ความลับไม่มีในใต้หล้า เวลาผ่านไปพอควร ก็เริ่มมีข่าวลือหนาหูในหมู่ข้าราชการและกองทหาร
เพียงแค่พูดถึงชื่อซูเจ๋อ ทุกคนต่างพากันส่ายหน้าถอนหายใจด้วยความเอือมระอา
มีทั้งผู้คนที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น และแน่นอนว่ามีผู้คนที่รู้สึกเสียดายด้วย
เมื่อการเข้าเฝ้าในยามเช้าสิ้นสุดลง ซูเจ๋อที่เดินอยู่หลังสุด เขาเดินออกจากโถงพระที่นั่งว่าราชการอย่างเชื่องช้า
พระอาทิตย์ยามเช้าที่สดใสค่อยๆ ขึ้นจากขอบฟ้า สาดส่องแสงกระทบลงบนกระเบื้องเคลือบในท้องพระโรงของพระราชวัง สวยสดงดงามตระการตา
พลอยทำให้โครงร่างและนัยน์ตาที่เรียวยาวสุขุมลุ่มลึกนั่นยิ่งดูเปล่งประกายเพิ่มมากขึ้น
เสียงซุบซิบต่างๆ นานาของเหล่าบรรดาข้าราชการลอยมากระทบหูของเขา
“ได้ยินมาว่าบัณฑิตซูเจ๋อไปคลุกคลีกับหอฉู่อวี้ เป็นเรื่องจริงหรือ เห็นว่าถูกเพื่อนร่วมงานเจอเข้า”
“ไม่นานมานี้ฝ่าบาทเพิ่งจะทรงพระราชทานอนุภรรยาให้เขาถึงสองคนไม่ใช่หรือ ไม่นึกเลยว่าเขาจะมีรสนิยมแบบนี้ นี่มันผิดธรรมชาติแท้ๆ”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น ข้าเองยังได้ยินมาอีกว่า ฝ่าบาทยังทรงพิจารณาจะให้องค์หญิงอภิเษกกับเขาด้วย ดูแล้วคงไม่มีหวังแล้วล่ะ”
“ถ้างั้นบัณฑิตผู้นี้ก็คงจะเป็นแค่ไก่อ่อนไร้น้ำยาที่มีดีแค่ความรู้สินะ ทำไมฝ่าบาทถึงทรงสนิทสนมกับเขานัก?”
“ทั้งเจ้าและข้าเป็นข้าราชการในราชวงศ์มาก็ไม่นาน ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของราชวงศ์ก่อนหน้านี้อีกมากมาย เรื่องไร้สาระพวกนี้ก็อย่าไปฟังเลย เพื่อหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนกฎต้องห้าม……”
ในต้นเดือนแห่งวสันตฤดู แสงแดดสดใส ผู้คนมากมายพากันออกไปเที่ยวนอกเมืองหลวง
ท่ามกลางเมืองหลวงสงบสุข ส่วนเรื่องศึกทางทิศใต้นั่นดุเดือดเร่าร้อน
กองกำลังทหารที่ฉินหรูเหลียงนำไป สร้างความโกรธแค้นให้แม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรเย่เหลียงไม่น้อย แม่ทัพทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมถอย
มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากทางตอนใต้ของเมืองค่อยๆ ทยอยอพยพ มันเป็นช่วงเวลาแห่งสงคราม ยากที่จะปลอบขวัญประชาชน
ตั้งแต่กลับจากหอฉู่อวี้ครั้งที่แล้ว เหลียนชิงโจวมัวแต่ยุ่งกับธุรกิจการค้า เฉินเสียนเองจึงนัดเขาค่อนข้างยาก
เขาทั้งหลบทั้งซ่อน และคอยพยายามปฏิเสธการเชื้อเชิญของเฉินเสียนอยู่ตลอด และจะไม่ยอมออกไปข้างนอกตามลำพังกับเธออย่างเด็ดขาด
เพราะกลัวว่าเฉินเสียนจะจับเขาเข้าหอฉู่อวี้หรืออะไรจำพวกนั้นอีก
เฮ่อโยวเองก็ไม่เห็นหน้าตั้งนานแล้ว ส่วนหลิ่วอีกว้าเปิดร้านเล็กๆ บนเรือแห่งหนึ่งเพื่อดูดวงให้กับผู้คนที่สัญจรไปมา ธุรกิจกำลังไปได้สวย และเขาเองก็ยุ่งเป็นอย่างมาก
เจ้าน่องน้อยอายุครึ่งขวบได้ ไม่เคยได้ออกจากจวนท่านแม่ทัพไปดูโลกภายนอกเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาค่อยๆ เติบโต ยิ่งโตก็ยิ่งเป็นคนสงบสุขุมมากขึ้น จึงพลอยทำให้เฉินเสียนเป็นกังวลใจไม่น้อย
เฉินเสียนได้ยินมาว่า ดอกสาลี่ที่ชานเมืองบานสะพรั่งขาวโพลนดุจช่อหิมะ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่สวยที่สุด
เธอจึงตั้งใจว่าจะพาเจ้าน่องน้อยออกไปเที่ยวชานเมืองสักรอบ เจ้าน่องน้อยจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง
เด็กอายุแบบเขาควรร่าเริงแจ่มใส แต่มาวันนี้ยิ่งอยู่กลับยิ่งอุดอู้ไม่ร่าเริงเอาเสียเลย
พ่อบ้านที่เห็นว่าเจ้าน่องน้อยที่ทั้งเงียบและไม่ร่าเริงเลย แน่นอนว่าเขาเองก็อยากให้เจ้าน่องน้อยสดใสร่าเริงขึ้น จึงสนับสนุนเฉินเสียนพาเจ้าน่องน้อยออกไปเปิดหูเปิดตานอกบ้านเป็นอย่างมาก
ไม่ไกลจากเขตชานเมืองมาก ในทุกๆ ปีที่นั่นมีนายหญิงมากมายที่พากันไปชื่นชมดอกสาลี่บาน และที่นั่นก็ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยเลยทีเดียว
พ่อบ้านกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เขาได้จัดเตรียมอาหารเผื่อมากขึ้น และกลัวว่าแม่นมซุยและอวี้เยี่ยนจะยุ่งจนจัดการไม่ทัน จึงได้เรียกบ่าวรับใช้ตามไปด้วยอีกสองคน
เมื่อถึงนอกชานเมืองแล้ว ก็เห็นดอกสาลี่เบ่งบานปลายกิ่งก้าน เมื่อสายลมแห่งวสันตฤดูพัดผ่าน ราวกับเกล็ดหิมะโปรยปรายไม่มีผิด วิวทิวทัศน์นี้ช่างงดงามยิ่งนัก
เฉินเสียนปูผ้าผืนหนึ่งใต้ต้นสาลี่ จากนั้นจึงวางเจ้าน่องน้อยลงเล่นบนผ้าผืนนั้น
บนคอของเขาสวมสร้อยคอจี้อายุยืนไว้ กระดิ่งน้อยบนตัวจี้กระทบกับลมทำให้เกิดเสียง พลอยทำให้เฉินเสียนเหม่อลอยเป็นพักๆ
อวี้เยี่ยนที่รู้สึกสนุกเป็นอย่างมากจนแทบจะโบยบิน บนผมของนางทัดดอกสาลี่สีขาวไว้ นางวิ่งไปมาไม่หยุด แล้วยังเด็ดดอกสาลี่ที่เต็มดอกที่สุดนำมันมาติดกับหมวกของเจ้าน่องน้อยด้วย
เจ้าน่องน้อยนั่งอยู่บนผ้า ก้มหน้าก้มตาเล่นจี้อายุยืนที่ห้อยอยู่บนอก เขาเขย่ามันไปมาด้วยมือน้อยๆ นั่น
ดูเหมือนเขาจะชอบฟังเสียงกระดิ่งนั่น
“องค์หญิง? องค์หญิง?”
อวี้เยี่ยนเรียกอยู่หลายครั้ง เฉินเสียนจึงค่อยได้สติขึ้นมา
อวี้เยี่ยนจึงบ่นขึ้นว่า : “องค์หญิงกำลังคิดอะไรอยู่หรือเพคะ รีบมาทานข้าวเถอะเพคะ”
บ่าวรับใช้ช่วยต้มซุปรสเลิศ ทานคู่กับติ่มซำแสนอร่อย ถือว่าทานแทนมื้อเที่ยงไปเลย
ไม่รู้ว่าซูเจ๋อจะพาสาวงามทั้งสองของเขาออกมาชมวิวทิวทัศน์ของวสันตฤดูบ้างหรือเปล่านะ
เฉินเสียนหัวเราะเบาๆ เพิ่งสังเกตว่าคนเราเวลาว่างเกินไปมักจะชอบคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย
หลังช่วงบ่าย เที่ยวชมก็พอประมาณแล้ว ผู้คนที่มาท่องเที่ยวต่างเริ่มพากันทยอยกลับ
เฉินเสียนอุ้มเจ้าน่องน้อยขึ้นรถม้า อวี้เยี่ยนและแม่นมซุยก็อยู่ในรถมาด้วย ส่วนบ่าวรับใช้อีกสองคนนั่งรถม้าอีกคัน
ผ่านตลาดที่ครึกครื้น อวี้เยี่ยนเปิดม่านหน้าต่างดู แล้วจึงพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น : “องค์หญิง วันนี้อากาศดีมาก ตลาดก็ดูจะคึกคักเป็นพิเศษเพคะ”
เจ้าน่องน้อยมองออกไปข้างนอก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ส่งเสียงอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสงสัย เขานั่งอยู่ในอ้อมแขนของเฉินเสียน ทั้งยิงฟันทั้งยืดแขนยืดขาดิ้นไม่ยอมหยุด
เฉินเสียนจึงให้อวี้เยี่ยนเปิดม่านออก แล้วให้เจ้าน่องน้อยดูเสียให้พอ
ในขณะที่ผ่านปากทางทางหนึ่ง มีขอทานสามคนนั่งอยู่ตรงหัวมุม เจ้าน่องน้อยจ้องพวกเขาตาไม่กะพริบ ไม่กระดิกแม้แต่น้อย
เฉินเสียนจึงหันไปมองตาม เมื่อมองดูแล้ว เธอจึงคิดจะล้อเจ้าน่องน้อยเล่นสักหน่อย แต่รูปร่างที่ค่อนข้างเตี้ยดูยุ่งเหยิงรุงรังและท่าทางของขอทานผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นในหัวของเธอ รู้สึกคุ้นแปลกๆ
รถม้ากำลังแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว จู่ๆ สีหน้าของเฉินเสียนก็เปลี่ยนไปทันที เธอสั่งขึ้นว่า : “หยุดรถ”
กลางถนนผู้คนค่อนข้างพลุกพล่านวุ่นวาย รถม้าไม่สามารถจอดได้ในทันที จึงต้องหาหัวมุมที่ไม่ค่อยมีผู้คนแล้วจึงค่อยจอด
อวี้เยี่ยนถามขึ้นว่า : “องค์หญิง เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ? หรือว่าจะทรงเมารถม้า?”
เฉินเสียนอุ้มเจ้าน่องน้อยส่งให้แม่นมซุย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เอ้อร์เหนียง เจ้ารออยู่บนรถ ข้างนอกมีผู้คนเยอะเกินไป ไม่ต้องลงมา”
แม่นมซุยที่ไหวพริบในการสังเกตค่อนข้างดี จึงถามขึ้นว่า : “องค์หญิงเจอคนหน้าคุ้นหรือเพคะ?”
เฉินเสียนไม่ได้ตอบอะไร เธอหมุนตัวแล้วลงจากรถม้าไปทันที แม่นมซุยจึงรีบพูดขึ้นว่า : “อวี้เยี่ยน เจ้ารีบตามองค์หญิงไปเร็วเข้า ไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
อวี้เยี่ยนรีบกระโดดลงจากรถม้า
เฉินเสียนมุ่งหน้าเดินย้อนกลับไป แต่ยังเดินไม่ถึงตรงหัวมุม มองจากระยะไกลเธอก็เห็นคนผู้หนึ่งกำลังเดินตรงไปยังหัวมุมที่ขอทานกลุ่มนั้นนั่งอยู่
คนผู้นั้นคือชายที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพง ด้านหลังมีผู้ติดตามมาด้วยสองคน เขาผู้นั้นหยุดลงตรงหน้าของชายที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมผมเผ้ารุงรัง ที่ดูแล้วไม่ได้แตกต่างจากขอทานอีกสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ มากเท่าไหร่นัก
เฉินเสียนเดินเข้าไปอย่างใจเย็น จากนั้นก็หยุดเดินแล้วยืนดูอยู่ห่างๆ
อวี้เยี่ยนมองตามไป ก็เห็นบรรดาขอทานและชายผู้หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าราคาแพง จึงถามขึ้นว่า : “นายหญิงจะทำบุญใช่หรือเปล่าเจ้าคะ?”
เฉินเสียนหรี่ตาลง มองชายผู้นั้นที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงมอมแมมไปทั้งตัว แต่เสื้อผ้าไม่ได้ขาดรุ่งริ่งเหมือนขอทานคนอื่น
เขาเพียงแต่สกปรกมอมแมม จนมองใบหน้าที่แท้จริงของเขาไม่ออก
ขอทานสองคนนั้นได้วางถ้วยเก่าๆ ไว้ตรงหน้า แววตาเต็มไปด้วยความหวังในการทำมาหากิน แต่พอชายที่สวมเสื้อผ้าราคาแพงนั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังทันที
แต่คนผู้นั้นที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมนั้นไม่เหมือนกัน
เขาเอาแต่กอดเข่าซบหน้าลง ไม่ว่าคนที่มายืนอยู่ข้างๆ เป็นใคร เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด
ชายผู้สวมเสื้อผ้าราคาแพงก้มหน้ามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปหยิบเหรียญทองแดงจากมือผู้ติดตาม แล้วโยนลงตรงหน้าเขา
เสียงเหรียญทองแดงกระทบพื้นดังสนั่น
คนที่ก้มหน้ากอดเข่าอยู่สะดุ้งไปทั้งตัว จากนั้นเขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองชายที่สวมเสื้อผ้าราคาแพงผู้ที่ให้เหรียญทองแดงกับเขา
ชายผู้สวมเสื้อผ้าราคาแพงยิ้มขึ้นอย่างเหยียดหยามและดูถูก
ดวงตาของเขาแดงก่ำ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
บนถนนที่ค่อนข้างเสียงดังวุ่นวาย เฉินเสียนไม่ได้ยินว่าชายผู้สวมเสื้อผ้าราคาแพงได้พูดอะไร เห็นเพียงแต่ชายที่นั่งกอดเข่าอยู่ลุกขึ้นยืน แล้วดึงเสื้อของชายผู้สวมเสื้อผ้าราคาแพงมาตีอย่างไม่ยั้งมือ