เฉินเสียนเลิกคิ้ว วางตะเกียบลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ก็น่าแปลกใจอยู่นะ เหมยอู่ห่วงเรือนร่างของนางขนาดนั้น มื้ออาหารปกติก็เห็นกินแค่ไม่กี่คำ แต่มื้อดึกกลับกินเยอะขนาดนี้? หรือเป็นเพราะเซียงหลิงกินกับนางด้วยงั้นเหรอ?”
อวี้เยี่ยนส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่น่าจะเป็นไปได้ หม่อมฉันสนิทสนมกับองค์หญิงขนาดนี้ ก็ยังต้องแยกทานเลย นางหลิ่วกับเซียงหลิงก็ยิ่งแล้วใหญ่เลยเพคะ”
“เจ้าคอยสอดส่องหน่อยก็แล้วกัน”
เวลานี้ เซียงหลิงได้นำอาหารไปยังสวนดอกพุดตาน แล้วพูดกับหลิ่วเหมยอู่ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ : “นายหญิงเจ้าคะ เมื่อครู่นี้ตอนที่บ่าวไปเอาอาหารที่ห้องครัว บ่าวได้เจอกับอวี้เยี่ยนคนข้างกายขององค์หญิงด้วยเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมยอู่นิ่งไปชั่วขณะ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “แล้วเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
เซียงหลิงส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่มีเจ้าค่ะ บ่าวบอกเพียงว่ามาเอาอาหารให้นายหญิง อวี้เยี่ยนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ บ่าวเองก็นึกไม่ถึงว่าดึกขนาดนี้แล้ว อวี้เยี่ยนยังจะไปที่ห้องครัว”
หลิ่วเหมยอู่พูดขึ้นว่า : “เจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้นหน่อย คราวหน้าก็ระวังอย่าให้เจอ”
เฉินเสียนรู้สึกว่า เรื่องผิดปกตินี้มีอะไรในกอไผ่อย่างแน่นอน
เธอสั่งให้อวี้เยี่ยนไปที่ห้องครัวในเวลาเดียวกันสองวันติด แต่เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น อวี้เยี่ยนจะต้องห้ามปรากฏตัวในห้องครัว ทำได้แค่หลบอยู่ในที่มืดๆ เท่านั้น รอดูว่าเซียงหลิงจะไปที่ห้องครัวหรือเปล่า
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เซียงหลิงได้ไปที่ห้องครัวทุกคืน
เห็นได้ชัดว่าทุกครั้งที่ไปก็จะระวังตัวเสมอ ก่อนที่จะเข้าห้องครัวก็จะกวาดตามองไปรอบๆ ก่อน เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร ก็จะรีบเข้าไปในห้องครัวทันที เมื่อเอาอาหารเสร็จแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ปริมาณอาหารที่เซียงหลิงเอาไปทุกครั้ง ไม่ใช่ปริมาณอาหารของหลิ่วเหมยอู่กินคนเดียวอย่าแน่นอน
และหมอที่เข้าออกในสวนดอกพุดตานไม่ใช่หมอที่รักษาให้จวนท่านแม่ทัพเป็นประจำ แต่กลับเป็นหมอที่ไม่คุ้นหน้า
หลายวันมานี้ หมอผู้นี้เข้าออกสวนดอกพุดตานตลอด เฉินเสียนให้อวี้เยี่ยนประคองเธอไปเดินเล่นแถวๆ ที่สวนดอกพุดตาน หาที่นั่งร่มๆ ใกล้ๆ กับสวนดอกพุดตาน
เซียงหลิงเปิดประตูให้หมอเข้าไป หลังจากนั้นก็รีบปิดประตูลงอย่างระมัดระวังทันที
เฉินเสียนรีบชี้ พร้อมพูดกับอวี้เยี่ยนว่า : “ไปเร็ว รีบไปแอบดูตามช่องประตู ว่าหลิ่วเหมยอู่กำลังทำอะไรอยู่”
เพราะว่าประตูของสวนดอกพุดตานปิดลงแล้ว ที่ตรงนี้ก็ไม่น่าจะมีใครคนอื่นแล้ว
อวี้เยี่ยนตามเฉินเสียนมานานพอควร นับวันความกล้าก็ทวีคูณยิ่งขึ้น ลุกขึ้นสีหน้าไม่เปลี่ยน รีบย่องเข้าไปแถวๆ สวนดอกพุดตานทันที
ถึงแม้ว่าประตูเรือนปิดอยู่ แต่อวี้เยี่ยนก็ยังสามารถมองเห็นด้านในผ่านช่องประตู
ผ่านไปครู่หนึ่ง อวี้เยี่ยนก็หมุนตัววิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว นางตรงดิ่งไปนั่งใต้ร่มไม้ข้างๆ เฉินเสียน มองดูหมอแบกกล่องยาเดินออกมาจากสวนดอกพุดตาน
เฉินเสียนที่กำลังพัดวี หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่เลวนี่ อวี้เยี่ยน นับวันยิ่งมีศักยภาพของโจรเข้าทุกวัน หน้านิ่งไม่ลนลานแม้แต่นิดเดียว”
อวี้เยี่ยนกลอกตามองบน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “องค์หญิงหยุดเย้าหม่อมฉันได้แล้วเพคะ พระองค์ลองทายดูสิว่าหม่อมฉันเห็นอะไร?”
เฉินเสียนเลิกคิ้ว ส่งสัญญาณให้นางพูดต่อ
“หม่อมฉันเห็นหมอกำลังยกกะละมังเลือดออกมาจากห้องของเซียงหลิง เซียงหลิงเองก็ได้ยกกะละมังเลือดตามออกมาด้วย แล้วนำไปเททิ้งที่แปลงดอกไม้กลางเรือน”
เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ : “เจ้าแน่ใจรึว่าไม่ได้ดูผิด หมอผู้นั้นเดินออกจากห้องของเซียงหลิงไม่ผิดแน่นะ? และกะละมังที่เซียงหลิงยกออกมานั้นเป็นน้ำเลือดจริงๆ?”
อวี้เยี่ยนพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หม่อมฉันเห็นมันชัดเจนมาก สีเลือดนั้นแดงสด ไม่ใช่ปุ๋ยที่ใช้บำรุงดอกไม้หรอกมั้งเพคะ”
พูดจบ อวี้เยี่ยนจู่ๆ ก็เริ่มลังเลขึ้นมา แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “องค์หญิง นางหลิ่วคงไม่ได้เป็นอีสุกอีใสหรอกมั้งเพคะ โรคอีสุกอีใสเลือดคงจะไม่ไหลเยอะขนาดนี้ หม่อมฉันจำได้ว่าองค์หญิงก็เคยเป็นโรคนี้มาก่อน ขอเพียงแค่ไม่ทำให้ตุ่มน้ำแตก มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้น”
เฉินเสียนลูบคางอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบกลับว่าใช่หรือไม่
หมอไปดูไข้ให้หลิ่วเหมยอู่ แต่กลับเดินออกมาจากห้องเซียงหลิง เซียงหลิงได้ไปที่ห้องครัวเอาอาหารมาปริมาณมาก และยังมีเลือด……
แต่ในระหว่างที่ยังไม่กระจ่าง ก็ห้ามมองข้ามบทสรุปไป
ยาหม้อที่หลิ่วเหมยอู่ต้องใช้ ถูกต้มตรงตามเวลาทุกวัน เซียงหลิงเพียงแค่ต้องไปยกยาจากห้องครัวไปที่สวนดอกพุดตาน
เพียงแต่วันนี้ ในขณะที่เซียงหลิงกำลังมาเอายานั้น ก็บังเอิญเจอเฉินเสียนและอวี้เยี่ยนในห้องครัวเข้าพอดี ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ ขวางทางออกของห้องครัวเข้าพอดี
เซียงหลิงเงยหน้าขึ้นมาเจอเฉินเสียน สีหน้าก็ขาวซีดทันที
จู่ๆ องค์หญิงมาที่ห้องครัวทำไมกัน?
หลิ่วเหมยอู่กำชับไว้เป็นอย่างดี เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับเท่านั้น นอกจากท่านแม่ทัพแล้ว ก็ยังมีเฉินเสียนอีกคนที่ห้ามให้รู้เรื่องนี้เด็ดขาด
เซียงหลิงก้มหน้าย่อตัวทำความเคารพ : “หม่อมฉันถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”
เฉินเสียนจ้องมองมือของนางที่ถือถาดแน่นจนเล็บขาวซีด จึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “นี่เป็นยาที่จะส่งไปให้หลิ่วเหมยอู่หรือ?”
“เพคะ”
“อีสุกอีใสที่เหมยอู่เป็นยังไม่หายอีกรึ? เป็นเพราะหมอคนนั้นไม่เก่งหรือเปล่า ข้าว่าคงจะต้องเปลี่ยนหมอคนใหม่ที่เก่งกว่านี้ให้นางแล้วล่ะ”
พอเซียงหลิงได้ยิน ร่างกายก็สะดุ้งเล็กน้อย แล้วจึงรีบพูดขึ้นว่า : “ทูลองค์หญิง อีสุกอีใสที่นายหญิงเป็นดีขึ้นมากแล้ว หมอบอกว่ายาพวกนี้ห้ามหยุดเด็ดขาด ต้องดื่มอีกหลายวันเพื่อความแน่นอนเพคะ”
เฉินเสียนฉีกยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง งั้นเจ้าก็รีบไปส่งยาเถอะ ให้เหมยอู่รักษาร่างกายให้หายเร็ววัน เมื่อหายแล้วจะได้รีบกลับไปครองรักเคียงคู่ท่านแม่ทัพ”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
เฉินเสียนและอวี้เยี่ยนเอี้ยวตัวหลีกทางให้เซียงหลิง
เซียงหลิงก้มหน้าโค้งตัว ยกถาดเดินออกไปจากทางด้านข้าง
เฉินเสียนเอียงคอจ้องมองแผ่นหลังของนาง เธอหรี่ตาลง ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ดูแล้วคนที่ป่วยไม่ใช่เหมยอู่สินะ”
แล้วสรุปเป็นใครล่ะ?
อวี้เยี่ยนรู้สึกอึ้งมาก รีบพูดขึ้นด้วยเสียงเบา : “องค์หญิง หรือว่าที่สวนดอกพุดตานจะซ่อนคนอื่นไว้จริงๆ?”
สัญญาณทั้งหมดถูกชี้ไปที่ความเป็นไปได้จุดนี้จุดเดียวเท่านั้น
เซียงหลิงไปเอาอาหารกลางดึกให้หลิ่วเหมยอู่ หมอเข้าออกที่สวนดอกพุดตานตลอด แต่คนที่ป่วยกลับไม่ใช่หลิ่วเหมยอู่ อีกอย่างตอนที่กำลังคุยกับเซียงหลิงนั้น เธอเองได้ดมกลิ่นยาต้มของหลิ่วเหมยอู่ด้วย จึงรู้ว่านั่นไม่ใช่ยารักษาโรคอีสุกอีใส แต่เป็นยาที่ใช้รักษาบาดแผลภายนอกต่างหาก
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เป็นไปได้มากว่ามีคนอื่นอยู่ในสวนดอกพุดตานด้วย และคนคนนี้ยังบาดเจ็บอีกด้วย และหลิ่วเหมยอู่ก็กำลังช่วยรักษาบาดแผลของเขา
เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างมีแผนร้าย การอนุมานนี้มีความหมายและน่าสนใจจริงๆ เธอพูดขึ้นว่า : “นี่เป็นข่าวใหญ่เชียวล่ะ”
แผนต่อไปคืออะไร เฉินเสียนไม่ได้แจงรายละเอียด
ในเมื่อมาถึงห้องครัวแล้ว เธอจึงให้อวี้เยี่ยนนำของหวานกลับไปที่สวนสระวสันตฤดูด้วย
เซียงหลิงรู้สึกแปลกใจมาก เฉินเสียนถามนางเพียงไม่กี่คำก็ปล่อยนางไปแล้ว นางจึงรีบตรงดิ่งไปที่สวนดอกพุดตาน ลึกๆ ในใจรู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากลเท่าไหร่
เซียงหลิงระวังตัวเป็นอย่างมาก และไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องครัวให้หลิ่วเหมยอู่ฟัง
หลิ่วเหมยอู่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางพูดขึ้นว่า : “นางจะต้องสังเกตเห็นอะไรเข้าแน่ๆ”
เวลานี้กำลังเข้าสู่ช่วงพลบค่ำยามโพล้เพล้
หลายวันมานี้หลิ่วเหมยอู่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวัน แต่กลับไม่เห็นมีอะไรเคลื่อนไหวเลยแม่แต่น้อย
เฉินเสียนบอกว่าจะเปลี่ยนหมอให้นาง แต่หากเปลี่ยนหมอแล้ว นางยังอยู่ดีไม่ได้เป็นอะไร แผนก็แตกน่ะสิ เซียงหลิงเองก็จำเป็นต้องตอบว่าอาการของนางดีขึ้นมากแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว งั้นก็แสดงว่าหลิ่วเหมยอู่หายดีแล้ว และเวลานี้หากมีใครเข้ามาที่สวนดอกพุดตาน เรื่องคงจะแดงแน่
และหากคนคนนั้นเป็นฉินหรูเหลียงล่ะก็ จะต้องรู้ได้ทันทีอย่างแน่นอน