“ท่านรู้หรือ” เฉินเสียนแปลกใจเล็กน้อย
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นช่วยเล่าให้ข้าฟังที”
“บิดาของหลิ่วเชียนเสวี่ยชื่อหลิ่วเหวินเฮ่า นางยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคนชื่อหลิ่วเฉียนเฮ้อ ในเวลานั้นหลิ่วเหวินเฮ่าเป็นเพียงขุนนางท้องถิ่นผู้หนึ่งและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางในเมืองหลวง แต่ขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงต่างไม่ชอบเขาเพราะถือว่าเขาเป็นคนชนบทและค่อนข้างดูถูกดูแคลน ลูกชายและลูกสาวของเขาก็มักจะถูกเยาะเย้ยถากถางอยู่เสมอ”
เหลียนชิงโจวจิบชาและกล่าวต่ออย่างไม่เร่งรีบว่า “หลิ่วเหวินเฮ่าต่อสู้กับคนพวกนั้นทั้งต่อหน้าและลับหลัง จนได้รับการเลื่อนยศขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูง แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆ นั้นไม่ยืนยาว หลังจากได้นั่งในตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีตามที่มุ่งมาดปรารถนา ก็เกิดการก่อรัฐประหารทำให้เกิดความวุ่นวายในพระราชวัง เขาทำให้องค์จักรพรรดิในตอนนั้นไม่พอพระทัย พระองค์จึงสั่งตัดหัวประหารชีวิตในความผิดฐานร่วมมือกับศัตรูก่อกบฏ สมาชิกทุกคนในตระกูลหลิ่วต่างถูกเนรเทศ”
เฉินเสียนถามว่า “หลิ่วเหวินเฮ่าทำอะไรให้องค์จักรพรรดิไม่พอใจ”
เหลียนชิงโจวยิ้มน้อยๆ และตอบว่า “เพื่อลาภยศและตำแหน่ง เขาไม่ลังเลเลยที่จะจ่าย พระราชบิดาขององค์จักรพรรดิในตอนนั้นคือกษัตริย์ไหวหนาน จักรพรรดิองค์ก่อนทรงกลัวอำนาจของกษัตริย์ไหวหนานในเขตการปกครอง จึงต้องการกำจัดพระองค์ หลิ่วเหวินเฮ่าจึงช่วยจักรพรรดิองค์ก่อนวางแผนด้วยการส่งกษัตริย์ไหวหนานไปทำศึกที่เย่เหลียง
กษัตริย์ไหวหนานไปทำศึกที่เย่เหลียง โดยที่หลิ่วเหวินเฮ่าวางแผนให้พระองค์ต่อสู้จนตายในสนามรบ แต่ไม่คิดว่าโอรสของพระองค์จะองอาจห้าวหาญและเชี่ยวชาญในการรบจนกอบกู้สถานการณ์ได้ หลังจากรวบรวมผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพคนก่อนกลับมาได้เป็นจำนวนมาก กลับให้พระองค์ควบคุมกองทหารสองแสนนายอยู่ที่เขตพรมแดนเพื่อรักษาเสถียรภาพและเพื่อลดภาระของประชาชนอยู่หลายปี แต่ในท้ายที่สุดก็ต่อสู้กลับมาจนถึงเมืองหลวงและก่อตั้งการปกครองใหม่”
เฉินเสียนสับสนเล็กน้อยและกล่าวว่า “ทำไมจักรพรรดิองค์ก่อนจึงฟังคำให้ร้ายของหลิ่วเหวินเฮ่าล่ะ”
เหลียนชิงโจวถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ต้าฉู่อยู่ในความสงบสุขมานานหลายปี ที่ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ในราชสำนักเฉยชาและล้าหลัง จักรพรรดิองค์ก่อนไม่โปรดให้ทำการใหญ่ ไม่โปรดให้ระดมพลอย่างโจ่งแจ้งรบกวนความสงบสุขของประชาชน นั่นยิ่งทำให้อำนาจของกษัตริย์ไหวหนานเพิ่มพูนยิ่งขึ้น หากไม่กำจัดอำนาจในตอนนั้น ในอนาคตกษัตริย์ไหวหนานคงรวบรวมกำลังก่อกบฏอย่างแน่นอน
จักรพรรดิพระองค์ก่อนทรงกลัวว่าเลือดจะนองแผ่นดิน ประชาชนจะตกอยู่ในความยากลำบาก ในเวลานั้นกษัตริย์ไหวหนานถูกส่งไปทำศึกที่เย่เหลียงแต่เพียงผู้เดียวเพื่อลดทอนอำนาจ เพียงแต่ไม่คิดว่าผลสุดท้าย ที่คิดว่าจะจัดการได้กลับล้มเหลว”
เฉินเสียนฟื้นคืนสติและกล่าวว่า “ดังนั้นหลิ่วเชียนเสวี่ยก็คือบุตรีของหลิ่วเหวินเฮ่า เดิมทีนางถูกส่งตัวไปเป็นทาสที่ชายแดน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ด้วยเหตุนี้ก็อธิบายได้แล้วว่าเพราะเหตุใดฉินหรูเหลียงจึงพานางกลับมาจากชายแดน
เฉินเสียนถามอีกว่า “หลิ่วเชียนเสวี่ยรู้จักกับฉินหรูเหลียงมาก่อนหรือ”
เหลียนชิงโจวเล่าอย่างไม่เร่งรีบว่า “เรื่องนี้ต้องนับย้อนไปเมื่อตอนยังเด็ก ตอนที่กระหม่อมเป็นเพื่อนร่วมเรียนกับองค์หญิง ตอนที่หลิ่วเชียนเสวี่ยเพิ่งมาถึงเมืองหลวง หลิ่วเหวินเฮ่าได้รับการเลื่อนตำแหน่ง นางจึงได้ร่วมเรียนกับทุกคนในโรงเรียนไท่ แต่ทุกคนไม่ชอบที่นางเป็นหญิงชนบท ทุกหนทุกแห่งจึงมีแต่คนถากถางนาง
หลิ่วเชียนเสวี่ยรู้ว่าองค์หญิงเป็นที่โปรดปราด นางพยายามประจบประแจงองค์หญิง องค์หญิงเองก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดีชั่วระยะหนึ่ง และสั่งห้ามไม่ให้ให้นักเรียนคนอื่นในโรงเรียนรังแกนาง
ในเวลานั้นองค์หญิงกับฉินหรูเหลียงสนิทกันมา ทุกวันหลังเลิกเรียนแม่ทัพฉินจะปกป้ององค์หญิงและส่งองค์หญิงกลับวังด้วยตัวเอง จากนั้นตนเองจึงกลับเรือน”
เฉินเสียนชะงักเล็กน้อย มีเรื่องอะไรแบบนั้นด้วยหรือ?
เธอนึกไม่ภาพไม่ออกจริงๆ ว่าก่อนหน้านี้ฉินหรูเหลียงจะเคยทำดีกับนางมาก่อน
เฉินเสียนถามว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“องค์หญิงกับแม่ทัพฉินมักจะไปที่สวนแอพริคอตที่หลังโรงเรียนไท่ เมื่อแอพริคอตสุก แม่ทัพฉินจะปีนขึ้นไปบนยอดที่สูงที่สุดและเด็ดลูกที่ใหญ่และหวานที่สุดมาให้องค์หญิงเสวย”
แต่หลังจากที่หลิ่วเชียนเสวี่ยปรากฏตัว นางมักจะอาศัยช่วงที่องค์หญิงไม่อยู่แอบวิ่งไปที่สวนแอพริคอตและขอให้ท่านแม่ทัพฉินไปเล่นด้วยในนามขององค์หญิง
แม่ทัพฉินคิดว่าองค์หญิงไม่ชอบเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงขอให้หลิ่วเชียนเสวี่ยไปกับเขาอย่างส่งๆ และค่อยๆ ห่างเหินกับองค์หญิง มีหลายครั้งที่หลิ่วเชียนเสวี่ยถูกรังแกและบอกว่าองค์หญิงเป็นคนยุยงให้ผู้อื่นให้รังแกนาง แม่ทัพฉินโกรธมากและไปตำหนิองค์หญิง
แต่องค์หญิงไม่เคยทำเช่นนั้น ต่อมาเมื่อรู้ว่าเป็นหลิ่วเชียนเสวี่ยที่มาสร้างปัญหาระหว่างกลาง พระองค์จึงไปเล่นงานหลิ่วเชียนเสวี่ยและถูกแม่ทัพฉินเข้ามาขัดขวาง วันนั้นองค์หญิงทะเลาะวิวาทกับแม่ทัพฉิน แม้ว่าตัวเองจะช้ำจนหน้าบวมพระองค์ก็ไม่ร้องไห้ เพียงแต่หลังจากนั้น องค์หญิงก็ไม่เคยพูดคุยกับแม่ทัพฉินอีกเลย”
ชาในถ้วยเย็นหมดแล้ว
เฉินเสียนไม่พูดอะไรเลย
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “ดูเหมือนวันนี้กระหม่อมจะพลั้งปากพูดมากเกินไปเสียแล้ว”
“ทำไมเจ้าต้องเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังด้วย” เฉินเสียนเงยหน้าสบตากับเหลียนชิงโจว
“เมื่อครู่นี้องค์หญิงทรงถามกระหม่อมเรื่องหลิ่วเชียนเสวี่ยก่อนมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ และองค์หญิงยังถามอีกว่านางกับฉินหรูเหลียงรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ ส่วนเรื่องความรักและความแค้นในวัยเด็กเหล่านี้ ที่กระหม่อมพูดมาก ก็เพื่อให้องค์หญิงรู้ว่าทำไมหลิ่วเชียนเสวี่ยจึงจงเกลียดจงชังองค์หญิง”
“จงเกลียดจงชังข้า” เฉินเสียนทวนคำ “ไม่ใช่ว่าข้าเกลียดนางหรอกหรือ”
ฉินหรูเหลียงก็เลยเกลียดนางมาตั้งแต่แรก เพราะเขาคิดว่านางเป็นคนโหดร้ายและใจดำมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง
หลิ่วเหมยอู่บอบบางและอ่อนแอ จำเป็นต้องมีคนปกป้อง แต่เฉินเสียนไม่ใช่
นางเป็นองค์หญิงผู้สูงส่ง มีคนคอยห้อมล้อม แค่ออกปากคำเดียวก็มีคนมาคอยปรนนิบัติเอาใจ
เฉินเสียนถามเล่นๆ ว่า “เจ้ากำลังสรรเสริญฉินหรูเหลียงอยู่หรือเปล่า”
ฉินหรูเหลียงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “กระหม่อมเพียงแต่รู้สึกว่าในเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ องค์หญิงก็ควรจะได้รู้ต้นสายปลายเหตุ เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของกระหม่อมจะทำให้องค์หญิงถึงกับปฏิบัติต่อท่านแม่ทัพฉินเปลี่ยนไปเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าแค่แปลกใจนิดหน่อย”
เฉินเสียนถามอีกว่า “ในเมื่อเจ้ายังจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนได้ชัดเจน ทำไมตอนที่หลิ่วเชียนเสวี่ยใส่ร้ายป้ายสีข้า เจ้าไม่แสดงตัวและพูดออกมาล่ะ”
เหลียนชิงโจวยิ้มน้อยๆ “ในเวลานั้นกระหม่อมยังต่ำต้อย พูดไปก็ไม่มีใครฟัง ยิ่งกว่านั้นท่านอาจารย์ยังบอกอีกว่า คนที่แยกแยะดีชั่วไม่ได้เช่นนั้น ไม่คู่ควรที่จะได้รับความรักและความไว้วางใจจากองค์หญิง”
“ตอนนี้เจ้าเล่าเสียละเอียดยิบ”
“ทั้งหมดกลายเป็นอดีตไปแล้วและเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ตรงกันข้าม กระหม่อมคิดว่ามันจะช่วยให้องค์หญิงมองคนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
“เจ้าพูดถูก เมื่อก่อนเขาก็เป็นคนที่มองคนไม่ออกเช่นนี้ แล้วแบบนี้จะไปหวังอะไรกับอนาคต”
เฉินเสียนยังกลับมามีความเห็นอกเห็นใจต่อฉินหรูเหลียงอีกครั้งได้อย่างไรหลังจากความสูญเสียครั้งนั้น ถึงแม้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต แต่ก็ต้องพิจารณาอย่างที่มันเป็นอยู่ดี
เฉินเสียนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และยิ้มอย่างเกียจคร้าน “มิน่าเล่าฉินหรูเหลียงจึงกลัวว่าข้าจะรู้เรื่องที่หลิ่วเหมยอู่คือหลิ่วเชียนเสวี่ยขนาดนั้น หลิ่วเชียนเสวี่ยยังคงเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้กระทำความผิด เดิมทีนางถูกเนรเทศไปเป็นทาส ถ้าเรื่องนี้เล็ดลอดออกไปละก็ ชีวิตเหมยอู่จบสิ้นเป็นแน่”
เหลียนชิงโจวเตือนอยู่ข้างๆ “ฉินหรูเหลียงซ่อนตัวลูกสาวของขุนนางผู้กระทำผิดไว้ ถือเป็นความผิดร้ายแรงฐานหลอกลวงองค์จักรพรรดิ”
เฉินเสียนหรี่ตา “แบบนั้นมันน่าเบื่อจะตายไป พี่ชายของนางคือหลิ่วเฉียนเฮ้อใช่ไหม”
สองพี่น้องรวมหัวกันใช้เล่ห์อุบายเพื่อพรางตัวทั้งยังเกือบจะฆ่าทั้งเธอและลูก
บัญชีนี้ยังมีเวลาชำระในอนาคต
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ หลิ่วเฉียนเฮ้อกำลังหลบหนี องค์หญิงทรงอย่ากังวลพระทัย มีคนช่วยองค์หญิงจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว หลิ่วเฉียนเฮ้อเป็นนักฆ่าลอบสังหาร มีคนอดใจรอแทบไม่ไหวที่จะลงโทษเขาด้วยการใช้ม้าห้าตัวแยกศพ”
แน่ล่ะ ถ้าอาชญากรอย่างหลิ่วเฉียนเฮ้อถูกจับได้ จักรพรรดิจะสบายพระทัยได้อย่างไรหากปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ เกรงว่าต่อให้ตายไปแล้วก็ยังไม่สบายพระทัยอยู่ดี
เหลียนชิงโจวกล่าวอีกว่า “ตอนนี้ที่องค์หญิงกุมเอาไว้คือจุดอ่อนจุดตายของแม่ทัพฉิน ต่อแต่นี้ไปองค์หญิงจะอยู่ในจวนแม่ทัพได้อย่างสบายใจไร้กังวล ทว่าก็ยังต้องระมัดระวัง”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้น ประสานมือคารวะเฉินเสียนและกล่าวว่า “ที่กระหม่อมมาในวันนี้ก็เพื่อมากล่าวลาองค์หญิง”