มีผู้สมรู้ร่วมคิดของนักฆ่าหรือเปล่าเฉินเสียนเองก็ไม่รู้ คืนที่นักฆ่าลงมือเฉินเสียนเองก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และไม่รู้ด้วยว่านักฆ่าไม่ได้มีแค่คนเดียว และยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าคนที่ซ่อนอยู่ในสวนดอกพุดตานจะเป็นนักฆ่า
หลังจากที่ฉินหรูเหลียงออกจากสวนสระวสันตฤดูแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่านานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาที่สวนดอกพุดตาน ในเมื่อหลิ่วเหมยอู่หายป่วยแล้ว เขาก็ควรจะไปดูเสียหน่อย
เพียงแต่ว่านี่ก็ผ่านมานานมากแล้วที่ไม่ได้เจอหน้า เวลาเจอหน้าจะต้องพูดยังไง
ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างทางไปสวนดอกพุดตาน แต่กลับไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่เคยเป็น
ฉินหรูเหลียงเดินอ้อมทะเลสาบอย่างใจเย็น สวนดอกพุดตานตั้งอยู่ปลายทางของถนนเส้นนี้ กลางป่ามีหิ่งห้อยระยิบระยับเต็มไปหมด ดูสวยงามแพรวพราวต้องใจ
แต่ทันใดนั้น ยังไม่ทันที่ฉินหรูเหลียงจะเดินไปถึงที่สวนดอกพุดตาน จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องที่น่ากลัวดังลั่น
เสียงกรีดร้องนี้ดังไปทั้งสวนดอกไม้
ฉินหรูเหลียงที่กำลังกระวนกระวายใจในตอนแรก ก็สะดุ้งไปทั้งตัว รีบรุดไปที่สวนดอกพุดตานทันที รวดเร็วราวกับลมไม่มีผิด
เสียงนั้นดังมาจากสวนดอกพุดตานอย่างแน่นอน ฉินหรูเหลียงได้ยินมันชัดเจน เป็นเสียงของหลิ่วเหมยอู่อย่างแน่นอน
เขาวิ่งรวดเดียวจนถึงสวนดอกพุดตาน ถีบประตูสวนออก กวาดตามองดูสถานการณ์รอบๆ สายตาเยือกเย็น ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว
เซียงหลิงร้องไห้จนร่างกายสั่นสะท้าน เมื่อเห็นฉินหรูเหลียงก็เหมือนเห็นที่พึ่งสุดท้าย รีบตะโกนขึ้นว่า : “ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพช่วยนายหญิงด้วยเจ้าค่ะ!”
เวลานี้หลิ่วเหมยอู่ใบหน้าขาวซีดยืนอยู่กลางเรือน นางถูกคนชุดดำที่ปิดหน้าปิดตามิดชิดจับเป็นตัวประกันอยู่ สายตาของคนที่ปิดหน้ามิดชิดคมกริบ ดาบถูกวางจี้อยู่ใต้คอของหลิ่วเหมยอู่ เพียงแค่ออกแรง ก็จะสามารถสะบั้นชีวิตของหลิ่วเหมยอู่ได้ทันที
“ปล่อยนาง” ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นชัดถ้อยชัดคำ
คนชุดดำกลับพูดขึ้นว่า : “หากไม่อยากให้นางตาย ก็จงหลีกทางไปซะ!”
จากสัญชาตญาณของนักต่อสู้ ฉินหรูเหลียงมั่นใจในทันทีว่าชายชุดดำคนนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มนักฆ่าที่ลงมือในวัง!
เขาเข้าใจคำพูดที่เฉินเสียนพูดไว้ในทันที
ที่ที่อันตรายที่สุดเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด มิน่าล่ะฉินหรูเหลียงค้นทั่วทั้งเมืองหลวงแต่กลับหาไม่เจอ ที่แท้แล้วเขามาซ่อนตัวอยู่ในจวนแม่ทัพนี่เอง!
และตอนนี้เขายังจับหลิ่วเหมยอู่เป็นตัวประกันอยู่
ทั้งตัวของฉินหรูเหลียงเต็มไปด้วยไอพิฆาต เขาพูดขึ้นว่า : “ข้าจะพูดอีกครั้ง ปล่อยนางไปซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ชายชุดดำหัวเราะขึ้นอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ปล่อยนางรึ? ถ้าปล่อยนางไป ข้าก็ไม่มีทางที่จะใช้หนีน่ะสิ? ได้ยินมาว่าหญิงผู้นี้เป็นหญิงที่เจ้ารักมากที่สุด ถ้าเกิดว่าข้าจะต้องตายอยู่ที่นี่ ข้าก็จะให้นางตายไปพร้อมกับข้าด้วยเป็นไง!”
หลิ่วเหมยอู่ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว นางกลัวจนตัวสั่นเทา น้ำตาไหลเงียบๆ
นางมองฉินหรูเหลียงด้วยสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือ ดูแล้วช่างน่าสงสารจับใจ
ชายชุดดำรัดตัวหลิ่วเหมยอู่แน่น เดินออกจากสวนดอกพุดตานไปทีละก้าว ฉินหรูเหลียงทำได้เพียงถอยออกทีละก้าว
เวลานี้ เวรยามของจวนท่านแม่ทัพได้มาถึงที่สวนดอกพุดตานแล้ว และได้ล้อมรอบสวนดอกพุดตานไว้จนหมด
ชายชุดดำพูดกับฉินหรูเหลียงว่า : “นำม้าเร็วมาให้ข้า ข้าจะออกจากเมืองคืนนี้ ข้าถึงจะปล่อยนางไป ไม่อย่างนั้นข้าก็จะฆ่านางซะ!”
ฉินหรูเหลียงสีหน้าแย่มาก นักฆ่าคนนี้คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วกระมังถึงได้กล้าข่มขู่เขาแบบนี้
เขาพูดขึ้นว่า : “เจ้าจะมาต่อรองกับข้างั้นรึ?”
ชายชุดดำขยับดาบชิดคอของหลิ่วเหมยอู่มากขึ้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “สรุปแล้วเจ้าจะรับปากหรือไม่ หากเจ้าไม่รับปาก ข้าก็จะฆ่านางเสียตอนนี้!”
หลิ่วเหมยอู่หายใจเฮือกด้วยความหวาดกลัว สะอื้นเสียงเบา
ดาบที่คมกริบนั้นสัมผัสโดนผิวคอของหลิ่วเหมยอู่ จนมีเลือดซึมออกมา
แววตาของฉินหรูเหลียงเย็นยะเยือก เมื่อเห็นเลือดแดงสดไหลซึมออกมา
ชายชุดดำไม่ได้กำลังล้อเขาเล่น เขาไม่สามารถเดินหน้าได้อีก ไม่อย่างนั้นหลิ่วเหมยอู่คงถูกฆ่าตายแน่ๆ
แต่นักฆ่าที่เขาตามล่าตัวมานานขนาดนี้ จะทำใจปล่อยไปเฉยๆ ได้อย่างไรกัน
เวรยามล้อมรอบเตรียมจู่โจม รอเพียงคำสั่งของท่านแม่ทัพเท่านั้น จะได้ลงมือจับชายชุดดำ
แต่เขาจะทนดูหลิ่วเหมยอู่ตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน
ความเจ็บปวดปะทุขึ้นมาจากภายใต้จิตใจของเขา และกำลังบั่นทอนการตัดสินใจของฉินหรูเหลียง
เวลานี้เอง หลิ่วเหมยอู่ที่กำลังร้องไห้ด้วยความอ่อนแอ จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า: “ท่านแม่ทัพ ไม่ต้องสนใจเหมยอู่ รีบจับมันเถอะเจ้าค่ะ ชีวิตเหมยอู่คนเดียวถึงแม้ตายไปก็ไม่ได้น่าเสียดาย ขอเพียงแค่ได้ทำอะไรเพื่อท่านแม่ทัพเพียงแค่เล็กน้อย เหมยอู่ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ……”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรน่ะ” ฉินหรูเหลียงดุเสียงเข้ม
หลิ่วเหมยอู่ยิ้มทั้งน้ำตา ที่ดูแล้วทั้งงดงามทั้งเศร้าสะเทือนใจในเวลาเดียวกัน นางพูดขึ้นว่า : “ท่านแม่ทัพ เหมยอู่ไม่ได้พูดจาเหลวไหล ชีวิตนี้ได้พบเจอท่านแม่ทัพ ถือเป็นบุญวาสนาของเหมยอู่แล้ว เหมยอู่ไม่มีข้อเรียกร้องอะไร ขอเพียงแค่ท่านแม่ทัพคิดถึงคะนึงหาบ้าง เพียงเท่านี้ถึงตายก็ไม่เสียดายแล้วเจ้าค่ะ”
ชายชุดดำขยับดึงตัวหลิ่วเหมยอู่แหงนขึ้น ดาบขยับเข้าใกล้ยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าไม่มีความอดทนมากพอที่จะมานั่งฟังพวกเจ้าพรรณนาร่ำลา ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะไปเตรียมม้าให้ข้าหรือไม่?”
ฉินหรูเหลียงฉวยโอกาสลงมือก่อนทันที แต่ชายชุดดำได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว และวรยุทธ์ของเขาก็กล้าแกร่งไม่เบา เพียงแค่ฉินหรูเหลียงขยับ ชายชุดดำก็ผลักหลิ่วเหมยอู่มายืนตรงหน้าเขา ให้เขาได้เห็นเต็มสองตา เลือดที่ไหลออกจากคอระหงเปรอะเปื้อนคอเสื้อของหลิ่วเหมยอู่
ฉินหรูเหลียงไร้ซึ่งทางเลือก
สุดท้ายแล้ว เขากำมือแน่น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักหน่วง : “ใครก็ได้ ไปเตรียมม้ามา”
ไม่มีใครกล้าฝืนคำสั่ง เพราะยังไงก็มีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในกำมือของชายชุดดำ เวรยามในจวนของท่านแม่ทัพไม่รู้ว่าชายชุดดำเป็นใครมาจากไหน
เพียงไม่นานก็มีคนจูงม้ามา ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นว่า : “ปล่อยนางไป ข้าจะให้ม้ากับเจ้า”
ชายชุดดำหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “แม่ทัพฉิน ข้าไม่ได้โง่ หากข้าปล่อยนางตอนนี้ คงจะขี่ม้าพ้นแค่จวนท่านแม่ทัพ แต่มิอาจพ้นนอกเมืองได้ เพื่อความปลอดภัยแล้ว ข้าจึงจะต้องพานางออกไปให้พ้นนอกเมืองก่อน จึงจะปล่อยนางได้”
พูดจบ ชายชุดดำก็จับหลิ่วเหมยอู่แน่นแล้วกระโดดบินขึ้นนั่งหลังม้า ดึงบังเหียนม้าด้วยท่วงท่าที่ว่องไว จากนั้นก็ควบม้าพุ่งทะยานออกไปทันที ทิ้งท้ายคำพูดว่า : “แม่ทัพฉิน ข้าต้องไหว้วานท่านให้ช่วยเปิดประตูเมือง!”
เวลานี้ประตูเมืองได้ปิดลงแล้ว แต่ถ้าแม่ทัพฉินออกหน้า การเปิดประตูเมืองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ชายชุดดำนำหน้าไปก่อน ฉินหรูเหลียงขี่ม้าตามหลังพร้อมด้วยหน่วยตระเวนหนึ่งกลุ่ม
เรื่องนี้สร้างความโกลาหลไม่น้อย เฉินเสียนที่ยังไม่ได้เข้านอน ก็ได้ยินอวี้เยี่ยนวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านแม่ทัพรู้ว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ที่สวนดอกพุดตาน แต่ชายชุดดำกลับจับนางหลิ่วเป็นตัวประกัน จากนั้นก็ขู่เอาม้าหนึ่งตัวจากท่านแม่ทัพ แล้วออกนอกเมืองทันที”
เฉินเสียนขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เจ้าบอกว่าชายชุดดำได้จับหลิ่วเหมยอู่เป็นตัวประกันอย่างงั้นรึ?”
อวี้เยี่ยนพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เพคะ”
เฉินเสียนเดินไปเดินมาในห้องอยู่ครู่หนึ่ง เธอกำลังครุ่นคิด ถ้าหากถูกจับเป็นตัวประกันจริงๆ แล้วทำไมหลิ่วเหมยอู่ถึงยอมช่วยเขา เรียกหมอไปรักษาเขา แถมยังหาข้าวปลาอาหารให้กิน แล้วยังจะมานั่งโกหกว่าตัวเองเป็นอีสุกอีใสต้องเก็บตัวอยู่แต่ในสวนดอกพุดตาน ก็เพื่อไม่อยากให้ใครมาเห็นคนคนนั้นเข้าไม่ใช่หรือ?”
เฉินเสียนไม่ได้เห็นเองกับตา จึงไม่รู้ว่าที่จับเป็นตัวประกันนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่
หากว่าชายชุดดำต้องการจะหนีออกนอกเมืองอย่างราบรื่น และหลิ่วเหมยอู่เองก็ต้องการจะสลัดตัวออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัย จากผู้ให้ความช่วยเหลือนักฆ่าเปลี่ยนเป็นผู้เคราะห์ร้าย การถูกจับเป็นตัวประกันถือเป็นทางเลือกที่ดีทีเดียว
เมื่อถึงประตูเมือง หลิ่วเหมยอู่ยังอยู่บนม้าของชายชุดดำ ฉินหรูเหลียงทำได้เพียงสั่งเปิดประตูเมืองอย่างไม่มีทางเลือก
คบเพลิงของประตูเมืองส่องสว่างไปยังความมืดนอกประตูเมือง
เมื่อพูดจบ ชายชุดดำก็ดึงกระชากบังเหียนม้า ควบม้าพุ่งออกนอกเมืองด้วยอย่างรวดเร็วทันที