อวี้เยี่ยนเห็นชาหวานที่หน้าตาดูดีน่าดื่ม ไม่ได้สงสัยอะไร ยกขึ้นมาหนึ่งถ้วย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “แม่บ้านจ้าว ลำบากแล้ว”
นางจึงได้ดื่มพอดี อีกอย่างเครื่องดื่มทุกอย่างที่จะส่งไปให้องค์หญิง ต้องผ่านการชิมของนางก่อนเสมอ
ดังนั้นอวี้เยี่ยนจึงดื่มอย่างไม่เกรงใจ
แม่บ้านจ้าวเห็นนางดื่มชาหวานหมดถ้วย จึงถามขึ้นว่า : “รสชาติเป็นไงบ้าง?”
อวี้เยี่ยนตอบกลับไปว่า : “เป็นชาหวานที่สดชื่นมาก เดี๋ยวรอให้เอ้อเหนียงให้นมเจ้าน่องน้อยเสร็จแล้ว ค่อยให้เอ้อเหนียงยกไปให้องค์หญิงดื่ม”
“ได้สิ” แม่บ้านจ้าวตอบกลับด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวาย
เพียงแต่ว่าอวี้เยี่ยนที่เพิ่งเดินออกจากสวนสระวสันตฤดู จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัวหน้ามืด แม้แต่ทางเดินก็มองไม่ชัด
เมื่อแม่บ้านจ้าวเห็นแล้ว ก็รีบเดินเข้าไปรับจานชามจากนางทันที เพื่อไม่ให้จานชามนั้นตกลงพื้นเสียงดัง แล้วได้ช่วยประคองอวี้เยี่ยน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อวี้เยี่ยน เจ้าเป็นอะไรไป? เจ้าเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า? รีบกลับไปพักผ่อนที่หอนอนของเจ้าเถอะ ที่เหลือเดี๋ยวข้าจะจัดการเอง”
อวี้เยี่ยนพยักหน้าสะลึมสะลือ จากนั้นก็ถูกแม่บ้านจ้าวประคองไปพักผ่อนที่หอนอนของนาง
แม่นมซุยที่พึ่งให้นมเจ้าน่องน้อยเสร็จ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
นางคิดว่าเป็นอวี้เยี่ยนที่กลับมาแล้ว แต่คนที่เปิดประตูเข้ามากลับเป็นแม่บ้านจ้าว
แม่บ้านจ้าวชะโงกหน้าเข้าไปมองด้านใน จึงถามขึ้นว่า : “เอ้อเหนียงให้นมเจ้าน่องน้อยเสร็จแล้วหรือ?”
แม่นมซุยพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “แม่บ้านจ้าว มีอะไรหรือเปล่า?”
แม่บ้านจ้าวจึงยกชาหวานเข้ามาสองถ้วย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “นี่เป็นชาหวานที่ข้าเอามาให้องค์หญิงและเอ้อเหนียงดื่ม ห้องครัวเพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ เมื่อกี้เจออวี้เยี่ยนและได้ให้นางชิมไปแล้ว นางบอกว่ารสชาติดีทีเดียว ข้าจึงจะเอามาให้องค์หญิงชิมสักหน่อย”
เสียงของเฉินเสียนดังออกมาจากในหอนอน : “แม่บ้านจ้าว ใจดีแล้ว”
แม่บ้านจ้าวยกชาถ้วยหนึ่งให้กับแม่นมซุย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ยังมีอีกถ้วย ถ้วยนี้สำหรับแม่นมซุย”
แม่นมซุยรับมาพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นก็ปิดประตูลงให้แม่บ้านจ้าวอยู่นอกประตู
ถ้วยที่เตรียมชาหวานให้กับเฉินเสียนเป็นถ้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวลวดลายสีเหลือง ส่วนถ้วยที่เตรียมให้กับแม่นมซุยเป็นถ้วยกระเบื้องสีขาวธรรมดา
มองปราดเดียวก็รู้ได้เลยทันทีว่านายบ่าวแบ่งแยกชัดเจน
แม่นมซุยเป็นคนทำอะไรก็มีระเบียบพิถีพิถันเสมอ ข้อนี้แม่บ้านจ้าวไม่ได้เป็นห่วงว่าแม่นมซุยจะหยิบสลับถ้วย
แม่นมซุยตรวจสอบเพื่อทดลองว่าไม่มีพิษ น้ำชาใสสะอาดหอมสดชื่น ใช้เข็มเงินจุ่มลงไปก็ไม่เกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนเป็นสีดำ จึงส่งชาหวานถ้วยนั้นเชิญเฉินเสียนดื่ม
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “เอ้อเหนียงลำบากมาทั้งคืน เจ้าก็ดื่มเถอะ”
น้ำชารสชาติดีทีเดียว แต่ไม่ได้พิเศษอะไรมากมายนัก
จากนั้นเมื่อไม่มีอะไรทำ เฉินเสียนบ้วนปากเสร็จแล้วจึงเอนตัวนอนลงบนเตียง เพื่อไม่เป็นการรบกวน แม่นมซุยจึงนำถ้วยเปล่าทั้งสองใบเดินออกจากหอนอนไป
เวลาพักผ่อนของเจ้าน่องน้อยค่อนข้างตรงเวลา พอฟ้าเริ่มมืดเขาก็ตื่นมา เฉินเสียนรู้สึกว่าหากแม่นมซุยเฝ้ามาทั้งคืนมันจะเหนื่อยเกินไป จึงให้นางเข้ามาให้นมตามเวลาก็พอแล้ว
แม่นมซุยนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดใต้ชายคา ในตอนแรกนางกะว่าจะรอให้อวี้เยี่ยนกลับมาก่อนค่อยไปพักผ่อน
แต่ว่านั่งอยู่หน้าประตูเพียงไม่นาน ก็เริ่มรู้สึกง่วงอย่างหนักหน่วงขึ้นมา และเปลือกตาก็หนักเสียจนลืมตาไม่ขึ้น
แม่นมซุยใช้มือค้ำหน้าผากเอาไว้ ในใจจึงรู้สึกแปลกใจขึ้นมา แต่ไม่ทันการณ์แล้ว นางจึงหลับคาด้วยท่านี้
แม่บ้านจ้าวเดินมาลองเขย่านาง เมื่อเห็นว่านางไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงลากตัวนางไปนอนที่หอนอนของนาง
แม่บ้านจ้าวที่ทำงานจนชิน พอทำเรื่องพวกนี้จึงไม่ค่อยกินแรงเท่าไหร่นัก
แม้แต่แม่นมซุยก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยาแล้ว คิดว่าเฉินเสียนเองก็คงจะได้ดื่มชาหวานถ้วยนั้นไปแล้ว
ได้แต่หวังแต่ว่าเวลานี้ ฉินหรูเหลียงจะกลับมาเร็วๆ
ฉินหรูเหลียงออกไปกินเลี้ยงสังสรรค์ข้างนอก โดยปกติแล้วเขาจะกลับเรือนตรงเวลา แม่บ้านจ้าวจึงไปยืนรออยู่ที่สวนดอกไม้ ทางที่เขาจะต้องเดินผ่าน
ฉินหรูเหลียงที่มีกลิ่นสุราทั้งตัว เขาออกจากจวนสกุลเฮ่อเพื่อกลับเรือน ย่างก้าวที่เขาเดินยังถือว่าพอมีสติ เพียงแต่ว่าค่อนข้างเมาเอาเรื่อง
เฮ่อเซียงมอมเหล้าเขาไปไม่ใช่น้อย
ยังไม่ทันที่เขาจะเดินถึงเรือนหลัก ก็ถูกแม่บ้านจ้าวเรียกไว้
ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นว่า : “แม่บ้านจ้าว มาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
แม่บ้านจ้าวจึงตอบกลับไปว่า : “องค์หญิงเชิญท่านแม่ทัพไปที่สวนสระวสันตฤดูสักครู่”
ฉินหรูเหลียงจู่ๆ หัวใจก็สั่นไหว ในหัวของเขาจู่ๆ ก็นึกถึงเรือนร่างที่อรชรนั้นอย่างไม่รู้ตัว
เขามิอาจปฏิเสธได้ว่า หลังจากที่เฉินเสียนได้ให้กำเนิดบุตรแล้ว ก็กลายเป็นคนที่เรือนร่างอรชรมีเสน่ห์เย้ายวนผู้คน กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากเรือนร่างของเธอ จากภายในออกสู่ภายนอก พลอยทำให้ผู้คนจมดิ่งมิอาจฝืนต่อเสน่ห์ได้
ในอดีตที่ผ่านมา ฉินหรูเหลียงได้เก็บซ่อนความรู้สึกนึกคิดพวกนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
อาจเป็นเพราะค่ำคืนนี้เขาดื่มสุราไปไม่ใช่น้อย ความรู้สึกนั้นค่อยๆ แผ่ขยายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแค่นึกถึง ก็มีแรงกระตุ้นที่มิอาจควบคุมได้
ในที่สุดเฉินเสียนก็ยอมเอ่ยปากเชิญเขาเองแล้วหรือ?
ฉินหรูเหลียงไม่คิดอะไรมาก หมุนตัวเดินมุ่งไปที่สวนสระวสันตฤดูทันที
ย่างก้าวของเขาสงบและสุขุมกว่าเดิม แต่ในใจกลับรู้สึกวุ่นวายสับสนและลนลาน
สวนสระวสันตฤดูจุดไฟสว่างไสว เงียบสงบ
ในเรือนไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว ฉินหรูเหลียงเดินขึ้นขั้นบันได ในขณะที่เขาเปิดประตูเข้าไปนั้น ก็เห็นว่าในหอนอนไม่มีผู้อื่นเลย
คนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเป็นเฉินเสียน เธอหลับตาพริ้ม ใบหน้าค่อนข้างแดง ช่วงหน้าอกของเธอหายใจกระเพื่อมไม่หยุด มองจากด้านข้าง ส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่างนั้นวิจิตรบรรจงมาก
ข้างกายของเธอมีเจ้าน่องน้อยนอนอยู่ แต่ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้เขาจะไม่ค่อยสงบ คอยถีบขาน้อยๆ นั่นไม่ยอมหยุด
เฉินเสียนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังเดินเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน มีเหงื่อซึมทั่วทั้งตัว
เธอรู้สึกค่อนข้างร้อน คลื่นความเร่าร้อนบางอย่างปะทุขึ้นมาจากภายในร่างกายของเธอ ราวกับว่าจะแผดเผาเธอให้หลอมละลายไป
ความรู้สึกวิตกกังวลสับสนกระสับกระส่ายที่ยากจะอธิบายนั่น เธออยากจะได้สติขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้
เธอได้ยินเสียงประตูเปิดออก พยายามอย่างมากเพื่อลืมตาขึ้น แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ลืมตาขึ้น ก็สัมผัสถึงลมที่เย็นสบายพัดเข้ามาจากข้างนอก พลอยทำให้เธอรู้สึกสบายไปทั้งตัว
เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แววตาลุกโชน เปล่งประกายระยิบระยับ
อยู่บนหมอนผ้าไหมสีเขียวนั่น ดึงดูดเย้ายวนใจไม่ไม่ธรรมดา
พยายามมองว่าเป็นใครที่เดินเข้ามาในหอนอนของเธอ กลิ่นอายแบบนั้น ไม่ใช่อวี้เยี่ยน และไม่ใช่แม่นมซุย
เมื่อฉินหรูเหลียงเห็นเฉินเสียนในอิริยาบถท่วงท่าแบบนี้ ในใจของเขาวุ่นวายราวกับพลิกแม่น้ำทลายทะเล
เขาดูเหมือนจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เขากลับไม่ถามอะไร
เฉินเสียนไม่มีสติ และเขาเองก็ไม่อยากจะมีสติ
เรื่องที่กระทำในขณะที่สับสนไร้สติ รอให้ผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป แล้วใครเล่าจะแบ่งแยกถูกผิดได้
ฉินหรูเหลียงกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกขยับ พูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้ง : “แม่บ้านจ้าว อุ้มเด็กออกไป”
แม่บ้านจ้าวเดินมาที่ข้างเตียง โค้งตัวเพื่อจะอุ้มเจ้าน่องน้อยขึ้นมา แต่เจ้าน่องน้อยกลับถีบแขนแม่บ้านจ้าวอย่างแรง
เฉินเสียนรู้สึกข้างๆ ว่างเปล่า จึงยื่นมือไปสัมผัส
ทำให้เธอรู้สึกตัวขึ้นมานิดหน่อย
เมื่อเจ้าน่องน้อยเห็นความตั้งใจแน่วแน่ที่จะพาเขาไปของแม่บ้านจ้าวอย่างไม่ยอมได้ลดล่ะ หลังจากที่ถีบไปแล้วหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล จึงร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดังราวกับว่ากำลังหิวนมยังไงอย่างงั้น
เสียงร้องไห้นี้ดังก้องกังวานไปทั่ว และไม่อาจจะห้ามได้
แม่บ้านจ้าวเริ่มลนลาน ฉินหรูเหลียงจึงพูดขึ้นว่า : “อุ้มออกไป”
แต่เสียงร้องไห้นี้ ได้ปลุกเฉินเสียนตื่นขึ้น
ร่างกายของเธออ่อนแรงยวบยาบ ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นนั่งลงข้างเตียง เงยหน้าขึ้นมองเงาแผ่นหลังของแม่บ้านจ้าวที่กำลังอุ้มลูกของตัวเองออกไป จึงพูดขึ้นด้วยอาการอ่อนล้า : “คิดจะทำอะไรน่ะ อุ้มลูกของข้ากลับมานะ”
แม่บ้านจ้าวออกจากห้อง ไม่หันกลับไปแม้แต่นิดเดียว แล้วจึงปิดประตูลง
นางคิดในใจ รอให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปทุกอย่างก็จะดีขึ้น
สายตาเมื่อครู่นี้ของท่านแม่ทัพแสดงออกชัดเจนว่ามีความรู้สึกต่อองค์หญิง
เมื่อก่อนท่านแม่ทัพรังเกียจองค์หญิงจับใจ เพราะฉะนั้นไม่ว่านางจะพยายามช่วยจับคู่และช่วยหาโอกาสให้สักเท่าไหร่ เหมือนกับเป็นการกระทำที่โง่เขลาของตัวเองที่อวดเก่งก็เท่านั้น
แต่มาวันนี้ ท่านแม่ทัพมีใจแล้ว องค์หญิงเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แล้วยังมีปัญหาอะไรระหว่างสามีภรรยาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ล่ะ?
ในหอนอนเหลือเฉินเสียนและฉินหรูเหลียงเพียงสองคน
แสงไฟกระทบลงบนร่างของทั้งสอง เกิดเป็นเงาพิมพ์ลงบนผนังกำแพง สั่นไหวไม่หยุดนิ่ง