมกลุ่มกันนอนลงบนพื้น
เดิมทีเฉินเสียนต้องกลับไปนอนที่รถม้า เพียงแต่ซูเจ๋ออยู่ในรถม้าของเธอ ถ้าคืนนี้เธอกลับไปนอนบนรถม้าก็คงไม่สะดวก
แล้วก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ซูเจ๋อตื่นหรือยัง ถ้าตื่นแล้ว ก็น่าจะได้กินอะไรสักหน่อย
เฉินเสียนนำโถน้ำ รวมทั้งขากระต่ายและอาหารแห้ง แล้วลุกเดินไปที่รถม้า
ถึงจะอยู่รอบกายเฮ่อโยวแต่ชิงซิ่งเห็นเหตุการณ์นั้น จึงรีบลุกมาแล้วพูดว่า “องค์หญิงอยากพักผ่อนแล้วใช่หรือไม่เพคะ?ให้ปลุกใต้เท้าซูให้ตื่นก่อนดีหรือไม่เพคะ?”
เฉินเสียนพูด “ไม่ต้อง ใต้เท้าซูยังไม่ค่อยสบาย ให้เขาได้นอนพักสักครู่ ข้านำของกินไปให้ แล้วจะได้เอาพรมออกมาปูนอนด้วย”
ชิงซิ่งพูด “อย่างนั้นให้บ่าวไปแทนดีกว่าเพคะ ”
เฉินเสียนไม่ได้คิดว่าจะเอาของที่อยู่ในมือให้กับนาง เพื่อที่จะให้นางเอาไปให้ซูเจ๋อกิน
เธอแค่คิดว่า เรื่องอย่างนี้ให้…… ผู้หญิงคงจะไม่เหมาะ
เฉินเสียนจึงหันไปเฮ่อโยวส่งสายตาหยอดอย่างธรรมดา ตอนนั้นเฮ่อโยวก็เข้าใจทันทีแล้วจึงเริ่มตะโกนออกมาว่า“เฮ้ย นางกำนัลน้อย คุณชายน้อยจะเข้านอนแล้ว!”
ชิงซิ่งรู้สึกน่ารำคาญจริงๆ ตอบกลับเสียงแข็งว่า “ง่วงแล้วก็นอนเองได้ บ่าวจะไม่ไปกวนรองท่านฑูต”
เฮ่อโยวเอามือขึ้นมาตบไปที่หลังมืออีกข้าง แล้วพูดว่า “คิมหันตฤดูแล้วยุงเยอะมาก เจ้ามาพัดยุงให้คุณชายน้อยหน่อย!”
เพียงถ้าชิงซิ่งไม่ไป เฮ่อโยวจะต้องก่อกวนไม่หยุดเป็นแน่
ชิงซิ่งไม่มีทางเลือก ฟังเฉินเสียนพูด “ไปพัดยุงให้เขาไป ไม่อย่างนั้นคืนนี้ก็คงไม่ได้นอนกันแน่”
“แต่ว่าองค์หญิง……”
เฉินเสียนพูด “ไม่เป็นไร ข้าเข้าไปดูอาการของใต้เท้าซู แล้วเดี๋ยวออกมานอนข้างนอก”
ชิงซิ่งได้แต่เพียงเดินไปหาเฮ่อโยวอย่างไม่ยินดี
เมื่อเฉินเสียนมาถึงรถม้า ก็ยังได้ยินเสียงเฮ่อโยวพูดบ่นอยู่เลือนรางว่า “ให้เจ้าพัดเพิ่งจะมีลมออกมานิดเดียว เจ้าไม่ได้กินข้าวหรือไง?เมื่อครู่ก็เห็นว่าเจ้ากินข้าวแล้วไม่ใช่รึ กินเยอะกว่าใครด้วย!”
“ท่าน!” ชิงซิ่งอดทนไม่ได้ แต่ก็ต้องอดทน “บ่าวก็มีแรงแค่นี้ ถ้ารองท่านฑูตไม่พอใจ ก็ไปเรียกองครักษ์มาพัดให้สิ!”
เฮ่อโยวพูดด้วยความโกรธ “ไม่ ข้าจะให้เจ้าพัดให้”
เฉินเสียนเข้าไปในรถม้า ในรถนั้นมืดสนิท เธอค่อยๆคลำเข้าไป แล้วถามว่า “ซูเจ๋อ ท่านตื่นหรือยัง?”
เสียงแหบของซูเจ๋ออย่างสะลึมสะลือ ทำให้คนฟังรู้สึกลุ่มหลง “อืม เจ้ากำลังคลำอะไรอยู่?”
เฉินเสียนรีบยกมืออกทันที เมื่อครู่นี้จับไปโดนช่วงเอวของซูเจ๋อ จึงรีบพูดทันทีว่า “ข้าขอโทษ มันมืดข้ามองไม่เห็น”
ซูเจ๋อพูด “ท่านไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้โทษท่าน”
เฉินเสียนรู้สึกว่าเขากำลังนั่งพิงอยู่ในที่มืดอย่างเฉื่อยชา
“อาเสียน เข้ามานั่งข้างใน”