เสียงฝีเท้านี้แตกต่างจากเสียงฝีเท้าของซูเจ๋อตรงที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เบา ทว่าแฝงไปด้วยความหนักแน่นและกดดัน จะต้องเป็นคนของจวนอัครเสนาบดีอย่างแน่นอน
สีหน้าของซูเจ๋อยังคงนิ่งสงบ ทันใดนั้นวินาทีถัดมาเขาก็ดึงเฉินเสียนไปที่ประตูโถงไว้ทุกข์อย่างรวดเร็วโดยซ่อนตัวอยู่มุมกำแพงด้านข้าง
การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ไม้ประดับที่อยู่ข้างๆ ถูกปัดจนเกิดเสียงดังสวบสาบ
เฉินเสียนไม่ปรารถนาจะให้ซูเจ๋อเข้ามาใกล้เช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงผลักเขาพลางกัดฟันพูดเบาๆ ว่า “ไม่ว่าจะไปไหนทำไมท่านจึงทำตัวเหมือนเป็นวิญญาณตามติดไปทุกที่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน และข้าก็ไม่อยากพบท่าน!”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ข้ามาเตือนท่านว่าเฮ่อเซียงมาที่นี่แล้ว จนถึงตอนนี้ท่านยังคิดจะผลักข้าออกไปอยู่ไหม”
เฉินเสียนชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ก็ได้ ข้าจะไม่ผลักท่านออกไป แต่ในเมื่อเขายังไม่เข้ามาท่านก็ปล่อยข้าไปสิ ตกลงไหม เฮ่อโยวยังอยู่ข้างในนั้น”
“ไม่ ข้าไม่ปล่อย” ซูเจ๋อกั้นเธอไว้ในมุมกำแพง “ถ้าท่านเข้าไป ท่านจะถูกเฮ่อเซียงสกัดไว้ในโถงไว้ทุกข์จนออกมาไม่ได้ มันจะเป็นผลเสียหากเขาเห็นว่าท่านแอบเข้ามาในเรือนของเขากลางดึกเช่นนี้”
“แล้วเฮ่อโยวล่ะ!”
ซูเจ๋อเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “เขาเป็นบุตรของเฮ่อเซียง และเฮ่อเซียงก็รักเขาเสมอมา แม้แต่เสือที่ดุร้ายก็ยังไม่กินลูกของตัวเอง เรื่องระหว่างพ่อกับลูก ควรให้พ่อลูกแก้ไขปัญหากันเอง ท่านช่วยเฮ่อโยวมาถึงขนาดนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว”
เฉินเสียนผลักเขาออกไปไม่ได้ ด้วยความรู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างมากเธอจึงกัดลงไปที่คอของซูเจ๋อ
แต่มุมกำแพงตรงนี้คับแคบมาก การซ่อนเฉินเสียนเพียงคนเดียวไม่ใช่ปัญหา ทว่าซ่อนซูเจ๋อได้ไม่มิด
ตัวของซูเจ๋อครึ่งหนึ่งยังคงอยู่ข้างนอก
ทันใดนั้นประตูห้องโถงกลางก็เปิดออก
เฮ่อเซียงเดินเข้ามาจากด้านนอก
เฉินเสียนรู้ว่าเธอยังออกไปเปิดเผยตัวต่อหน้าเฮ่อเซียงตอนนี้ไม่ได้ และซูเจ๋อก็เช่นกัน
ถ้าถูกเฮ่อเซียงพบเข้า ทั้งซูเจ๋อและเธอจะหนีไม่พ้น
ทั้งสองคนอยู่ในที่เดียวกัน ทั้งยังลักลอบเข้ามาในเรือนของเฮ่อเซียงในยามวิกาล
ครั้นแล้วแทบจะทันทีที่เฮ่อเซียงเปิดประตูเข้ามา เฉินเสียนก็ยอมปล่อยปากที่กัดคอของเขาและดึงเขาเข้ามาหาตัวอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของทั้งสองแนบชิดกันและพอจะซ่อนเร้นอยู่ภายใต้เงามืดของแสงไฟที่หน้าประตูได้
เฉินเสียนกลั้นหายใจ ไม่รู้เลยว่าหัวใจของใครที่กำลังเต้นอยู่ในอกของเธอ
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ซูเจ๋อกดเธอไว้ในซอกมุมและกอดเธอไว้แน่น
เธออยากจะสูดลมหายใจเข้าใจลึกๆ แต่รู้สึกว่าตนเองยังหายใจติดขัด
เธอคิดว่าซูเจ๋อผู้นี้เจ้าเล่ห์มาก
เป็นเช่นนี้เสมอ
เธอรู้ว่าซูเจ๋อจงใจ จงใจไม่ออกไป จงใจเข้ามาพัวพันกับเธอ
เหตุใดเขาจึงมั่นใจนักว่าเธอจะไม่ผลักเขาออกไป แต่จะดึงเขากลับมา?
ดูเหมือนว่าเธอจะตกหลุมพรางของเขาเสียแล้ว เป็นเธอเองที่พาตัวเองตกลงมาในกับดัก
ทั้งสองคนรอคอยอยู่เงียบๆ รอจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของเฮ่อเซียงเดินเข้ามา ใกล้โถงไว้ทุกข์เข้ามาเรื่อยๆ
“ซูเจ๋อ ท่านอย่าลืม ข้าเคยบอกไปแล้วว่าข้าเกลียดท่าน”
“ท่านกำลังเตือนข้าหรือว่าเตือนตนเอง”
ทันใดนั้นเอง เสียงอันเกรี้ยวกราดของเฮ่อเซียงก็ดังมาจากห้องโถงไว้ทุกข์ เป็นเสียงด่าทอดังมาแว่วๆ “เจ้าลูกอกตัญญู!”
เฉินเสียนได้สติและคิดจะดิ้นหนี ซูเจ๋อขยับเข้ามาชิดใบหูของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า “ท่านไปไม่ได้ นั่นเป็นปัญหาของพวกเขา”
ในที่สุดเฉินเสียนก็เข้าใจอะไรๆ ขึ้นมา เธอถามว่า “ท่านเป็นคนทำให้เฮ่อเซียงมาที่นี่รึ”
“การถามมากเกินไปจะทำให้ท่านไม่มีความสุข”
“นั่นคือคำสารภาพหรือเปล่า” เฉินเสียนถาม “ท่านจงใจพาเขามา ทั้งยังคิดจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพ่อลูกขาดสะบั้นด้วยรึ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “หากการตายของฮูหยินใหญ่มีเงื่อนงำจริงๆ ต่อให้คืนนี้พวกท่านค้นพบอะไร แต่ถ้าไม่มีใครเป็นพยาน ท่านคิดว่าจะมีคนเชื่อหรือ”
ในเวลานี้มีเสียงดุด่าทุบตีของเฮ่อเซียงดังมาจากห้องไว้ทุกข์
เฉินเสียนไม่ได้กังวลว่าเฮ่อเซียงจะทุบตีเฮ่อโยว แต่เธอกังวลว่าเฮ่อเซียงจะเรียกคนมาขับไล่เฮ่อโยวออกไปอีกครั้ง
ไม่คิดว่าแค่บิดาบังเกิดเกล้าอย่างเฮ่อเซียงทุบตีไปเพียงไม่กี่ที เฮ่อโยวจะทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น เดิมทีอาการบาดเจ็บของเฮ่อโยวยังไม่หายสนิท และตอนนี้รอยเลือดก็เริ่มซึมออกมา
เฮ่อเซียงตกใจ เมื่อเขาเลิกเสื้อของเฮ่อโยวออกดูถึงได้รู้ว่าเขามีรอยบาดแผลอยู่นับไม่ถ้วน
และแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มชายชรา เขาทั้งเจ็บปวดและคับแค้นใจ
เฉินเสียนตกใจเมื่อได้ยิน ซูเจ๋อกระซิบเบาๆ อีกครั้งว่า “ตราบใดที่ทำให้เฮ่อเซียงเห็นว่าการตายของฮูหยินใหญ่มีความผิดปกติกับตาของตัวเองได้ เฮ่อโยวก็จะมีโอกาส”
เฉินเสียนถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราจะมาคืนนี้ เอ้อร์เหนียงบอกท่านอีกแล้วหรือ”
“เมื่อตอนกลางวันข้าเห็นท่านพาเด็กหนุ่มคนใช้มาด้วย เมื่อก่อนท่านไม่เคยมีคนใช้ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มอยู่ข้างกาย จึงเดาว่านั่นคงเป็นเฮ่อโยว ท่านอยากช่วยเขา ก่อนอื่นท่านจึงต้องลบล้างความผิดของเขาก่อน ซึ่งนั่นก็คือการเริ่มต้นจากศพของฮูหยินใหญ่”
เธอไม่เคยคาดเดาความคิดที่ละเอียดรอบคอบของซูเจ๋อได้เลย และนั่นทำให้เธอไม่มีอะไรจะพูด
เฉินเสียนอยากทำลายข้อจำกัดของเขาและกล่าวว่า “เหตุใดท่านจึงแน่ใจขนาดนั้นว่าการตายของฮูหยินใหญ่มีเงื่อนงำ ถ้าไม่ใช่ขึ้นมาล่ะ ท่านพาเฮ่อเซียงมาที่นี่ เมื่อเขาเห็นว่าเฮ่อโยวดูหมิ่นฮูหยินใหญ่ ก็มีแต่จะทำร้ายเขาเท่านั้น”
ซูเจ๋อตอบว่า “นั่นเพราะข้าเชื่อในการตัดสินของอาเสียน”
เฮ่อโยวคุกเข่าอยู่ข้างๆ โลงศพภายในโถงไว้ทุกข์ ดูเหมือนเขาจะเติบโตขึ้นมากในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน ไม่ว่าเฮ่อเซียงจะดุด่าทุบตีอย่างไรเขาก็ไม่ตอบโต้หรือพูดอะไร
สิ่งที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาเป็นการแสดงออกถึงความเศร้าและผิดหวังที่แตกต่างจากในอดีต
เฮ่อโยวกลืนเลือดที่อยู่ในปากและกล่าวว่า “ข้าเป็นลูกอกตัญญู แต่ข้าไม่เคยโกรธเคืองท่านย่า วันนี้ท่านขับไล่ข้าออกไปจากเรือนข้าไม่ได้ว่าอะไร แต่ท่านไม่อนุญาตให้ข้ามาเคารพท่านย่า ข้าจะจำไปจนตลอดชีวิต ข้าแค่อยากจะคืนความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง”
พูดจบเขาก็กัดฟันลุกขึ้นยืน เมื่อหันไปมองฮูหยินใหญ่ซึ่งนอนอยู่ในโลงศพเขาก็หลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งและพูดว่า “ท่านย่า หลานมันอกตัญญู”
เขาพูดพลางจับมือที่แข็งทื่อและเย็นเยียบของฮูหยินใหญ่ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เมื่อพบว่าเล็บมือของท่านเป็นสีดำเล็กน้อย เขาจึงใช้เข็มเงินแทงเข้าไปที่นิ้วของท่าน
ผ่านไปครู่หนึ่งเฮ่อโยวก็ดึงเข็มเงินออกมา จากนั้นจึงแสดงให้เห็นต่อหน้าเฮ่อเซียง
สีหน้าของเฮ่อเซียงเปลี่ยนไปอย่างมาก
แค่ส่วนที่เจาะลงไปของเข็มเงินกลายเป็นสีดำ เท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีพิษอยู่ในร่างกายของฮูหยินใหญ่ และท่านตายเพราะถูกวางยาพิษ
เฮ่อเซียงไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นเฮ่อโยวจึงกล่าวว่า “ข้าจะพูดอีกครั้งว่าข้าไม่ได้โกรธเคืองท่านย่า เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาเชื่ออีกแล้ว”
ในเมื่อทำให้เรื่องกระจ่างแล้ว เฮ่อโยวจึงไม่น่าจะได้กลับไปพร้อมกับเฉินเสียน
เขามีแต่ต้องอยู่ที่นี่จึงจะตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไปได้
ซูเจ๋อกระซิบว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านต้องการแล้ว ไปกันเถอะ”
ท้ายที่สุดซูเจ๋อก็พาเฉินเสียนออกมาจากจวนตระกูลเฮ่อ เธอไม่ต้องเสียแรงเพื่อปีนกำแพง เพียงแค่กระโดดขึ้นไปก็มายืนอยู่นอกกำแพงแล้ว
เธอผลักซูเจ๋อออกไปทันที
เมื่อซูเจ๋อปล่อยเธอเขาก็ก้มศีรษะลงมา ยื่นนิ้วมาเขี่ยขลุ่ยไม้ไผ่ที่อยู่ที่เอวของเธออย่างแผ่วเบา
เธอหันหนีและก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า
ซูเจ๋อยังคงเดินตามหลังเธออยู่ไกลๆ อย่างเช่นที่เคยทำ
เธอไม่หันกลับมามอง เมื่อถึงจวนแม่ทัพเธอก็ตรงเข้าประตูไปเลย
ซูเจ๋อหยุดยืนอยู่ในตรอกเล็กๆ ที่มืดสนิท
เฉินเสียนกลับไปที่สวนสระวสันตฤดู เมื่อเธอก้มลงมองเห็นขลุ่ยไม้ไผ่ที่เอวของตน เธอก็พาลหงุดหงิดขึ้นมา
เธอเคยชินกับการพกขลุ่ยไม้ไผ่นี้ติดตัวไปด้วยและไม่เคยถอดมันออก การที่ซูเจ๋อเห็นมันในวันนี้จะไม่ทำให้เขาคิดว่าเธอยังคิดถึงเขาอยู่หรอกหรือ
ขณะที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เฉินเสียนก็บอกกับอวี้เยี่ยนว่า “เอาขลุ่ยไม้ไผ่นี่ไปทิ้ง”
อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างงงงวยว่า “องค์หญิงจะไม่พกมันแล้วหรือเพคะ”
“ข้าจะไม่พกมันแล้ว” เฉินเสียนเอ่ยเบาๆ
“แล้วองค์หญิงจะให้เอาไปไว้ที่ไหนเพคะ บ่าวจะได้ช่วยองค์หญิงเก็บมันไว้”
เฉินเสียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ไม่รู้ เจ้าหาเอาเถอะ อย่าให้ข้าหาเจอและอย่าให้ข้าเห็นมันอีกเป็นพอ”