เฉินเสียนหันกลับไปเห็นจี้อายุยืนของเจ้าน่องน้อยและพูดขึ้นมาอีกว่า “นำสิ่งนี้ออกไปด้วย” ว่าแล้วเธอจึงก้มลงไปปลดจี้อายุยืนออก
ใครจะคิดว่าอยู่ๆ เจ้าน่องน้อยจะตื่นขึ้นมาตอนนี้ เขาใช้มือเล็กๆ ป้อมๆ จับจี้อายุยืนไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
แม่นมซุยรู้ว่าเธอไม่อยากเห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับซูเจ๋ออีก เมื่อเห็นเช่นนี้นางจึงเอ่ยว่า “องค์หญิงเพคะ บ่าวเห็นแล้วคิดว่าเจ้าน่องน้อยคงจะชอบของชิ้นนี้ อีกทั้งการสวมจี้อายุยืนยังช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายและช่วยให้อยู่เย็นเป็นสุขนะเพคะ”
เจ้าน่องน้อยไม่ยอมปล่อยมือ เฉินเสียนจำต้องยอมแพ้
พอตกดึกเฉินเสียนก็เข้านอน อวี้เยี่ยนช่วยกางผ้าม่านคลุมเตียงให้เธอ
เธอตะแคงข้างหันไปทางเจ้าน่องน้อย เธอเล่นกับฝ่ามือเล็กป้อมนั้นพลางกล่าวว่า “อวี้เยี่ยน เจ้าเองก็ไปนอนเถอะ”
เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้อง เธอจึงจับจี้อายุยืนที่แขวนอยู่บนชุดของเจ้าน่องน้อย มันเรียบลื่นและเย็นสบาย เธอใช้ปลายนิ้วลูบเบาๆ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร จากที่ไม่มีใจก็เปลี่ยนเป็นมีใจ
ความไม่ตั้งใจต่างๆ นานาที่ผ่านมาในอดีต เมื่อนึกถึงในตอนนี้ ทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้นมาในใจของเฉินเสียน
ความน่ารื่นรมย์ของเขา แขนเสื้อที่อ่อนนุ่มของเขา กลิ่นหอมจางๆ ของไม้กฤษณา ทั้งยังมีรอยยิ้มและไออุ่นของอ้อมกอด ความอ่อนโยนที่ฝ่ามือ คิดแล้วก็รู้สึกเหมือนได้กลับไปในวันวาน
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่า การลืมดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากกว่าที่เธอคิด
แต่นั่นไม่สำคัญ วันเวลาจะค่อยๆ ผ่านไป ตราบใดที่ไม่เห็นเขาอีกต่อจากนี้ ภาพต่างๆ ที่อยู่ในความทรงจำจะค่อยๆ เลือนรางไปเอง
ในตอนกลางคืนเฉินเสียนมักจะนอนไม่หลับ
เธอมักจะฝันถึงเรื่องที่แปลกประหลาดวุ่นวายมากมาย
เฉินเสียนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เธอลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจและยังตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าของเธอมีเลือดฝาด เธอเอื้อมมือไปแตะหน้าผากซึ่งมีเหงื่อผุดพราย ปลายนิ้วของเธอเย็นเยียบ ปากก็พึมพำออกมาว่า “ซูเจ๋อ…”
เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอจึงเห็นว่าภายในห้องว่างเปล่า เจ้าน่องน้อยยังคงหลับสบาย
เธอมึนงงสับสนเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเธอเห็นเขาในความฝัน แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยฝันถึงเขา
เฉินเสียนลุกจากเตียง สวมรองเท้าและเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เธอนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนั้นแล้วมองผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองในกระจก
เธอรวบผมอย่างลวกๆ และเปิดลิ้นชักดูทีละช่องราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง ทว่าเธอหาจนทั่วแต่ก็หาไม่พบ
ลิ้นชักตกลงมาบนพื้นจนเกิดเสียงดัง
แม่นมซุยค่อนข้างตื่นง่าย ตอนนี้ถึงเวลาให้นมเจ้าน่องน้อยพอดี เมื่อเข้ามาเห็นความยุ่งเหยิงภายในห้อง นางก็อดถามอย่างตกใจไม่ได้ว่า “องค์หญิงกำลังหาอะไรอยู่หรือเปล่าเพคะ”
เฉินเสียนตกใจตื่นจากภวังค์ เธอวางมือบนหน้าผากก่อนจะถอนหายใจและบอกว่า “ไม่มีอะไร ไม่ได้หาอะไร ข้าแค่ฝันร้ายจึงนอนไม่หลับ”
อวี้เยี่ยนเป็นคนดูแลกิจวัตรประจำวันทุกอย่างของเฉินเสียน แม่นมซุยเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงไปปลุกอวี้เยี่ยนขึ้นมา
อวี้เยี่ยนมองสภาพห้องที่ยุ่งเหยิง จากนั้นก็มองเฉินเสียนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและถามอย่างห่วงใยว่า “องค์หญิงกำลังหาอะไรอยู่เพคะ บ่าวจะได้ช่วยหา”
เฉินเสียนส่ายหน้าและกล่าวซ้ำเหมือนเดิมว่า “ข้าฝันร้าย”
หลังจากแม่นมซุยให้นมเจ้าน่องน้อยเสร็จ นางจึงออกไปและทิ้งให้อวี้เยี่ยนอยู่ในห้อง
เฉินเสียนเอนกายหนุนหมอนและนอนตะแคงหันหลังให้นาง
ผ่านไปครู่หนึ่งอวี้เยี่ยนก็มาหมอบอยู่ที่เตียงและพูดขึ้นว่า “นี่คือสิ่งที่องค์หญิงกำลังมองหาใช่ไหมเพคะ”
เฉินเสียนชะงักนิดหนึ่ง เธอมองขลุ่ยไม้ไผ่ที่อวี้เยี่ยนส่งมาให้
ยังคงเป็นขลุ่ยที่เธอมักจะพกติดตัวก่อนหน้านี้ ที่ด้านบนมีรอยเส้นที่ชัดเจน เล็กกะทัดรัดและประณีตสวยงาม
เธอเอื้อมมือไปคว้ามันไว้ถือไว้ในมือ
อวี้เยี่ยนกล่าวว่า “องค์หญิงตรัสว่าไม่อยากเห็นมัน ดังนั้นบ่าวจึงวางมันไว้ที่ใต้ชุดกระโปรงขององค์หญิง”
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่อวี้เยี่ยนจึงกล่าวว่า “บ่าวคิดว่าองค์หญิงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะขีดเส้นแบ่งที่ชัดเจนกับเขา”
“ใช่ เพียงแต่ข้าเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่ามันยากนักที่จะลืมใครสักคนให้ได้อย่างแท้จริง”
อวี้เยี่ยนถามว่า “องค์หญิงอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องในอดีตของใต้เท้าซูหรือไม่เพคะ หากองค์หญิงต้องการ บ่าวเล่าให้องค์หญิงฟังได้ บางทีถ้าได้ฟังแล้ว องค์หญิงอาจจะไม่ชอบเขาอีกต่อไป”
นางเป็นสาวใช้ที่อยู่ใกล้ชิดเฉินเสียน นายและบ่าวจึงเข้าใจจิตใจของกันและกันดี
นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามีเรื่องใดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจของเฉินเสียนในเวลานี้
อวี้เยี่ยนเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตนเองนั้นโง่มาก
ตั้งแต่ตอนที่องค์หญิงบอกนางว่าเธอไม่มีทางสนใจใต้เท้าซู นางควรตระหนักได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าองค์หญิงสนใจเขา
ช่วงหลายวันมานี้องค์หญิงทำให้ตัวเองยุ่งอยู่กับงานเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองมีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น
แต่ยิ่งเธอเก็บกดไว้เช่นนี้ ผลลัพธ์ก็ยิ่งเป็นไปในทางตรงข้าม
บางสิ่งบางอย่างอย่างเช่นความรู้สึก ต่อให้พยายามกดมันไว้มากแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็จะสะท้อนกลับมาแรงยิ่งกว่า
ด้วยเหตุนี้เฉินเสียนจึงกล่าวอย่างถือทิฐิว่า “เจ้าไม่ต้องเล่า ข้าไม่ฟัง”
อวี้เยี่ยนสะอึกสะอื้น นางทั้งทุกข์ใจและจำต้องกล่าวว่า “องค์หญิง พระองค์จะทรงดึงดันเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ ถ้าพระองค์… ถ้าพระองค์ชอบเขาจริงๆ ในอนาคตจะไม่มีทางให้เดินไปต่อ บ่าวไม่ได้โกหกจริงๆ นะเพคะ!”
เฉินเสียนปิดหูอย่างดื้อดึงและกล่าวว่า “ข้าไม่อยากฟังว่าอดีตของเขาเป็นอย่างไร แค่คำเดียวข้าก็ไม่อยากรู้”
ซูเจ๋อที่เธอรู้จักครั้งแรกคือคนที่ถือดาบไว้ในมือและบุกเดี่ยวไปที่รังของโจรภูเขาเพื่อช่วยเธอ มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอดีตของซูเจ๋อ
ในอดีตเขาเป็นคนแบบไหน เธอไม่ได้สนใจเลยจริงๆ
อีกทั้งเรื่องระหว่างพวกเขาในอดีตก็เป็นความยุ่งเหยิงระหว่างอดีตเฉินเสียนกับเขา
เธอไม่อยากได้ยินอะไรเหล่านั้น
อวี้เยี่ยนเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “องค์หญิง พระองค์เคยเลือกแม่ทัพฉินผิดมาแล้วครั้งหนึ่ง อย่าทรงเลือกคนผิดอีกนะเพคะ”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “อวี้เยี่ยน ข้าไม่ต้องการตัดสินใครจากอดีตและลบล้างความรู้สึกดีที่มีต่อเขา ข้าต้องการให้ตัวเองลืมได้อย่างแท้จริง ข้าจะต้องทำให้ได้ เพียงแต่ข้าต้องให้เวลากับมัน”
แต่เขามีบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้ เคยมอบอ้อมกอดที่อุ่นสบายให้เธอ มอบรอยยิ้มแก่เธอ มอบความอ่อนโยนของเขาให้แก่เธอ เล่าเรื่องราวของเขาให้เธอฟัง และเคยมอบ…จูบที่ลึกซึ้งให้เธอในคืนวันที่หิมะโปรยปราย
แม้กระทั่งในยามค่ำคืนที่จวนตระกูลเฮ่อ เขาก็โอบกอดเธอไว้อย่างแนบแน่น
เฉินเสียนหลับตาลง “ข้าจะลืมมันได้อย่างแน่นอน”
หลังจากนั้นก็ได้ยินมาว่าเฮ่อโยวหาตัวฆาตกรที่วางยาพิษฮูหยินใหญ่จนพบ
ฆาตกรคือเอ้ออี๋เหนียงแห่งจวนตระกูลเฮ่อ ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ของพี่ชายต่างมารดาของเฮ่อโยว
เฮ่อโยวหาคนมาปลอมตัวเป็นฮูหยินใหญ่และร้องโหยหวนวนเวียนอยู่ในจวนทุกค่ำคืน โดยเฉพาะในเรือนของเอ้ออี๋เหนียง
ทุกคนในจวนต่างคิดว่าฮูหยินใหญ่ฟื้นคืนชีพ
เอ้ออี๋เหนียงผู้นั้นรู้สึกสำนึกในบาปที่ทำและถูกทำให้ตกใจจนขาดสติ ท้ายที่สุดนางก็ตกใจจนเลอะเลือนและพลั้งปากออกมา
ตอนนั้นเฮ่อเซียงได้ยินกับหูของตัวเอง
ในที่สุดเอ้ออี๋เหนียงก็ถูกนำตัวออกจากจวน และต้องย้ายออกไปพร้อมกับพี่ชายต่างมารดาของเฮ่อโยว พี่ชายต่างมารดาของเขายังหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้สืบทอดมรดกของบิดา ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้
นอกจากนี้ที่ภายนอกยังมีเรื่องเกี่ยวกับชื่อเสียงของซูเจ๋อแพร่กระจายออกไปอย่างไม่มีหลักฐาน
แน่นอนว่าเมื่ออวี้เยี่ยนได้ยินว่าเป็นเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับซูเจ๋อ นางย่อมต้องสืบถามมาให้ชัดเจนและนำสิ่งที่ไม่ดีมาเล่าให้เฉินเสียนฟัง
แน่นอนว่าสิ่งที่นางได้ยินมาล้วนเป็นสิ่งที่ไม่น่าฟัง
อวี้เยี่ยนเพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วในเรือนของซูเจ๋อมีภรรยาอยู่แล้วถึงสองคน นางจึงตำหนิอย่างโกรธเคืองว่า “เห็นภายนอกเป็นคนเช่นนั้น แท้จริงแล้วเขาก็เป็นแค่พวกมักมากในกาม”
อวี้เยี่ยนหันไปและเอ่ยอย่างกระตือรือร้นต่อว่า “เพียงแต่ว่า ต่อให้ในเรือนจะมีภรรยาหน้าตาสะสวยกี่คน เขาก็ไม่มีทางได้เสวยสุข องค์หญิง องค์หญิงรีบลืมเขาเถิดเพคะ บ่าวได้ยินมาว่าเขาไม่ได้ชอบสตรี เขาเป็นพวกไม้ป่าเดียวกัน!”