เฉินเสียนเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มแล้วกล่าวว่า: “จะว่าได้อย่างไร เห็นพวกเจ้ารักกันเช่นนี้ ข้าดีใจสิไม่ว่า แต่เจ้ายังหนุ่มยังสาว ต้องระมัดระวังบ้างนะ มิเช่นนั้น หากเสียสุขภาพไปล่ะก็ จะมิสามารถทำให้ท่านแม่ทัพพอใจได้นะ”
หลิ่วเหมยอู่หน้าเขียวหน้าแดง
ฉินหรูเหลียงปล่อยม่านลงแล้วกล่าวว่า: “จะสาธยายกับนางทำไมกัน เปลืองน้ำลายนัก”
เมื่อพระอาทิตย์ตกดินก่อนเข้าสู่ช่วงมืดค่ำ ท้องฟ้าที่ไร้เมฆและมีสีครามสะอาดสะอ้านนั่น ช่างเข้ากับความเงียบสงบในพลบค่ำนี้เหลือเกิน
แสงไฟนับพันดวงในวังถูกจุดให้สว่างขึ้นทีละดวง ที่ตึกฉงโหลวอวี้ยวี๋สว่างไสวและงดงามภายใต้แสงไฟอันเจิดจ้า
เหล่าขุนนางหลายร้อยนายมาชุมนุมกันที่หน้าประตูพระราชวังพร้อมกับครอบครัวของพวกเขา ทั้งเกี้ยว รถม้าที่หลากหลาย รวมถึงเหล่านายหญิงและองค์หญิง ต่างก็เฉิดฉายมากพอกัน
หากเจอคนคุ้นเคยกัน พวกนายหญิงและองค์หญิงก็จะเข้าวังด้วยกัน คุยไปหัวเราะไป ช่างเป็นบรรยากาศของงานฉลองเสียจริง
แน่นอนว่า เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการโต้เถียงกันว่า กระโปรงของท่านตัดร้านไหนกัน และปิ่นปักผมของท่านซื้อร้านไหนกัน
เมื่อเข้าไปในวังฉินหรูเหลียงจงใจชะลอตัวลง เพื่อดูแลสถานการณ์ของเฉินเสียน
เมื่อทั้งสามเข้าไปในวัง ก็ได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย
หลิ่วเหมยอู่ก้มศีรษะลงและเดินตามด้านข้างของฉินหรูเหลียง และเงยหน้าขึ้นมองด้วยรูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์
มีรูปลักษณ์เช่นนี้ มองจากเท้าก็รู้ว่าว่านางเป็นภรรยาคนที่สองของแม่ทัพฉิน ซึ่งเป็นนายหญิงรองที่ท่านแม่ทัพรักมากเป็นที่สุดคนหนึ่ง
จู่ๆ ฉินหรูเหลียงก็พาหญิงทั้งสองมาด้วยกันกับเขาในวันนี้
หลังจากที่นั่งลง สายตาทั้งหมดรอบๆก็มองมา แต่ไม่มีผู้ใดเข้ามาทักทายก่อนเลยสักคนหนึ่ง
ในอดีตเฉินเสียนไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับหญิงสาวเหล่านี้ ส่วนหลิ่วเหมยอู่ก็ไม่เคยอยู่ในแวดวงนี้มาก่อน
เรื่องซุบซิบนินทาพวกนี้ มีเพียงหญิงสาวเท่านั้นที่สนใจ พวกชายหนุ่มไม่สนใจเรื่องนี้กันหรอก
มีนายหญิงและหญิงสาวมากมาย ไม่รู้ว่าใครเป็นของใครกัน แค่เจอคนงามหน่อยก็แค่หันมองบ้างเท่านั้นเอง
เฉินเสียนสบายมากในคืนนี้ มีหลิ่วเหมยอู่กับฉินหรูเหลียงแล้ว ก็ไม่คุยเรื่องอะไรของเธออีก
งานฉลองในพระราชวังถูกจัดอยู่ในอุทยานอวี้ฮัวขนาดใหญ่ สายลมยามเย็นพัดมา ให้ความรู้สึกเย็นมาก
มีเวทีอยู่กลางอุทยาน เหล่านักดนตรีและนักเต้นรำในพระราชสำนักกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในคืนนี้
ขุนนางหลายร้อยนายก็ร่วมแสดงความยินดีและร้องเพลงแสดงความยินดี ท่ามกลางการแสดงเหล่านั้น
ไม่มีผู้ใดสนใจเฉินเสียนเลย เธอกินและดื่มอย่างสนุกสนาน
แต่เมื่อแสงและเงาหนึ่งตกลงมา เธอเห็นคนที่คุ้นเคยอยู่ที่มุมของเงาต้นไม้
ชายคนนั้นแต่งกายด้วยชุดสีดำและมุมที่เขานั่งอยู่นั้นมืดมาก จนผู้คนมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย
เฉินเสียนไม่รู้ว่าเธอพบเขาได้อย่างไร บางทีเธออาจรู้สึกว่ามีแสงๆหนึ่งกำลังมองเธออยู่ตรงมุมนั้นก็เป็นได้
เธอดูคลุมเครือแล้วหัวใจของเธอก็เต้นรัวขึ้น
ชายคนนั้นพบว่าเธอกำลังมองมาที่เขาจริง ๆ แล้วยกแก้วขึ้นด้วยมือเปล่าจากนั้นก็ดื่มมันลงไป
ซูเจ๋อ?
เฉินเสียนสงสัยว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า
หลังมื้อค่ำได้จบลง ดอกไม้ไฟจำนวนมากก็ปะทุขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน
ขณะนี้มีนักแสดงบนเวทีกำลังเตรียมร้องเพลง
ทุกคนออกจากโต๊ะและนั่งรอบๆ เวที ดวงตาของพวกเขาถูกดึงดูดด้วยดอกไม้ไฟในท้องฟ้ายามค่ำคืนและนักแสดงบนเวที
มีคนจงใจเดินผ่านเฉินเสียนและสัมผัสมือของเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อเธอรู้สึกตัว บุคคลนั้นก็หายตัวไปในหมู่ขุนนางแล้ว เธอเห็นแต่แผ่นหลังที่เรียวยาวเท่านั้น
เฉินเสียนพบจดหมายในมือของเธอ มีคำที่สวยงามมากเขียนอยู่–มาที่โรงเรียนไท่
ผู้เขียนจดหมายนั่นก็คือเหลียนชิงโจวนั่นเอง
เฉินเสียนตกใจและรีบเก็บจดหมาย
จิ้งจอกเหลียนตัวนี้ช่างกล้านักแม้แต่ในวังก็กล้าเข้ามาแล้วงั้นหรือ?มีเวลามากมายที่จะพบเธอ เหตุใดถึงต้องอยากพบเธอในเวลานี้ด้วยเล่า?
เฉินเสียนไม่เชื่อทั้งหมด เธอไม่เห็นด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนส่งจดหมายให้เธอ
แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเธอกับเหลียนชิงโจงนั้น มีความสัมพันธ์ที่ดี
ด้วยความสงสัย เฉินเสียนจึงออกจากงานฉลองอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ผู้คนไม่สนใจ
ครั้งนั้น เธอเคยไปโรงเรียนไท่อยู่ครั้งหนึ่ง พอรู้ว่าควรไปอย่างไร
ถนนเส้นหวู่ถงนี้มืดครึ้ม แสงไฟในป่าก็สลัวเช่นกัน
เฉินเสียนเดินไปตามถนนเส้นนั้นและเคาะหัวตัวเอง แล้วพึมพำกับตัวเองว่า: “เฉินเสียน เจ้าโง่หรือไงกัน อีกฝ่ายไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใคร เจ้าก็มองไม่ชัด กล้าดียังไงถึงมั่นใจว่าเป็นเหลียนชิงโจวกัน?”
แต่ขาของเธอก็เดินไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้
อาจเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเธอ
ไม่นานหลังจากนั้น เฉินเสียนก็ยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนไท่แล้ว
ประตูไม่ได้ล็อกไว้ เพียงแค่ปิดไว้เล็กน้อย ราวกับว่ามีช่องว่างเหลือไว้เป็นพิเศษสำหรับเฉินเสียน รอให้เธอเข้าไป
ในขณะนี้ ก็มีแสงอบอุ่นปรากฏขึ้นภายใน
เฉินเสียนยิ่นมือของเธอผลักประตูเข้าไป
ต้นหวูถงในโรงเรียนส่งเสียงกรอบแกรบ และเฉินเสียนก็เหยียบดอกหวู่ถงไปทั่วพื้น แล้วเดินทีละก้าวไปยังห้องโถงที่เป็นแหล่งกำเนิดของแสง
แสงสลัวมาก เฉินเสียนยืนอยู่ที่ประตู มองดูร่างที่หันหลังให้กับเธอ เธออยู่ในความงุนงง และนึกถึงภาพแผ่นหลังของอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ในโถง
ดูเหมือนไม่ใช่ความจริงนัก
เฉินเสียนยังคงได้เอ่ยเสียงที่ไม่แน่นอนดังอยู่ในลำคอของเธอ: “ซูเจ๋อ?”
“ข้ามีความสุขมาก ที่เจ้าจำข้าได้เพียงแค่มองแผ่นหลังของข้า” เขาหันกลับมาและแสงไฟก็ปรากฏในดวงตาของเขา ราวกับว่าดวงตาของเขาเป็นแหล่งกำเนิดของแสงนั้นอย่างไรอย่างนั้น
เฉินเสียนถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก: “ข้าเห็นว่าคนที่อยู่ตรงมุมนั้นดูเหมือนท่านนัก ไม่คิดว่าจะเป็นท่านจริงๆ”
ซูเจ๋อยิ้มเบา ๆ “ดูเหมือนว่าข้าจะทำให้ท่านรู้สึกประทับใจไม่น้อยนะ”
เฉินเสียนรู้แล้วว่า เหตุใดเธอถึงไม่สามารถควบคุมขาของเธอได้ เธอเพียงต้องการยืนยันว่าเธอตาฝาดไปหรือไม่
หากซูเจ๋อยังเข้าไปในวังได้ ถ้าเช่นนั้นเหลียนชิงโจวก็มาด้วยงั้นรึ?
เฉินเสียนก้าวเข้าไปในประตูและพูดว่า: “เหตุใดท่านถึงมาในวังได้ เหลียนชิงโจงล่ะ?” เธอมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบเหลียนชิงโจว
เมื่อซูเจ๋อเห็นเธอเข้ามาก็พูดว่า: “ปิดประตู”
เฉินเสียนเหลือบมองที่ประตูที่เปิดอยู่และถามว่า: “เปิดประตูอยู่ดีๆจะปิดทำไมกัน?”
“ข้ากลัวว่าจะถูกเข้าใจผิด” เขาจริงจังมากแต่นัยน์ตาคมกริบและกล่าวว่า “ท่านกับข้ามาเจอกันที่นี่หากมีคนมาพบเข้า จะเข้าใจผิดว่าเราเป็นชู้กัน”
เฉินเสียนขมวดคิ้ว “ข้าท้องโตเช่นนี้ จะเป็นชู้กับท่านได้งั้นรึ?”
ถึงอย่างนั้น เฉินเสียนก็รีบปิดประตูด้วยความเร็วแสง
หากเรื่องนี้โดนใครพบเข้าจริงๆ ก็ไม่แน่นะ
ซูเจ๋อกล่าวว่า: “ใครว่าสตรีมีครรภ์จะมีชู้ไม่ได้ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่เลวนัก”
เฉินเสียนรู้สึกเหมือนถูกซูเจ๋อทุบตีและกล่าวว่า “ท่านกำลังว่าข้าหรือชมตัวเองอยู่กันแน่?”
ซูเจ๋อกล่าว: “ท่านกล้ามากนะ ที่กล้ามาที่นี่โดยไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นนี้”
“ข้าจำท่านได้แล้วมิใช่หรือ” เฉินเสียนถาม “เหลียนชิงโจวอยู่ที่ไหนกัน เรียกข้ามาหามีเรื่องอันใดกัน?”
“เหลียนชิงโจวไม่ได้มาที่นี่ ข้าเรียกท่านมาเอง”
“ท่านโกหกข้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงส่งจดหมายในนามของเหลียนชิงโจวล่ะ?”
ซูเจ๋อกล่าว: “ข้าเขียนชื่อเขา แต่ไม่ได้บอกว่าเขาเรียกท่านมา ทำให้ท่านเข้าใจผิด ข้ารู้สึกผิดจริงๆ”