เฉินเสียนไม่ได้รู้สึกลำบากใจ เธอยังคงยิ้มและพูดว่า “แต่ตอนนี้เขาก็กลับมาแล้วใช่หรือไม่ ความทุกข์ก็ควรค่าแก่การทนทุกข์สักหน่อย”
หลังจากที่เจ้าน่องน้อยอิ่มแล้ว เขาก็เอียงศีรษะและผล็อยหลับไป ตั้งแต่เขากลับมาที่ สวนสระวสันตฤดูเขาก็ไม่ร้องไห้อีกเลย
เมื่อตื่นขึ้นก็กลับไปสู่การกิน กินและ นอน นอนอีกครั้ง
เฉินเสียนบีบก้นของเขาและเกาฝ่าเท้าของเขา แต่เด็กคนนี้ยังคงไม่ร้องไห้ บางครั้งถูกเฉินเสียนปลุก เขาลืมตาครึ่งหนึ่ง เหลือบมองเธออย่างสบาย ๆ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
ดวงตาคู่นั้นกล่าวอย่างชัดเจนว่า ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะมีความรู้เท่าท่าน
เฉินเสียนกล่าวอย่างกังวล : “เฮ้อ ใครบอกว่าเขาร้องไห้ทั้งกลางวันและกลางคืน และไม่ยอมกินอะไรเลย เจ้าส่งเสียงให้ข้าได้ยินหน่อยได้หรือไม่!”
เธอค่อนข้างสงสัย ก่อนหน้านี้ที่ได้ยินว่าเจ้าน่องน้อยร้องไห้ไม่ยอมหยุด จะเป็นเพียงข่าวเล่าลือหรือไม่
อวี้เยี่ยนพูดอย่างมีความสุข: “องค์หญิงเป็นแม่ของเจ้าน่องน้อย และแน่นอน เขาจะไม่ร้องไห้ เมื่อเจ้าน่องน้อยกลับมาหาแม่ ไม่ใช่ว่าเจ้าน่องน้อยของเราจะร้องไห้ไม่ได้ แต่เขาไม่อยากร้องไห้ ”
ความขี้เกียจอย่างนี้ เฉินเสียนเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เฉินเสียนแกล้งลูกชายของเธออยู่ในสวนสระวสันตฤดูทุกวัน บ้างก็ออกกำลังกาย ช่างเป็นช่วงเวลาที่ดียิ่งนัก
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เฉินเสียนรู้สึกวิตกเป็นอย่างมาก
หน้าอกของเธอบวมขึ้นทุกวัน แม้ในตอนกลางวันเธอจะไม่รู้สึก แต่ตกกลางคืน เธอรู้สึกว่ามันทั้งบวมและเจ็บ
ในตอนแรกสถานการณ์ไม่ชัดเจนนัก แต่ต่อมาเธออารมณ์เสียจนนอนไม่หลับทั้งคืน
เมื่อแม่นมซุยเห็นว่าเธอนอนไม่หลับในตอนกลางคืน จึงอธิบายให้เธอฟังอย่างแช่มช้า กล่าวว่า “องค์หญิง หลังคลอดก็จะเป็นแบบนี้แหละเพคะ องค์หญิงที่กำลังให้นมลูกอยู่ ถ้าไม่จัดการให้นม มันจะทำให้เกิดความเจ็บปวด”
เฉินเสียนขยี้ผมอย่างกังวลและพูดว่า “เอ้อร์เหนียงมีประสบการณ์แล้ว เจ้าทำอย่างไร”
“วิธีที่ดีที่สุดคือให้นมลูกโดยธรรมชาติ”
เฉินเสียนกล่าวว่า: “เจ้าก็ป้อนนมให้เจ้าน่องน้อยอยู่แล้วนี่ เรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ”
ในต้าฉู่ สำหรับผู้หญิงในตระกูลใหญ่เพื่อให้หน้าอกตั้งตรงหลังจากคลอดบุตร ก็มักจะหาแม่นมมาให้นมแทนแทน
เฉินเสียนไม่สนใจเรื่องนี้ แต่เรื่องที่เธอยังไม่เคยมีความสัมพันธ์ในเรื่องความรักอย่างจริงจังก็ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องที่คลอดลูกแล้วก็ยิ่งไม่ต้อง แต่กลับจะให้เธอบินข้ามขั้นตอนการมีความรักมาให้นมลูกแล้วล่ะก็……ยกโทษให้เธอด้วยที่เธอไม่สามารถทำได้
นอกจากนี้แม่นมซุยก็เป็นผู้ที่รับหน้าที่นี้ตั้งแต่แรกแล้ว และเธอไม่ได้คิดที่จะให้นมลูกด้วย
เมื่อต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง รู้สึกเหมือนมีอุปสรรคอยู่ในใจเธอจริงๆ
เฉินเสียนโบกมือบอกปฏิเสธเส้นทางการแก้ปัญหานี้
แม่นมซุยกล่าวอีกครั้งว่า “องค์หญิงโปรดทรงอย่าตำหนิที่เอ้อร์เหนียงพูดมากไป แม้ว่าองค์หญิงจะเต็มใจ เจ้าน่องน้อยก็อาจจะดูดไม่ได้ พละกำลังของเด็กน้อยยังน้อยนิด และเขาจะกังวลหากไม่ได้น้ำนม ประเพณีพื้นบ้านมักเริ่มที่ให้ผู้ชายช่วยเปิดทางน้ำนมก่อน”
เฉินเสียนเงียบไป ใบหน้าเหมือนเป็นอัมพาต กล่าวว่า “นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ข้าจะหาผู้ชายมาจากที่ใดได้?”
เฉินเสียนคิดว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเวลาหลายเดือนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ และบางทีมันอาจจะดีขึ้นในภายหลัง
ไม่คิดว่า แม่นมซุยจะไปบอกซูเจ๋อว่าองค์หญิงอาการไม่ดี
เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างสมบูรณ์ แม่นมซุยคิดว่าเธอยังต้องเชิญให้ใต้เท้ามา
คืนนี้เฉินเสียนที่กำลังหลับผัน ซูเจ๋อก็เข้ามา
แม่นมซุยกระซิบกับเฉินเสียน: “องค์หญิง ใต้เท้ามาแล้ว”
เฉินเสียนลุกขึ้นนั่ง สะดุ้งลงจากเตียง เปลือกตาของเธอกระตุกอย่างเดือดดาล: “ตอนนี้เขาจะมาทำไม?”
“แน่นอน ข้ามาหาองค์หญิง”
ถ้าให้เขารู้ว่าตัวเองนอนไม่หลับเพราะเจ็บหน้าอก คิดว่าเขาต้องมีความสุขจนเป็นบ้าแน่!
เฉินเสียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ลูบหน้าอกของตัวเอง และพบว่าเมื่อคิดถึงเรื่องนี้หน้าอกของเธอก็เจ็บยิ่งกว่าเดิม
แม่นมซุยอดไม่ได้ที่จะเปิดประตูให้ซูเจ๋อ
ซูเจ๋อในชุดสีดำเดินเข้ามาในห้องอย่างแช่มช้า ห้องเต็มไปด้วยแสงสีเหลืองสลัวส่องมาที่เขา พัดพาลมหายใจที่เยือกเย็น
ผมของเขาถูกมัดไว้ด้านหลังศีรษะ และผมสองสามเส้นระอยู่บนบ่าของเขา ราวกับว่าผสมกับน้ำค้างในสารทฤดูที่ชุ่มฉ่ำ
ซูเจ๋อลืมตาขึ้นมองเฉินเสียน คิ้วสีเข้มของเขาขมวดเข้าหากัน เขายิ้มและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ท่านอาการไม่ดี”
เมื่อเฉินเสียนเห็นรอยยิ้มที่ลึกล้ำของเขา เธอรู้สึกว่าหนังศีรษะของเธอชา และพูดว่า “ดูข้าสิ ข้าสบายดีมาก ออกไปเสียเถอะ มิฉะนั้นข้าจะให้เอ้อร์เหนียงไล่ท่านออกไปด้วยไม้กวาด”
แม่นมซุยกล่าวอย่างคล้อยตาม: “องค์หญิงรอเดี๋ยว บ่าวจะออกไปเอาไม้กวาด”
เฉินเสียนจ้องมองแม่นมซุยที่ถอยออกไป เธอมีลางสังหรณ์ว่าแม่นมซุยจะไม่เข้ามาจนกว่าซูเจ๋อจะจากไป เมื่อ แม่นมซุยออกไปและเธอก็เอาไม้กวาดไปด้วย
เฉินเสียนพูดด้วยความไม่พอใจ “เฮ้ เอ้อร์เหนียงเจ้าจะไปไหนไหน?”
แม่นมซุยกล่าวว่า “แน่นอน บ่าวหวังว่าองค์หญิงจะหายดีในเร็ววัน”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบไป ไปเอาอ่างน้ำก่อน”
แม่นมซุยจึงไปตักน้ำก่อนจะออกไป
ซูเจ๋อยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือช้าๆ ซึ่งเฉินเสียนก็มองทุกการกระทำของเขาอยู่ราวกับว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรู
เขาล้างมือและเช็ดน้ำให้แห้งด้วยผ้าขนหนูก่อนที่จะเดินมาหาเฉินเสียนทีละก้าว ทีละก้าว
เมื่อเห็นการต่อต้านของ เฉินเสียน ซูเจ๋อก็เหลือบมองเธอและพูดว่า “ข้าแค่จะดู ไม่ได้จะทำอะไรท่าน ท่านไม่ต้องป้องกันตัวกับข้าเยี่ยงนั้น”
เฉินเสียนกลอกตา: “แค่ดูรึ ท่านคิดว่าทักษะทางการแพทย์ของท่านยอดเยี่ยมหรือ”
“แน่นอนว่าถ้าป่วยก็ควรรักษา ยื่นมือออก”
ก่อนที่เฉินเสียนจะเหยียดมือของเธอ ซูเจ๋อก็เอนตัวไป จับข้อมือของเฉินเสียนวางนิ้วบนชีพจรของเธอ และหลับตาลงครึ่งหนึ่งครู่หนึ่ง
“ท่านป่วย”
ซูเจ๋อคลายนิ้วของเขา ยิ้มและกล่าวว่า: “กานหั่วอ่อนลง และด้วยความแน่นหน้าอกและหายใจถี่ จากสีหน้าของท่าน เพราะกลางคืนท่านไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอจึงทำให้ท่านอ่อนแรง ”
ขณะที่เขาพูด ดวงตาของเขาจ้องไปที่หน้าอกของเฉินเสียนอย่างมีเลศนัย: “ใหญ่ขึ้นมากจริงๆ”
เฉินเสียนมองตามสายตาของเขามาที่หน้าอกตัวเองก็รู้สึกอายขึ้นทันที และพูดอย่างโกรธเคือง: “ใหญ่ไม่ใหญ่มันเกี่ยวอะไรกับท่าน ไม่คิดว่าคนอย่างซูเจ๋อจะมีนิสัยเช่นนี้”
ซูเจ๋อหยิบม้วนหนังกวางออกจากแขนเสื้อ เรียงเข็มเงินแล้วกล่าวว่า “หากมีการอุดตัน จำเป็นต้องขุดให้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นจะอึดอัด”
ทันทีที่ซูเจ๋อบิดเข็มเงินด้วยนิ้วเรียวของเขา เฉินเสียนก็หันกลับมามองเขาด้วยความตกใจ: “ให้ตายสิ ท่านจะแทงข้าด้วยเข็มรือ มันไม่ใช่ของปลอมนะ อย่าคิดว่ามันจะเหมือนหนังลูกบอล นี้มันเนื้อจริงๆ อย่าคิดว่าไม่ใช่ผิวหนังท่าน ท่านไม่เจ็บแล้วจะไม่สนเรื่องอื่นใด”
“ข้าแค่ช่วยท่านฝังเข็ม เพื่อให้ท่านรู้สึกไม่อึดอัดขึ้นเล็กน้อย” ซูเจ๋อพูดอย่างไม่มีพิษไม่มีภัย “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้จะกำจัดมัน”
เฉินเสียนคิดว่า ก็แค่ฝังเข็ม เธอเองน่าจะรับไหว หนำซ้ำยังดีกว่าวิธีของแม่นมซุยเป็นไหนๆ
ซูเจ๋อมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นวิธีนี้จึงปลอดภัย
เฉินเสียนจึงพูดอย่างหวั่นๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะลองเชื่อท่านสักครั้ง”
ซูเจ๋อมองเธอครู่หนึ่ง: “ถ้าอย่างนั้น ท่านถอดเสื้อผ้าได้”
“…ถอด ถอดเสื้อผ้า?”
“ข้าจะหาจุดฝังเข็ม ไม่ถอดเสื้อผ้าได้อย่างไร”
เฉินเสียนพูดอย่างโกรธเคือง: “ท่านหมายความว่าข้าต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าท่าน?”
“หากท่านอาย…”
###กานหั่ว (肝火เสียงจีนกลาง) ความหมายตามตัวอักษรคือ ไฟตับ ส่วนความชื้นก็สร้างภาระให้แก่ปอด ปอดต้องทำงานหนักขึ้น จนเกิดภาวะร้อนขึ้นในปอด เรียกว่า เฟ่ยเย่อ (เสียงจีนกลาง)