แม่นมซุยกล่าวว่า “บ่าวได้ยินบางอย่างจากแม่บ้านจ้าวตอนอยู่ในเรือน ดูเหมือนองค์หญิงจะตากฝนในวันที่พระองค์มีพระประสูติการ องค์หญิงมีไข้สูงระหว่างการให้กำเนิดโอรสจนเกือบจะทำให้คลอดลำบากเจ้าค่ะ”
“มีไข้สูงตอนคลอด…” ซูเจ๋อพึมพำเบาๆ “แล้วทำไมพระองค์จึงตากฝน”
แม่นมซุยเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า “นายท่านโปรดยกโทษ บ่าวได้ยินมาเพียงเท่านี้ พรุ่งนี้บ่าวจะไปสืบถามจากบ่าวรับใช้คนอื่นมาให้นะเจ้าคะ”
“ข้าอยากจะรู้ทุกอย่างอย่างละเอียด”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฝ่ามืออุ่นๆ ของซูเจ๋อค่อยๆ ยกมือของเฉินเสียนขึ้นมา เขาวางนิ้วลงบนเส้นชีพจรตรงข้อมือและใช้สมาธิอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางมือเธอลง
เขาหยิบกระเป๋าหนังกวางที่เตรียมไว้ออกมาจากแขนเสื้อและวางไว้ที่ขอบเตียงก่อนจะเปิดออก ด้านในมีชุดเข็มเงินที่มีความยาวและความหนาแตกต่างกันออกไป
ซูเจ๋อหยิบเข็มเงินออกมาและนำไปลนไฟ จากนั้นจึงค่อยๆ ปั่นเข็มลงไปในจุดฝังเข็มของเฉินเสียนหลายต่อหลายจุด
เฉินเสียนถูกฝังเข็มกระตุ้นให้เหงื่อออก จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยามเนื้อตัวก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เธอขมวดคิ้วมุ่นและหัวคิ้วก็ขยับเป็นครั้งคราว ริมฝีปากที่ซีดเผือดขยับขึ้นลงราวกับกำลังละเมอ
ซูเจ๋อโน้มตัวลงไปและเงี่ยหูฟัง ครู่ใหญ่ๆ จึงได้ยินเสียงแหบแห้งดังขึ้นมาว่า “ท่านทำแบบนี้ไม่ได้…”
ดวงตาของซูเจ๋อหรี่แสง เขาหรี่ตาลงโดยไม่ออกความเห็นใดๆ
เธอมีเหงื่อออกมากและดูเหมือนร่างกายจะอ่อนแอลงยิ่งกว่าเดิม หลังจากดึงเข็มออกซูเจ๋อก็ยืนขึ้นและกล่าวว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระองค์”
ซูเจ๋อยืนอยู่ข้างหน้าต่างและหันหลังให้ในขณะที่แม่นมซุยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เฉินเสียน
หน้าต่างเป็นหน้าต่างแบบปิด เมื่อต้องมองทะลุลายฉลุและมุ้งตาข่ายออกไปจึงทำให้เห็นบรรยากาศยามค่ำคืนด้านนอกไม่ชัดเจนนัก
แม่นมซุยใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวให้เฉินเสียนหนึ่งรอบก่อนจะนำชุดนอนที่สวมใส่สบายมาเปลี่ยนให้เธอ จากนั้นจึงหลบออกไป
ตอนนี้อุณหภูมิร่างกายของเฉินเสียนลดลงและหายไข้แล้ว คิ้วของเธอค่อยๆ คลายออกและไม่ขมวดเป็นปมอีกต่อไป
ซูเจ๋อมองเด็กทารกที่อยู่ในผ้าอ้อม ใบหน้าของทารกน้อยเหี่ยวย่นและหลับสนิทอยู่บนเตียงเดียวกันกับแม่ของเขา แม้แต่ท่าทางการนอนยังเหมือนกันทุกประการ
ได้ยินเหลียนชิงโจวบอกว่าเด็กคนนี้ยังไม่ร้องไห้เลยตั้งแต่เกิด
ตอนนี้ซูเจ๋อรู้สึกว่าทารกน้อยดูสงบยิ่งกว่าที่เขาคิด
“เป็นเช่นนี้ก็ดี” ซูเจ๋อโน้มตัวลงมาและใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่ใบหน้าเล็กๆ ของเด็กน้อย “จะได้ไม่รบกวนตอนแม่ของเจ้าพักผ่อน”
ใบหน้าที่อ่อนนุ่มของเขาเหมือนจะแหลกลงได้ง่ายๆ เพียงแค่การสัมผัส
ผิวของทารกภายใต้นิ้วที่สัมผัสอยู่นั้นอ่อนนุ่มราวกับไขมันแพะ
ทารกที่เดิมทีหลับอยู่มีปฏิกิริยาตอบสนอง อยู่ๆ เขาก็ถีบเท้าและค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
นัยน์ตาเล็กๆ คู่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนจะเรียวยาว
ซูเจ๋อเลิกคิ้วมองเขา
เขาหรุบตาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง หลับต่อไปโดยไม่ตอบสนองอะไรอีก
ซูเจ๋อคอยเฝ้าดูเฉินเสียนอยู่นาน
เขามองมือที่ทั้งเรียวสวยและเรียบเนียนซึ่งวางราบอยู่ข้างลำตัว จากนั้นจึงเอื้อมไปประสานนิ้วกับนิ้วของเธอ ค่อยๆ ดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างนุ่มนวล
เดิมทีเฉินเสียนรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แต่ต่อมาทุกอย่างก็สงบลง ดูเหมือนเธอจะตกลงไปในสถานที่ที่อบอุ่นและค้นพบท่านอนที่สบาย
เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย มีผ้าที่นุ่มสบายรองแก้มให้เธอหนุน กลิ่นหอมจางๆ ของไม้กฤษณาลอยมากระทบจมูกจนทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
เพื่อให้เธอนอนหลับสบาย เขาสามารถอยู่ในอิริยาบถนี้ได้ตั้งแต่เที่ยงคืนจวบจนกระทั่งฟ้าสาง
เมื่อซูเจ๋อจากไป เทียนที่อยู่ในเชิงเทียนก็ดับลงและหลงเหลือไว้เพียงน้ำตาเทียนสีขาว
วันต่อมาอวี้เยี่ยนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางรู้สึกมีชีวิตชีวามากหลังจากนอนหลับอย่างเต็มอิ่มตลอดทั้งวัน
ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่สว่างนัก นางไปที่ห้องของเฉินเสียนและเห็นว่าแม่ลูกยังคงหลับอยู่ทั้งคู่ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเฉินเสียน เมื่อพบว่าอุณหภูมิร่างกายดูเหมือนจะกลับเป็นปกติ นางก็อดดีใจไม่ได้
นางกับแม่นมซุยยุ่งมือเป็นระวิงตลอดทั้งเช้า
เมื่ออวี้เยี่ยนดูแลเฉินเสียน แม่นมซุยก็ให้นมเด็ก
แม่นมซุยพยายามทำให้เด็กร้องอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่ร้อง
ในตอนบ่ายแม่นมซุยมีเวลาว่าง ดังนั้นนางจึงออกไปนอกสวนสระวสันตฤดูเพื่อทำความคุ้นเคยกับจวนแม่ทัพ พร้อมกันนั้นก็ถือโอกาสหาข่าวไปด้วยว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น
แม่นมซุยคุยเก่งมาก ถึงแม้จะไปเจอกับสาวใช้ที่ไม่ใช่คนช่างพูด แต่ใช้เวลาซุบซิบไม่นาน สาวใช้ผู้นั้นก็พรั่งพรูสิ่งที่รู้ออกมาอย่างไม่มีกั๊ก
ตอนกลางวันเฉินเสียนตื่นมาครั้งหนึ่ง ดังนั้นคราวนี้เธอจึงดื่มยาได้จนหมดถ้วย
แต่เธอยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายและยังวิงเวียน เมื่อถึงช่วงหัวค่ำเธอจึงผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เป็นเช่นนี้อยู่สองสามวัน จนในที่สุดอาการของเธอก็ดีขึ้นตามลำดับ
อวี้เยี่ยนกับแม่นมซุยแบ่งสันปันส่วนงานกัน อวี้เยี่ยนเป็นคนรับผิดชอบตอนกลางวัน ส่วนแม่นมซุยรับผิดชอบดูแลในยามกลางคืน
ถึงอย่างไรเด็กก็มักจะดื่มนมหลายครั้งในเวลากลางคืน ดังนั้นการที่แม่นมซุยอยู่จึงสะดวกมากกว่า
กลางดึก แสงเทียนในห้องสั่นไหว
เฉินเสียนค่อยๆ ลืมตาขึ้นและพบว่าเธอกำลังแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของชายผู้หนึ่ง
ปฏิกิริยาของเธอเหมือนกับปฏิกิริยาของลูกอย่างไม่ผิดเพี้ยน แล้วเธอก็ค่อยๆ หรุบตาลงอีกครั้ง
เธอไม่ได้พูดอะไรมานาน เสียงของเธอจึงฟังดูแหบแห้งขณะที่ถามอย่างแผ่วเบาว่า “ซูเจ๋อเหรอ”
คางเย็นๆ ของซูเจ๋อสัมผัสที่หน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา เสียงที่นุ่มละมุนดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ “ข้าเอง”
เฉินเสียนไม่มีเรี่ยวแรงและเอียงศีรษะอย่างเกียจคร้าน เสื้อผ้าของเขาแนบชิดอยู่กับใบหน้าของเธอ เธอรู้สึกสบายเมื่อได้หนุนอ้อมกอดแทนหมอน ทั้งยังอ่อนเพลียเกินกว่าจะเคลื่อนไหว
บางครั้งขณะที่เธอกำลังหลับใหล เธอรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนเข้ามาที่ห้องของเธอทุกคืนและกอดเธอไว้แบบนี้
และทุกๆ คืนเธอยังได้กลิ่นหอมจางๆ ของกลิ่นไม้กฤษณา
กลิ่นไม้กฤษณาผสมผสานกับลมหายใจของเขา นอกจากซูเจ๋อที่มีกลิ่นอายเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ยังจะเป็นใครไปได้อีก
“ท่านแอบเข้ามาในห้องข้าทำไม”
“เพราะข้าได้ยินเหลียนชิงโจวบอกว่าท่านไม่สบาย ข้ามาที่นี่เพื่อรักษาท่าน ไม่อย่างนั้นหมอกำมะลอจากข้างนอกจะทำให้ท่านหายเร็วได้อย่างนี้หรือ”
เฉินเสียนฉีกยิ้มมุมปาก เอ่ยอย่างอ่อนแรงว่า “แล้วทำไมท่านต้องกอดข้าด้วย”
“เมื่อครู่ท่านบ่นว่าหนาว ข้าจึงให้ท่านยืมกอดโดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ”
“ข้าบ่นว่าหนาวทุกคืนรึ”
“ก็ไม่ขนาดนั้น บางครั้งข้าก็รู้สึกหนาว จึงขอยืมกอดของท่านด้วย”
“…”
เฉินเสียนไม่มีแรงจะทะเลาะกับเขา ดังนั้นเธอจึงได้แต่แอบอิงอยู่เงียบๆ และรู้สึกถึงความสงบที่หาได้ยาก
ดูเหมือนเธอจะสัมผัสได้ว่าอากาศยามค่ำคืนที่นอกหน้าต่างนั้นเย็นราวกับสายน้ำ ทั้งยังเหมือนจะรู้สึกถึงเสียงของหยดน้ำค้างแห่งสารทฤดู
นั่นเพราะเวลาเป็นเหตุ
ซูเจ๋อคิดว่าเฉินเสียนหลับไปแล้ว จึงใช้นิ้วที่เรียวยาวและขาวสะอาดเกลี่ยเส้นผมตรงบริเวณจอนของเธอเบาๆ
เขาใช้ปลายนิ้วลูบไล้ที่เส้นผมของเธออย่างแผ่วเบาและเธอก็รู้สึกคันยุบยิบ
เฉินเสียนขยับศีรษะเล็กน้อยและแทรกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา พร้อมกับบอกว่า “อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกหนาวขึ้นมา”
ซูเจ๋อหยุดนิ้ว จากนั้นจึงกระชับอ้อมแขนและกอดเธอแน่นขึ้นไปอีก
นี่คือความรู้สึกที่พอตื่นขึ้นมาแล้วมีใครสักคนคอยเป็นที่พึ่งพิงให้ได้ทันที
“ซูเจ๋อ ท่านโสดหรือเปล่า”
ซูเจ๋อหรุบตาลงซ่อนประกายแสงเอาไว้และเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “ไม่เคยแต่งงานสร้างครอบครัว แล้วก็ไม่เคยสัญญากับใครว่าจะรักตราบชั่วนิรันดร์ จนถึงบัดนี้ยังตัวคนเดียว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข้ากับท่านจะใกล้ชิดกันจนเกินเลยจนทำให้ใครหึงหวงหรืออิจฉาริษยา”
เฉินเสียนหลับตาลง เธอกระตุกยิ้มมุมปากเบาๆ และพูดว่า “งั้นก็ดีสิ เพราะข้าเกรงว่าจะต้องยืมพิงอ้อมกอดของท่านอีกสักพัก ถ้ามีใครบุกมาหาเรื่องที่จวนแม่ทัพมันจะดูไม่ดี”