เซียงซั่นจ้องนางตาเขม็ง จากนั้นก็กลับเข้าห้องของตัวเองไป
อวิ๋นเอ๋อร์ ฝากไว้ก่อนเถอะ!
วันรุ่งขึ้น เซียงซั่นก็ตรงไปยังโรงม้า
ลานโรงม้าอยู่ค่อนข้างไกล ต้องใช้เวลาในการเดินพอสมควร บ่าวในโรงม้าเป็นบ่าวชนชั้นต่ำสุด ปกติไหนเลยจะได้เห็นเซียงซั่นบ่าวที่งามดุจบุปผาในหุบเขาแบบนี้ที่นี่
บนใบหน้าของเซียงซั่นเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร ไม่ได้รังเกียจที่นี่เลยแม้แต่น้อย จึงทำให้บ่าวรับใช้ต่างพากันชื่นชอบในตัวนาง
เซียงซั่นได้นำเอาชาสมุนไพรมาให้บ่าวรับใช้ดื่มด้วย
บ่าวรับใช้ที่นี่ทำงานหมุนเวียนเป็นกะ เวลาที่เซียงซั่นมานั้น พอดิบพอดีกับที่บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งที่ทำความสะอาดรอบโรงม้าเรียบร้อยแล้ว กำลังเตรียมตัวกลับไปพักผ่อน
เซียงซั่นจึงได้จังหวะเรียกเขามาให้ดื่มชา
บ่าวรับใช้ผิวดำหยาบกร้าน นิสัยขี้อาย เขายิ้มอย่างขวยเขินแล้วถามขึ้นว่า : “แม่นางเซียงซั่น มาได้อย่างไร?”
มีหญิงงามอยู่ตรงหน้า ชาจึงน่าดื่มยิ่งขึ้น บ่าวรับใช้รู้สึกเหมือนจะลอยยังไงอย่างงั้น
เซียงซั่นเอ่ยขึ้นว่า : “ช่วงนี้นายหญิงของข้าสนใจอยากจะขี่ม้า รับสั่งว่าหากมีเวลาแล้วจะมาฝึก จึงให้ข้ามาศึกษาทำความเข้าใจก่อน”
เซียงซั่นเดินรอบๆ โรงม้า แล้วชี้ไปยังม้าตัวสุดท้าย พร้อมกับถามขึ้นว่า : “ทำไมม้าสองตัวนี้กินหญ้าไม่เหมือนกับม้าตัวอื่น?”
บ่าวรับใช้จึงชี้นิ้วไปยังม้าตัวหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “นี่เป็นม้าของพลทหาร ไม่เหมือนกับม้าตัวอื่นๆ ต้องฝึกตั้งแต่การกินหญ้า และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”
“แล้วตัวนี้ล่ะ?”
“ม้าพันธุ์นี้” คนรับใช้พูดขึ้นอย่างนอบน้อม : “อย่าเข้าใกล้มันมาก ตอนนี้อยู่ระหว่างฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ฤดูร้อน มันไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ เจ้าจะถูกทำร้ายเอาได้ ม้าพันธ์ุดีที่จวนแม่ทัพมี ต่างก็ต้องพึงมันทั้งนั้น”
เซียงซั่นถามอย่างละเอียด จึงรู้แจ้งว่าในระหว่างฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ฤดูร้อน พวกเขาจะใช้ม้าตัวนี้นำไปผสมพันธุ์กับม้าตัวเมียตัวอื่นๆ เพื่อออกลูก
และยาที่ให้ม้ากินนั้น มีส่วนผสมของตัวยากระตุ้นการติดสัด ทำให้ม้าตัวผู้ตื่นเต้นกับตัวเมีย
สีหน้าของเซียงซั่นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ บ่าวรับใช้คนนั้นจนใจต้องหยิบตัวยาที่จะให้ม้ากินมาให้นางดู
ในระหว่างที่บ่าวรับใช้กำลังดื่มชาสมุนไพรและไม่ทันได้สังเกต เซียงซั่นก็แอบหยิบตัวยาขึ้นมาเล็ก แล้วซ่อนมันไว้ในชายแขนเสื้อ
ก่อนที่เซียงซั่นจะกลับไป นางได้หันหน้ามายิ้มให้กับบ่าวรับใช้พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “จริงสิ วันนี้ที่ข้ามา เจ้าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ นายหญิงไม่อยากให้ท่านแม่ทัพรู้ว่านางจะฝึกขี่ม้า เพราะขี่ม้ามันค่อนข้างอันตราย ท่านแม่ทัพอาจจะโกรธเอาได้”
บ่าวรับใช้รีบตอบกลับไปว่า : “ข้ารู้แล้ว”
ฉินหรูเหลียงที่พึ่งกลับมาจากข้างนอก ปกติแล้วจะไปพักผ่อนที่สวนดอกพุดตาน เวลานี้อวิ๋นเอ๋อร์ก็กำลังปรนนิบัติรับใช้อยู่ แน่นอนว่าไม่ได้มาสนใจอะไรกับเซียงซั่น
เซียงซั่นตุ๋นซุปมาหนึ่งถ้วย นางสูดลมหายใจเข้าเต็มอก จากนั้นก็เอายาที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อออกมา เทลงไปในซุปแล้วจึงคนให้เข้ากัน
บรรยากาศพลบค่ำที่โพล้เพล้ ได้ยินมาว่าฉินหรูเหลียงกลับมาที่เรือนหลักแล้ว เซียงซั่นจึงยกน้ำซุปแล้วตรงไปที่เรือนหลักทันที
เวลานี้ฉินหรูเหลียงกำลังอยู่ในห้องตำรา เมื่อเห็นนางมาแล้ว จึงขมวดคิ้วพร้อมกับถามขึ้นว่า : “ไม่อยู่เฝ้ารับใช้เหมยอู่ เจ้ามาถึงที่นี่ทำไม”
เซียงซั่นยกน้ำซุปวางลงบนโต๊ะอย่างเหนียมอาย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “นี่เป็นซุปที่นายหญิงสั่งให้อวิ๋นเอ๋อร์ต้ม เพราะเป็นห่วงท่านแม่ทัพที่ยุ่งทำงานหลวงไม่ได้หยุดพัก ลำบากทั้งวันทั้งคืน บ่าวจึงยกมาส่งให้ท่านแม่ทัพดื่ม เพื่อให้ท่านแม่ทัพได้ผ่อนคลายลงบ้างเจ้าค่ะ”
“วางไว้ตรงนั้น”
เซียงซั่นส่งน้ำซุปเสร็จแล้วก็กลับไปทันที ขณะที่หมุนตัวจากมา นางก็ยกยิ้มมุมปากมาอย่างมีชัย สำเร็จไปแล้วครึ่งทาง
ในขณะที่กำลังจะกลับไปยังสวนดอกพุดตาน ก็เจอเข้ากับหลิ่วเหมยอู่และอวิ๋นเอ๋อร์
อวิ๋นเอ๋อร์อยู่เฝ้าหลิ่วเหมยอู่ที่สวนดอกพุดตาน ราวกับว่ากำลังแกล้งยั่วโมโหนาง
หลิ่วเหมยอู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “เจ้าไปไหนมา?”
“บ่าวไปเดินเล่นมาเจ้าค่ะ”
“เดินเล่น?” หลิ่วเหมยอู่เดินเข้ามาใกล้ น้ำเสียงแหลมเล็กเสียดแทงผ่านโสตประสาท : “ไปเดินเล่นในเรือนหลักของท่านแม่ทัพหรือ? อวิ๋นเอ๋อร์บอกว่าเห็นกับตาว่าเจ้าเข้าไปในเรือนหลักท่านแม่ทัพ”
เซียงซั่นเริ่มลนลาน รีบคุกเข่าอย่างพัลวัลพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “นายหญิงได้โปรดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน บ่าวส่งซุปให้กับท่านแม่ทัพในนามของนายหญิง บ่าวบอกไปว่านายหญิงเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของท่านแม่ทัพ จึงตั้งใจทำให้ท่านแม่ทัพโดยเฉพาะ……”
หลิ่วเหมยอู่อารมณ์เย็นลงบ้าง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องลำบากถึงมือเจ้า ต่อไปที่เรือนหลักก็ไปให้น้อยลง หากจะส่งอาหาร ข้าจะเป็นคนไปส่งด้วยตัวข้าเอง”
“เพคะ บ่าวผิดไปแล้ว”
จากนั้นหลิ่วเหมยอู่จึงกลับเข้าเรือนไป
อวิ๋นเอ๋อร์หอบเอาเสื้อผ้าที่เปลี่ยนตอนอาบน้ำของหลิ่วเหมยอู่โยนให้เซียงซั่น พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “คืนนี้เจ้าซักพวกนี้ก็แล้วกัน อีกสองวันนายหญิงจะใช้เสื้อผ้าพวกนี้”
เซียงซั่นหอบผ้าของหลิ่วเหมยอู่ไว้ หรี่ตาลง แววตาเต็มไปด้วยความเคืองขัด
ตั้งแต่นางมาที่นี่ ก็ได้ทำแต่งานหนักๆ มาโดยตลอด ตอนนี้แม้แต่อวิ๋นเอ๋อร์ก็ใช้งานนางเป็นว่าเล่น
คอยดูเถอะ ว่าใครจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้าย!
อวิ๋นเอ๋อร์ให้เซียงซั่นมาช่วยซักเสื้อผ้าให้หลิ่วเหมยอู่ ก็ถือว่าเป็นการเปิดทางให้เซียงซั่นด้วย
ในห้องยังมีเสื้อผ้าของหลิ่วเหมยอู่ที่เพิ่งเก็บมาเมื่อตอนบ่าย และยังไม่ทันจะได้อบกลิ่นน้ำมันหอมระเหย
นางเลือกหยิบชุดสีเขียวอ่อนที่ฉินหรูเหลียงชอบขึ้นมาสวมใส่ ขนาดตัวของนางและหลิ่วเหมยอู่พอๆ กัน พอสวมใส่แล้วก็เข้ารูปพอดีตัว
จากนั้นเซียงซั่นก็นั่งลงหน้ากระจก แต่งแต้มประทินโฉม ให้สวยที่สุดเท่าที่นางจะแต่งได้
เมื่อรู้สึกพึงพอใจในตัวเองที่สะท้อนผ่านกระจกเงาแล้ว นางจึงลุกขึ้น ออกจากห้องไปภายใต้ค่ำคืนที่ไร้แสงนั่น
เซียงซั่นได้เรียนรู้วิธีมากมายจากหนังสือภาพ
ไม่ว่าจะเป็นยากระตุ้นการติดสัดของม้า นางก็ทำตามหนังสือทุกอย่าง เช่นเดียวกับวันนี้ที่ได้เตรียมเสื้อผ้าชุดนี้ไว้ ก็มาจากหนังสือเล่มนั้น
นางสวมชุดสีเขียวอ่อนอยู่ด้านใน แล้วทับด้วยชุดบ่าวรับใช้อยู่ด้านนอก เมื่อถึงนอกเรือนหลักแล้ว จึงค่อยถอดชุดบ่าวที่สวมอยู่ด้านนอกออก เสร็จแล้วก็นำไปซ่อนไว้ พรุ่งนี้ยามฟ้าสางจึงค่อยเปลี่ยนกลับมาใส่อีกครา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสงสัยว่านางเป็นคนให้ท่าฉินหรูเหลียง
ซุปที่นางมาส่งเมื่อตอนเย็น ไม่มีเหตุผลว่าฉินหรูเหลียงจะไม่ดื่มมัน
รอให้เขาเสร็จงานแล้ว ฟ้าก็เริ่มมืดสนิท เมื่อดื่มน้ำซุปจนหมด ยังไม่ทันที่จะรับอาหารค่ำ เขาก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ
แต่เวลานั้นดึกมากแล้ว
เมื่อเซียงซั่นไปถึงเรือนหลัก มีเพียงห้องหนังสือที่ยังมีแสงสว่างอยู่ ที่เหลือนอกนั้นมืดสนิท
เซียงซั่นยืนอยู่หน้าห้องตำรา หอบทั้งใจมาเคาะประตู : “ท่านแม่ทัพ ท่านอยู่ข้างในหรือไม่เจ้าคะ?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงกระเส่าสายหนึ่งดังขึ้น เสียงที่ต่ำและขึงขัง : “เข้ามา”
เซียงซั่นเปิดประตูเข้าไป เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็สบเข้ากับสายตาสวาทของฉินหรูเหลียง ที่แดงก่ำและดุดันราวกับเสือร้ายไม่มีผิดเพี้ยน จนนางเองก็ตื่นตกใจจนตัวสั่น
ฉินหรูเหลียงสัมผัสได้ถึงกลิ่นกรุ่นของสตรี จมูกของเขาสูดดมกลิ่น ซึมซาบเข้าไปในหัวใจ
เขามองไปยังเงาร่างนั่น รู้เพียงแต่ว่าเป็นชุดสีเขียวอ่อน เป็นชุดที่เขาเคยซื้อให้หลิ่วเหมยอู่เมื่อนานมาแล้ว
ร่างนั้นปรากฏตัวต่อหน้าเขา แต่สายตาของเขากลับพร่ามัวมองไม่ชัด จึงนึกว่านางเป็นหลิ่วเหมยอู่ เขาจึงพูดขึ้นด้วยความปรารถนาอันแกร่งกล้า : “เหมยอู่ มานี่”
เซียงซั่นรู้สึกคอแห้งผาก นางเดินเข้าไปทีละก้าว ยังไม่ทันจะไปถึง ก็ถูกฉินหรูเหลียงดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแกร่ง
ฉินหรูเหลียงหัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เมื่อรู้สึกว่าฉินหรูเหลียงขาดสติสัมปชัญญะไปแล้ว จึงผลักแผงอกแกร่งของเขาออก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก : “ท่านแม่ทัพ บ่าวไม่ใช่นายหญิง บ่าวคือเซียงซั่น……”
บุรุษที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้ ใบหน้าหล่อเหลาตรึงใจ เค้าโครงใบหน้าคมกริบ เมื่อก่อนนี้เซียงซั่นไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่ตอนนี้นางกลับอยู่ในอ้อมกอดของเขา
เซียงซั่นหวังเพียงว่าฉินหรูเหลียงยกนางแทนที่หลิ่วเหมยอู่ และก็แอบหวังว่าฉินหรูเหลียงจะมีอะไรกับนางตอนที่เขายังมีสติ
ฉินหรูเหลียงกำลังตกอยู่ภายใต้ ฤทธิ์ยากระตุ้นการติดสัด เขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นใครแล้ว และเขาเองก็ไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่คำเดียว
ในหัวของเขามีเพียงความต้องการในอิสตรี ที่จะมาตอบสนองความต้องการของเขา