เฉินเสียนหันกลับไปมองเขาแล้วยิ้มให้ “ข้ารู้ว่าหลิ่วเหมยอู่กินของเหล่านั้นไปเกือบหมดแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสามวันไม่ใช่รึ ท่านมีเวลาสามวันเต็มๆ เพื่อคิดหาวิธีหาของส่วนที่นางกินไปแล้วมาใช้คืน”
แต่ถึงจะหาของเหล่านั้นมาชดใช้ได้ มันก็จะทำให้ฉินหรูเหลียงกระอักเลือดอยู่ดี
ทุกอย่างที่หลิ่วเหมยอู่กินล้วนเป็นของที่ราคามิใช่น้อย
ในเมื่อเฉินเสียนกินเองไม่ได้ นางจึงจะส่งของเหล่านั้นกลับคืน
ฉินหรูเหลียงรู้ว่านางจงใจ แต่ถึงรู้เขาจะทำอะไรได้!
นางทำอะไรผิดหรือเปล่า ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดเลย
“ท่านต้องการทำให้สมบัติของจวนแม่ทัพหมดสิ้นไปขนาดนั้นเลยหรือ” ฉินหรูเหลียงกัดฟันถาม
เฉินเสียนตอบว่า “ถ้าจำไม่ผิดข้าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อยไม่ใช่หรือ ทีแรกก็การจัดงานเลี้ยงงานแต่ง นั่นช่วยให้ท่านกับเหมยอู่มีหน้ามีตา พอมาตอนนี้ก็ยังตะกละตะกลามจนเป็นหนี้เป็นสิน ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่ออุดหนุนเจือจุนเหมยอู่ของท่านทั้งนั้น”
เธอกะพริบตาปริบๆ อย่างคนใสซื่อ นัยน์ตาเป็นประกายราวกับแสงดาวในยามราตรี “เป็นข้าหรือที่ยืนกรานว่าจะให้ท่านแต่งงานกับอนุภรรยา? เป็นข้าหรือที่ยืนกรานจะเอาของบำรุงร่างกายป้อนใส่ปากของเหมยอู่? ท่านแม่ทัพใหญ่ของข้า คนเราควรจะรู้ซึ้งถึงบาปบุญคุณโทษกันบ้าง ไม่อย่างนั้นออกไปข้างนอกแล้วโดนฟ้าผ่าหรือเดินๆ อยู่แล้วถูกรถลากชนขึ้นมาจะทำอย่างไร”
ฉินหรูเหลียงโกรธสุดขีด “เฉินเสียน ท่านช่างกล้านัก”
เฉินเสียนลดสายตาลงและใช้มือลูบที่หน้าท้อง “ท่านแม่ทัพพูดถูก ข้าเฉินเสียนมีต้นกล้าน้อยๆ อยู่ที่นี่”
เมื่อแม่บ้านจ้าวกับอวี้เยี่ยนกลับมา ฉินหรูเหลียงก็กำลังสะบัดชายเสื้อและสาวเท้าจากไปพอดี
เมื่อสองวันก่อนหลิ่วเหมยอู่ยังพึงพอใจกับอาหารบำรุงร่างกายที่เป็นของเฉินเสียน
ทว่าตอนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้น หลังจากที่รู้ข่าวนางก็กังวลจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ความอ่อนแรงกลับมาอีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็รู้สึกโกรธเคืองมากๆ คราวนี้มันคือการบำรุงที่ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง
ต้องใช้เวลาพักฟื้นระยะหนึ่งจึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ไม่รู้ว่าฉินหรูเหลียงไปหารังนกเลือดชั้นดีเพื่อมาชดใช้ของส่วนที่หลิ่วเหมยอู่กินไปจากที่ไหน ไหนจะยังมีเห็ดหลินจือและของอีกหลายๆ อย่าง แต่เฉินเสียนก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เขาต้องควักกระเป๋าจ่ายไปอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ความจริงตอนนั้นเฉินเสียนไม่เคยคุยกับเหลียนชิงโจวว่าจะคืนของให้
เมื่อฉินหรูเหลียงนำไปคืนจริงๆ เขาถึงเพิ่งรู้ว่าเหลียนชิงโจวไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
นางบ้าเฉินเสียน เห็นได้ชัดว่าเขาตกหลุมพรางนางอีกแล้ว
หลังจากต้องจ่ายเงินไปจำนวนมหาศาลเขาก็โกรธจนแทบจะกระอักเลือด
ฉินหรูเหลียงไม่มีหน้าจะนำของเหล่านั้นกลับคืนมาอีกครั้ง เขาวางของไว้ด้วยสีหน้าที่เย็นชาก่อนจะขอตัวกลับ
หลังจากเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวร่างสูงใหญ่ก็หยุดชะงัก เขาหันกลับไปมองเหลียนชิงโจวที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “เหลียนชิงโจว เจ้าควรจะระลึกถึงฐานะของตัวเองไว้ให้ดี แม้แต่คนในราชสำนักยังไม่กล้าอยู่ข้างนาง แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดาอย่างเจ้า คิดดูให้ดีว่าทุกวันนี้โลกยังเหมือนเดิมอยู่ไหม”
เหลียนชิงโจวหรี่ตาลงและอมยิ้มมุมปาก ตอบไปเรียบๆ ว่า “เพียงเพราะในวันที่เลือดไหลนองในพระราชวัง ท่านแม่ทัพเคยปกป้ององค์หญิงเอาไว้ครั้งหนึ่ง องค์หญิงผู้โง่เขลาจึงคิดว่าท่านจะปกป้องพระองค์ตลอดไป ช่างโง่เขลาเสียจริง โชคดีที่ตอนนี้องค์หญิงทรงรับรู้แล้วว่าความจริงเป็นเช่นไร”
ฉินหรูเหลียงเอ่ยโดยไม่หันกลับมามองว่า “นั่นเป็นเพราะตอนนั้นนางยังเด็กและโง่เขลา จึงไม่มีใครยอมโง่ไปกับนาง ถ้าเจ้าไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนละก็ มาจากไหนก็กลับไปที่นั่น ทางที่ดีอย่ากลับมาปรากฏตัวที่เมืองหลวงนี่อีกจะดีกว่า”
เหลียนชิงโจวเอ่ยไล่หลังอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “เกรงว่าท่านแม่ทัพคงจะผิดหวัง มาเมืองหลวงคราวนี้ข้ามาเพื่อทำการค้า ก่อนที่จะทำกำไรได้จนพอใจข้าคงตัดใจไปจากดินแดนอันมั่งคั่งแห่งนี้ไม่ได้”
หลังจากที่ฉินหรูเหลียงไปที่จวนของตระกูลเหลียน หลิ่วเหมยอู่ก็อดรนทนไม่ได้ ดังนั้นนางจึงไปที่เรือนของเฉินเสียนพร้อมกับเซียงซั่น
เฉินเสียนตื่นสายและยังคงนอนอยู่ในห้องอีกพักหนึ่ง
หลิ่วเหมยอู่กับเซียงซั่นถูกอวี้เยี่ยนและแม่บ้านจ้าวรั้งเอาไว้ให้อยู่ด้านนอก
แน่นอนว่าอวี้เยี่ยนรู้ดีว่าหลิ่วเหมยอู่เป็นที่รักของแม่ทัพ ไม่อย่างนั้นท่านแม่ทัพคงไม่ปฏิบัติกับองค์หญิงเช่นนี้เพียงเพราะนาง นอกจากนี้ใบหน้าขององค์หญิงถูกทำลายด้วยมือของสองคนนี้ ดังนั้นอย่าหวังเลยว่าอวี้เยี่ยนจะทำดีด้วย
เซียงซั่นเอ่ยอย่างเจ้ากี้เจ้าการว่า “นายหญิงมีเรื่องจะถามองค์หญิง ทางที่ดีควรไปเรียกองค์หญิงออกมาซะ”
อวี้เยี่ยนชายตามองนางและเอ่ยไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร องค์หญิงของข้าถึงต้องฟังคำของเจ้า”
แม้ว่าอวี้เยี่ยนจะตัวเล็กแต่น้ำเสียงกลับทระนง
เซียงซั่นฟังแล้วโกรธจัด “องค์หญิงอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพราะท่านแม่ทัพให้โอกาสเก็บนางมาเลี้ยง ตอนนี้ก็คงเป็นได้แค่หมาจนตรอก”
อวี้เยี่ยนเองก็โกรธเช่นกัน ขณะที่กำลังจะโต้กลับ อยู่ๆ ประตูที่อยู่ด้านหลังก็เปิดออกมา
เฉินเสียนซึ่งสวมชุดสีอ่อนยืนอยู่ตรงกรอบประตูด้วยท่าทางที่งัวเงีย
เธอหรี่ตาแล้วมองไปที่เซียงซั่นก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าบอกว่าใครเป็นหมาจนตรอกนะ”