เดิมทีรอยบาดแผลที่กลางฝ่ามือของเธอก็ลึกอยู่แล้ว ต่อมาเธอก็ทำให้มันหนักขึ้นกว่าเดิม จนดูไม่ได้เลย
เฉินเสียนสูดลมหายใจ ตอนที่ซูเจ๋อดึงผ้าพันแผลออกเธอก็ปาดน้ำตาเบาๆ
“เจ็บมากหรือ?”
“ท่านรู้อยู่แล้วก็ทำทีแกล้งถามหรือ?”
ซูเจ๋อเอ่ย“ใช่”
เฉินเสียนรู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก แน่นอยู่ที่บริเวณหน้าอกเป็นอย่างมาก“ตอนนี้ข้าเจ็บมาก ท่านจะทำเยี่ยงไรกันเล่า?”
ซูเจ๋อมองเธออีกครั้ง เอ่ยอย่างเข้าใจ“ข้าก็บอกได้เพียงแค่ให้ท่านอดทน ข้ามิใช่ว่าจะเจ็บปวดแทนท่านได้”
เฉินเสียนรู้สึกลนลานขึ้นมาทันที และกล่าวขึ้น“ห้ะ ข้าเพิ่งจะค้นพบว่า พวกท่านคนที่ช่วยเหลือผู้คนนี่ น่าโมโหเสียจริงๆ ท่านปลอบใจคนป่วยดีๆสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ?”
ด้วยเหตุนี้ซูเจ๋อจึงเอ่ยปลอบใจเธอ“อย่าโมโหเลย โมโหแล้วทำให้ส่งผลไม่ดีต่อทารกนะ”
เฉินเสียนทำสีหน้าเบื่อหน่าย“ท่านปลอบใจคนได้ดีเสียจริง”
ซูเจ๋อหัวเราะออกมาทันที
เสียงที่ดังอยู่ภายในห้อง ทะลุเข้ามาในโสตประสาทของเฉินเสียน ราวกับเป็นเสียงดนตรีที่ซาบซึ้งกินใจที่สุดในโลก
ซูเจ๋อเอ่ย“เสร็จแล้ว”
เฉินเสียนก้มหัวลงมองฝ่ามือของตัวเอง ซูเจ๋อได้ทำแผลให้เธอเสร็จโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว อีกทั้งยังพันยาเรียบร้อยแล้ว
เมื่อครู่นี้เขาจงใจที่จะหันเหความสนใจของเธอใช่หรือไม่?
ช่วงที่พูดคุยกับเขา ตัวเธอเองก็ลืมความเจ็บปวดที่มือเสียจนหมดสิ้น
ซูเจ๋อบีบยาขี้ผึ้งสีขาวออกมา ไม่มองเฉินเสียนเลยสักนิด แล้วทายาที่บาดแผลบริเวณแขนกับหลังมือให้กับเธอเอ่ยถาม“บนร่างกายยังมีจุดอื่นที่มีบาดแผลอีกหรือไม่?”
เฉินเสียนเอ่ย“มีแล้วอย่างไรล่ะ ไม่มีแล้วอย่างไร?”
ซูเจ๋อชะงักงัน แล้วเอ่ยตัดบท“มีก็ถอดชุดออก ไม่มีก็ไม่ต้อง”
เฉินเสียนถูกตอกหน้าหงายแล้วสองครั้ง เอ่ยด้วยท่าทางไม่พอใจ“ไม่มี!”
ตั้งแต่เธอข้ามภพมา เป็นเธอที่ตอกกลับผู้อื่น ไม่เคยมีใครเถียงเธอได้
คนผู้นี้ น่าโมโหชะมัดเลย
เขามักจะแสยะยิ้มที่มุมปากอยู่เสมอ ถึงแม้จะดูดีเป็นอย่างมาก แต่ก็ยั่วโมโหเสียจริง
เฉินเสียนเอ่ยถามอีกอย่างเอาแต่ใจ“ท่านมีนามว่าอะไร?”
“ซูเจ๋อ ”ซูเจ๋อหรี่ตามองเธอ “ไม่เจอกันตั้งนาน อุปนิสัยใจคอท่านเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน”
“ท่านก็รู้จักข้ามาก่อนหรือ?”
“ไม่เพียงแค่รู้จักเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใครกัน มีฐานะอย่างไร?”เฉินเสียนไม่มีภาพแห่งความทรงจำกับชื่อนี้เลย และก็ยังไม่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเขาเลยสักอย่าง
“ได้ยินมาว่าท่านสูญเสียความทรงจำ เก็บสิ่งนี้ไว้ให้ท่านค่อยๆคิดละกัน”ซูเจ๋อเอ่ย “ช่วงที่ท่านตั้งครรภ์ ท่านควรที่จะฝึกสมองบ้าง ไม่เช่นนั้นอนาคตจะทำให้เขลาได้”
ห้ะ เจ้าซูเจ๋อ คนนี้นี่!
เธอจะสามารถใช้ขาเตะให้เขาหงายได้หรือไม่?
เฉินเสียนจ้องเขาเขม็งด้วยความโมโห “ท่านนั่นแหละเขลา ข้าจะถามท่านอีกหนึ่งคำถามเป็นครั้งสุดท้าย”
ระหว่างที่พูด เธอก็เข้าไปใกล้ๆ ทันใดนั้นเธอก็ใช้มือข้างที่ไม่บาดเจ็บคว้าเสื้อคลุมของซูเจ๋อไว้แน่น ดึงเขาเข้ามาตรงหน้าเธอ
เฉินเสียนมองเขา หลังจากนั้นก็โน้มเข้าไปดมบริเวณแขนเสื้อของเขา
ซูเจ๋อชะงักงันชั่วขณะ แล้วหัวเราะเย้ยหยันออกมาอย่างไพเราะ“คาดไม่ถึงว่าท่านยังมีความชอบเช่นนี้”
เฉินเสียนเอ่ย“กลิ่นของไม้กฤษณา ที่แท้มันแผ่กระจายกลิ่นออกมาจากตัวของท่าน ”เธอจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา“ยามวิกาลวันนั้นคนที่บุกเข้าไปในห้องของข้า คือท่านใช่หรือไม่?”
“คืนวันไหน?”ซูเจ๋อย้อนถามกลับอย่างอ้อยอิ่ง
“วันนั้นอยู่ในเรือนของเหลียนชิงโจวอย่างไรเล่า!”
ซูเจ๋อจงใจตอบกลับอย่างจริงจัง หลังจากนั้นยิ้มแล้วมองที่เฉินเสียน “ที่เรือนของเหลียนชิงโจววันไหนกันเล่า?”
เฉินเสียนกัดฟันกรอด เขาได้เอ่ยออกนอกเรื่องอีกครั้ง“มองดูแล้วข้าเป็นคนที่เหลวไหลเช่นนั้นเชียวหรือ?”
“ใครจะไปรู้เล่า!”เฉินเสียนเอ่ย “ท่านอย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เลย ข้ารู้ว่าเป็นท่าน ท่านเข้ามาในห้องข้าในยามวิกาลเพื่อทำสิ่งใดกัน?”
ซูเจ๋อพูดปัดไปทางอื่นเหมือนไม่มีอะไร ลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม ผมด้านหลังกระจายอยู่บนไหล่ เพิ่มความอ่อนโยนให้กับเขาเป็นอย่างมาก
ซูเจ๋อเอ่ย“ท่านมั่นใจเช่นนั้นเชียว มีหลักฐานหรือไม่? ท่านเห็นกับตาตัวเองหรือ?ในเมื่อเห็นกับตาตัวเองแล้ว ไม่ใช่ว่ารู้แล้วแสร้งถามหรือ ถ้าหากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็ไม่ต้องเอ่ยพูดอย่างน้ำใสใจจริงให้น่าเชื่อถือ”
ครั้งนี้เอ่ยพูดเรื่องหลักฐานกับเธอ เฉินเสียนนึกไม่ถึงเลยว่าจะทำอะไรเขาไม่ได้เลย
เขาจัดการเก็บกล่องยาอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวกำลังจะออกไป เดินมาถึงหน้าประตูแล้วหันกลับมายิ้มให้กับเฉินเสียน เอ่ยอย่างจริงจังว่า“อืม แทนที่จะคิดเรื่องฟุ้งซ่านเหล่านั้น ท่านควรพักฟื้นให้บาดแผลหายไม่ดีกว่าหรือ”
ใบหน้านั่น รอยยิ้มนั่น ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ว่าอยู่ในขั้นร้ายกาจเหมือนกับฉินหรูเหลียงหรอกหรือ……..
แต่ความงดงามเช่นนี้ จำเป็นต้องมีบรรทัดฐานและหลักการ! เธอถูกบุรุษผู้นี้ทำให้สับสนงงงวยอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน
เฉินเสียนเอ่ยกระทบตามหลังเขา“ท่านสิฟุ้งซ่าน!”
ซูเจ๋อออกไปแล้วสักพักก็กลับมาอีก
ครั้งนี้เขาสวมใส่ชุดเก่าขาดรุ้งริ่ง บนตัวกึ่งแห้งกึ่งเปียก คล้ายกับว่าเพิ่งจะอาบน้ำมา ตอนที่เข้ามาในห้อง ได้ยกอาหารเข้ามาด้วย
ซูเจ๋อยกถ้วยโจ๊กขึ้น มือข้างหนึ่งถือช้อนหยก ตักป้อนเข้าไปในปากของเฉินเสียนอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง
เฉินเสียนเอียงหัวถาม “ข้ายังไม่คุ้นชินกับการที่มีบุรุษมาดูแลใส่ใจอย่างละเอียดเช่นนี้เลย”
ซูเจ๋อเอ่ยอย่างราบเรียบ“แต่ข้าได้ยินเหลียนชิงโจวพูดว่ารอท่านมีเงินร่ำรวยแล้ว ยังคิดอยากที่จะเลี้ยงดูหนุ่มรูปงามไม่ซ้ำหน้า ข้าคิดว่าท่านน่าจะคุ้นชินกับการที่มีบุรุษมาดูแลใส่ใจนะ”
เฉินเสียนตบโต๊ะ “ท่านกับเหลียนชิงโจวเป็นคู่ขากันหรือ เหตุใดเขาถึงได้พูดกับท่านทุกเรื่อง?”
“กินก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวยังต้องดื่มยา”มองดูแล้วซูเจ๋อก็ไม่คล้ายกับคนที่จะดูแลใส่ใจคนเลย เพียงแค่ตอนนี้สถานการณ์มันพิเศษ เฉินเสียนบาดเจ็บที่มือทำอะไรก็ไม่สะดวก
พอดิบพอดีกับที่เธอบาดเจ็บที่มือข้างขวาด้วย
เฉินเสียนแย่งช้อนมาจากมือเขา “ข้าทำเองได้”
“ในเมื่อท่านต้องการทำเอง ก็ต้องทำทั้งหมด ถ้วยก็ยกเองเสียเถิด”
“ยกเองก็ย่อมได้ ”เฉินเสียนรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ถูกโอ๋จนเปราะบางเช่นนั้น นำช้อนวางไว้อีกด้านใช้มือซ้ายยกถ้วยโจ๊กขึ้นแล้วก็ดื่ม
โชคดีที่ซูเจ๋อทำให้โจ๊กเย็นลงแล้ว อุณหภูมิกำลังดี
มองผ่านๆดูไม่ออกว่าในโจ๊กนั้นมีความโดดเด่นพิเศษ ดูธรรมดาทั่วไป แต่พอได้ดื่มหนึ่งคำ เฉินเสียนก็สัมผัสได้ถึงความหอมของยาสมุนไพร รสชาตินั้นเข้าไปในปากแล้วหลอมละลาย ไม่รู้ว่าใช้ความชำนาญไปเท่าไหร่กันนะ
ซูเจ๋อเทน้ำลงไปในแก้วน้ำชาเพิ่ม “หลังจากกินเสร็จแล้วจะเผ็ดร้อนที่ปาก ข้าจะไปหยิบยามาให้ท่าน”
รอจนตอนที่ซูเจ๋อยกยาเข้ามา เฉินเสียก็ได้ล้างปากเรียบร้อยแล้ว
ยานี้เพิ่งจะต้มมา ยังมีความร้อนอยู่บ้างเล็กน้อย ซูเจ๋อได้ใช้ช้อนคนให้เข้ากันอย่างใส่ใจ
เฉินเสียนเหลือบมอง เอ่ยว่า“ท่านไม่สามารถที่จะเชิญหมอที่มีความสามารถมาดูก่อนแล้วค่อยเบิกยาต้มหรือ?”
ซูเจ๋อเอ่ยเสียงสูง“ท่านรู้สึกว่าข้ามีความสามารถไม่เพียงพออย่างนั้นหรือ?”
เฉินเสียนนวดคลึงที่ขมับก่อนเอ่ยว่า“ข้าแค่ให้ท่านเชิญหมอมา นี่สรุปท่านรู้ความหรือไม่?”
“ข้าเข้าใจด้านการแพทย์อยู่บ้าง”
“เข้าใจอยู่บ้างนั่นคือกี่คะแนน?”
ซูเจ๋อคิดไปมา “ข้าถ่อมตนเล็กน้อยนะ ก็เก้าคะแนน”
เฉินเสียนเอ่ยเสียงหนักแน่น“คุณชายซูท่านนี่ถ่อมตนเสียจริง!เช่นนั้นทำให้ข้าดูหน่อย ข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูเจ๋อเอ่ย“เมื่อครู่ตอนที่ท่านหลับอยู่ข้าได้ดูแล้ว วางใจเถิด เมื่อคืนประสบกับเหตุการณ์ร้ายแรงแต่เคราะห์ดีท่านนั้นไม่เป็นอันใด มีเพียงแค่การบาดเจ็บภายนอก ”เขาชะงักงันไปสักครู่ ก็มองเธออีกแล้วเอ่ย“ทารกปลอดภัยดี แต่ต้องหลีกเลี่ยงเรื่องตื่นตระหนก ดื่มยาสองชุดนี้ทำให้สงบลงนอกนั้นก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ยากที่จะได้ยินเขาพูดประโยคที่จริงจังเช่นนี้ ใจของเฉินเสียนก็นับว่าปล่อยวางผ่อนคลายลงได้แล้ว
เธอก้มลงลูบท้องของตัวเอง ลูกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
ซูเจ๋อมองท่าทางที่อ่อนโยนของเธอ สายตาเปล่งประกายลุกวาว