เซียงซั่นยื่นมือไปกอดคอของเขาไว้ หางตาเต็มไปด้วยความสุขสมใจและความภาคภูมิใจ บุรุษเพศ ใช้กลอุบายเพียงนิดหน่อย ก็ได้มาครอบครองสมใจ
ก่อนหน้านี้ท่านแม่ทัพเคยเกลียดเฉินเสียนเสียยิ่งกว่าอะไรดี แต่สุดท้ายก็ไปทำเฉินเสียนท้องจนได้ งั้นตอนนี้ข้างเตียงของเขาเพิ่มนางมาอีกคน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
แต่ฉินหรูเหลียงกลับบ้าคลั่งมาก เซียงซั่นที่ไม่เคยผ่านมือชายจึงรับแทบไม่ไหว
เขาเหี้ยมโหดราวกับจะจับเซียงซั่นกินเข้าไปทั้งตัว จนเซียงซั่นเริ่มตื่นกลัวขึ้นมา
นั่นเป็นยากระตุ้นการเป็นสัดที่ให้ม้ากิน แต่วันนี้กลับเอามาให้ฉินหรูเหลียงกิน เห็นได้ชัดว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเขารุนแรงแค่ไหน
โต๊ะหนังสือถูกเขาปัดล้ม พู่กัน น้ำหมึก และถ้วยซุปกระจายเต็มพื้น
เซียงซั่นลุกขึ้นถอยหลังด้วยความตื่นกลัว แต่ถูกมือฉินหรูเหลียงรวบตัวขึ้นมา เมื่อถึงข้างกำแพง ก็ทิ้งนางลงบนม้านั่ง จากนั้นเขาก็คร่อมตัวลงมาทับร่างนางไว้
ไม่มีการเล้าโลมใดๆ ทั้งสิ้น
ชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนฉีกขาด เมื่อฉินหรูเหลียงคลำเจอทางเข้า ก็ทำการสอดใส่ด้วยความรุนแรง
สัตว์ร้ายที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่บนร่างของเซียงซั่น ใบหน้าของเซียงซั่นซีดขาว เล็บของนางจิกลงบนหลังของฉินหรูเหลียงจนเป็นรอยเลือด ร้องครางด้วยความเจ็บปวด
นางกำลังทนต่อการทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมไปครึ่งค่อนคืน
เมื่อตัดสินใจจะทำแล้ว ทุกอย่างล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทน
เซียงซั่นสลบไปตอนไหน นางเองไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ช่วงเวลาของฟ้าสางมาถึง เซียงซั่นที่ยังคงสลบอยู่ จู่ๆ ก็ถูกยกไปวางบนพื้น ร่างกายที่เปลือยเปล่าสัมผัสกับพื้นที่เย็นเยียบ นางสะดุ้งไปทั้งตัว แล้วจึงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา
ผิวที่ขาวเนียน ปรากฏร่องรอยช้ำตามตัวเต็มไปหมด และเลือดพรหมจรรย์ที่เลอะเปื้อนม้านั่ง ดูแล้วอุจาดตาไม่น้อย
ฉินหรูเหลียงนั่งอยู่บนม้านั่ง เมื่อได้สติแล้ว เขาก็ไม่อาจยอมรับและผ่านพ้นมันไม่ได้
มองเห็นเพียงขาที่ยาวของเขาที่เหยียบลงพื้น เขาก็คว้าคอของเซียงซั่นขึ้นมาทันที : “กำเริบเสิบสาน กล้าดียังไงมาปีนขึ้นบนเตียงของข้า!”
เซียงซั่นเนื้อตัวสั่นเทา หยดน้ำตาไหลไม่หยุด : “ท่านแม่ทัพ บ่าวมิบังอาจ……เป็นท่านแม่ทัพเอง……”
ฉินหรูเหลียงสายตาเย็นยะเยือกที่สะท้านถึงขั้วหัวใจ นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเขา หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างเขาเองก็มิอาจจำได้ แต่เขามั่นใจได้อย่างหนึ่ง ซุปถ้วยนั้นมีปัญหาอย่างแน่นอน
เซียงซั่นทั้งหวาดกลัวทั้งกระดากอาย : “เมื่อคืนนี้บ่าวคิดว่าท่านแม่ทัพดื่มซุปเสร็จแล้ว จึงตั้งใจว่าจะมาเก็บถ้วย แต่พอเข้ามาแล้ว ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพเป็นอะไรไป เข้าใจผิดว่าบ่าวเป็นนายหญิง……”
ฉินหรูเหลียงชะงักงันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เซียงซั่นน้ำตาซึม พูดขึ้นต่อว่า : “บ่าวทั้งร้องทั้งตะโกน ร้องขอให้ท่านเมตตา ปล่อยบ่าวไป……บ่าวหลบไม่ได้หนีไม่พ้น และสุดท้ายมิอาจต้านแรงไหวจึง……”
ในห้องตำรามีเพียงเสียงร้องไห้ของเซียงซั่น บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเยือกเย็นที่หนาวสะท้าน
จนในที่สุดเขาก็ปล่อยคอของเซียงซั่น ทิ้งลงกับพื้น ตะโกนเสียงดัง : “ไสหัวไปซะ!”
เซียงซั่นน้ำตาคลอเบ้า เก็บเสื้อผ้าที่ฉีกเป็นชิ้นๆ บนพื้นขึ้นมาคลุมตัวไว้
ฉินหรูเหลียงไม่อยากเห็นแม้แต่หางตา ทำไมถึงมองชุดสีเขียวอ่อนนั้นเป็นหลิ่วเหมยอู่ไปได้
เซียงซั่นไม่อยู่ต่อ หมุนตัวร้องไห้วิ่งออกจากห้องตำราไปทันที
หลายวันมานี้ท้องฟ้าสีหม่น แสงสีขาวกระทบกับเมฆที่ปลายฟ้า
นางวิ่งจนถึงหลังเรือนหลัก หยุดร้องไห้ พร้อมกับหยิบเสื้อผ้าที่ตัวเองซ่อนไว้ตั้งแต่แรกออกมาเปลี่ยน นางตั้งใจดึงคอเสื้อออก เพื่อให้เห็นถึงความไม่เรียบร้อย จากนั้นก็ร้องไห้กลับไปยังสวนดอกพุดตาน
เซียงซั่นไม่อยากให้เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้ ไม่อย่างงั้นก็เท่ากับว่านางขาดทุน
นางจะต้องให้หลิ่วเหมยอู่รับรู้เรื่องนี้ เพื่อให้ฉินหรูเหลียงจัดการเรื่องนี้ลำบากยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นเมื่อกลับถึงสวนดอกพุดตานแล้ว เซียงซั่นก็ร้องเจียนจะขาดใจ อวิ๋นเอ๋อร์จึงรีบไปดู เมื่อเห็นสภาพของเซียงซั่นแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์ก็อึ้งไปชั่วขณะ
อวิ๋นเอ๋อร์รีบไปรายงานเรื่องนี้กับหลิ่วเหมยอู่ ไม่นาน หลิ่วเหมยอู่ก็สวมเสื้อคลุมแล้วรีบออกมาทันที เมื่อเห็นสภาพของเซียงซั่นแล้ว ก็รู้เลยทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
หลิ่วเหมยอู่รู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงถามขึ้นว่า : “เกิดอะไรขึ้น?”
เซียงซั่นตอบกลับด้วยเสียงสะอึกสะอื้น : “บ่าวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น……เมื่อคืนบ่าวนึกขึ้นได้ว่ายังมีถ้วยในห้องตำราของท่านแม่ทัพที่ยังไม่ได้เก็บ จึงตั้งใจจะไปเก็บให้เรียบร้อย นึกไม่ถึงเลย…..ว่าจู่ๆ ท่านแม่ทัพจะทำอย่างนี้กับบ่าว……”
หลิ่วเหมยอู่ถอยหลังไปหลายก้าว โชคดีที่อวิ๋นเอ๋อร์รีบเข้าไปประคองนางไว้ นางจับมือของอวิ๋นเอ๋อร์ไว้แน่น จ้องเซียงซั่นที่อยู่บนพื้นตาไม่กะพริบ : “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“บ่าวไม่ดีเอง……เป็นความผิดของบ่าวคนเดียว……”
หลิ่วเหมยอู่สีหน้าขาวซีด มองเซียงซั่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง นางดึงแขนออกจากอวิ๋นเอ๋อร์ จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปด้วยอาการที่คลอนแคลน ยกขาขึ้น เหยียบลงบนร่างเซียงซั่นอย่างเต็มแรง
แสงแดดค่อยๆ ส่องแสงหักเหผ่านเมฆและม่านหมอก
ฉินหรูเหลียงปรากฏตัวกลางสวนดอกพุดตานดุจยมราช มีบ่าวรับใช้เดินตามหลังมาสองคน
เมื่อหลิ่วเหมยอู่เห็นเขา ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมา น้ำเสียงสะอึกสะอื้น
แต่ฉินหรูเหลียงในตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะปลอบใจนาง เขาปรายตามองเซียงซั่นที่กองอยู่กับพื้น จากนั้นก็กวาดตามองไปยังอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยสายตาที่ดุดัน
หากเขาจำไม่ผิด เมื่อวานนี้เซียงซั่นพูดว่าน้ำซุปถ้วยนั้นอวิ๋นเอ๋อร์เป็นคนต้ม
ฉินหรูเหลียงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง เซียงซั่นตามรับใช้หลิ่วเหมยอู่มาช้านาน ไม่เคยบังอาจทำเรื่องพวกนี้ แต่พอมีอวิ๋นเอ๋อร์มา ก็ไม่เป็นอันสงบสุข
อวิ๋นเอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่เมื่อสายตาของฉินหรูเหลียงมองมา นางก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
คนที่ทำผิดเป็นเซียงซั่นไม่ใช่หรอกหรือ?
เพียงชั่วอึดใจ ฉินหรูเหลียงก็ออกคำสั่งว่า : “ใครก็ได้ มาลากตัวนังบ่าวชั้นต่ำนี้ไปโบยเสีย”
เมื่อบ่าวรับใช้จะเข้ามาลากเซียงซั่นที่กองอยู่กับพื้น แต่ฉินหรูเหลียงกลับชี้ไปที่อวิ๋นเอ๋อร์อย่างไม่ลังเล พร้อมกับพูดถึงว่า : “ไม่ใช่นังคนนั้น นังคนนี้ต่างหาก”
อวิ๋นเอ๋อร์ขาอ่อน คุกเข่าลงกับพื้น : “ท่านแม่ทัพ ได้โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วย! บ่าวไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไป……”
เซียงซั่นที่ร้องไห้กองอยู่กับพื้น แสยะยิ้มขึ้นที่มุมปาก แล้วยิ้มนั้นก็หายวับไป เหมือนกับควันจาง
ฉินหรูเหลียงไม่ฟังคำอธิบายอะไรใดๆ ทั้งสิ้น : “ลากตัวไป!”
หลิ่วเหมยอู่งงงันอย่างฉับพลับ จนอวิ๋นเอ๋อร์ถูกลากไปไกลแล้ว นางถึงได้สติกลับมา
เรื่องก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ฉินหรูเหลียงไม่รู้ว่าจะสู้หน้านางอย่างไรดี ทำได้เพียงมองนางอยู่อย่างนั้น และเดินจากไปในท้ายที่สุด
เรือนด้านหน้าของจวนท่านแม่ทัพโหวกเหวกโวยวายอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็เงียบไป
เมื่อเฉินเสียนตื่นขึ้น อากาศดีกว่าเมื่อเช้ามาก
อวี้เยี่ยนเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ ด้วยใบหน้าซีดขาว
“เป็นอะไรไป?”
อวี้เยี่ยนเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า : “เช้าตรู่วันนี้อวิ๋นเอ๋อร์ถูกโทษโบยตายเพคะ”
เฉินเสียนใจหายวูบสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ: “โบยจนตายหรือ? เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นอวิ๋นเอ๋อร์ ไม่ใช่เซียงซั่น?”
“หม่อมฉันมั่นใจว่าเป็นอวิ๋นเอ๋อร์เพคะ” อวี้เยี่ยนพูดขึ้น : “ตอนนี้ข่าวกระจายไปทั่วทั้งจวนแล้ว เห็นว่าเมื่อคืนนี้เซียงซั่นอยู่ที่เรือนหลักทั้งคืน พอเช้าตรู่มาก็กลับไปที่สวนดอกพุดตานด้วยเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย เวลานี้ท่านแม่ทัพกำลังโมโหมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร กลับสั่งให้โบยอวิ๋นเอ๋อร์แทน”
เฉินเสียนนั่งฟังอยู่บนเตียงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหลับตาลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “จะเป็นยังไงไปได้อีก เซียงซั่นเป็นคนทำอย่างแน่นอน ทำให้ตัวเองสะอาดหมดจด แล้วก็โยนความผิดให้อวิ๋นเอ๋อร์ คนอย่างฉินหรูเหลียง เมื่อไหร่ที่โกรธขึ้นมาก็จะขาดสติความยั้งคิด ยังไม่ทันที่จะทำความกระจ่างกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็สั่งโบยอวิ๋นเอ๋อร์จนตาย”
องหญิงลงจากเตียงอย่างแช่มช้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ถึงแม้ว่าอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ก็ไม่ควรต้องโทษตาย นึกไม่ถึงเลยว่าเซียงซั่นจะร้ายกาจเกินกว่าที่คิดไว้มาก แค่ลงมือก็ทำคนตายได้”
อวี้เยี่ยนกลัวว่านางจะคิดมาก จึงรีบปลอบใจว่า : “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับองค์หญิง เราเพียงแค่ลืมหนังสือไว้ และหนังสือสอนเซียงซั่นทำเรื่องชั่วร้าย เซียงซั่นก็เป็นคนทำร้ายอวิ๋นเอ๋อร์เอง และท่านแม่ทัพก็เป็นคนสั่งการลงโทษโบยจนตาย องค์หญิงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร ทั้งสิ้นเพคะ”