เสี่ยวเชี่ยนพูดจาชนิดที่ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
จะ จู๋…
อาเหม็ดรีบหุบขาตัวเอง รู้ตัวตนของเขาแล้วยังกล้าพูดจากับเขาแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ
เดิมสุ่ยเซียนกำลังคิดว่าอาเหม็ดมาด้วยจุดประสงค์อะไร พอได้ยินเสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนั้นก็ขำออกมา
เสี่ยวเชี่ยนทำเป็นไม่เห็นสีหน้าเจื่อนๆของอาเหม็ดในตอนนี้ เธอนั่งฟังโต๊ะข้างๆตะเบ็งเสียงคุยกันต่อ
หญิงสูงวัยโต๊ะข้างๆกำลังพูดด้วยเสียงแหลมๆ
“เดี๋ยวพอมันมานะ ฉันจะต้องตั้งกฎเสียหน่อย คิดจะเข้าบ้านเราก็ต้องทำตัวให้ดี นี่ถ้าไม่เห็นแก่ทะเบียนบ้านในเมืองของมันนะ ฉันไม่อยากให้พี่แกแต่งกับมันหรอก ลูกสาวของหัวหน้าสำนักวางแผนในอำเภอเรายังชอบพี่แกอยู่เลย น่าเสียดายที่อำเภอเรามันเล็ก ฉันไม่อยากให้พี่แกกลับไปทำงานที่นั่น เลยยอมให้แต่งกับยัยผู้หญิงไร้มารยาทคนนี้” หญิงสูงวัยพูดด้วยท่าทางมั่นใจ
“เขาจะซื้อบ้านจริงเหรอแม่” สาวตาโปนพูดกระซิบ ทำอย่างกับว่าเรื่องซื้อบ้านเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก
แต่เสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน อาเหม็ดเองก็เงี่ยหูฟังด้วย
เขาอยากจะดูซิว่า มันเรื่องอะไรกันที่สำคัญกว่าการมาจากตระกูลคาร์เตอร์ของเขา
ถูกคนมองข้ามตั้งแต่ต้นจนจบเป็นอะไรที่หยามกันมาก ปรากฏพอได้ฟังอาเหม็ดก็ยิ่งช้ำใจหนักกว่าเดิม
ก็แค่เรื่องเม้าท์ซุบซิบในครอบครัวทั่วไป เรื่องตระกูลอันยิ่งใหญ่ของเขายังสู้ไม่ได้เลยเหรอเนี่ย
“พี่แกบอกว่ามันกำลังจะซื้อบ้าน ไม่มีบ้านก็เท่ากับไม่มีทะเบียนบ้าน ไม่มีทะเบียนบ้านแล้วพี่แกจะแต่งกับมันทำไม กลับไปเดี๋ยวต้องไปบอกกับพี่แก บ้านเราก็ออกด้วยสองหมื่นแล้วให้มันใส่ชื่อพี่แกลงไปในชื่อเจ้าของบ้านด้วย หน้าตาร้ายๆแบบนั้นใครจะไปรู้ว่ามันจะทำตัวดีไปได้นานแค่ไหน จริงสิ ต้องซื้อแบบสามห้องนอนด้วยนะ ไม่งั้นฉันกับพ่อแกไม่มีที่นอน”
บทสนทนาอันน่าอัศจรรย์ของครอบครัวนี้ดังลอยมาอย่างชัดเจน พูดเสียงดังขนาดนี้ไม่อยากฟังก็คงทำไม่ได้
สุ่ยเซียนได้ยินแล้วก็อึ้งๆ เดิมกำลังคิดเรื่องอาเหม็ดแต่ก็ถูกครอบครัวนี้แย่งซีน เธอกระซิบถามเสี่ยวเชี่ยน “เมืองนี้บ้านราคาเท่าไรเหรอ”
“ก็ต้องดูว่าใหญ่แค่ไหน ขั้นต่ำก็แสนกว่าๆ” ตอนนี้บ้านราคาถูก แต่ก็ไม่ได้ถูกถึงขนาดเงินสองหมื่นซื้อบ้านได้ครึ่งหลัง
นั่นก็หมายความว่า ฝ่ายนั้นไม่เพียงแต่คิดจะไปอยู่บ้านที่ฝ่ายหญิงซื้อ ยังคิดจะให้ใส่ชื่อผู้ชายเป็นเจ้าของบ้านด้วย
และที่น่าอัศจรรย์กว่าก็คือเอาเปรียบคนอื่นขนาดนี้แล้วยังพูดถึงเขาไม่ดีอีก พูดจาลับหลังด้วยสีหน้าที่ว่ายอมแต่งงานด้วยก็นับว่าเป็นบุญของผู้หญิงแล้ว
อยากจะเข้าไปถามจริงๆว่า ลูกชายบ้านนี้จู๋ทำมาจากทองเหรอ
ถึงการแอบฟังคนอื่นคุยกันจะไม่ดี แต่ครอบครัวนี้คุยเสียงดังขนาดนี้ แถมยังเอาเรื่องหน้าไม่อายมาพูดคุยกันอย่างภูมิใจ ต่อให้ไม่อยากฟังก็เกรงจะไม่ได้
โต๊ะข้างๆยังคงคุยกันต่อ “ได้ยินว่าพ่อแม่มันเป็นข้าราชการ ที่บ้านยังมีพี่ชายอีกคน ครอบครัวที่มีพี่น้องแบบนี้ครอบครัวเราไม่อยากได้อยู่แล้ว ลูกหัวหน้าสำนักวางแผนนั่นเป็นลูกสาวคนเดียว ถ้าพี่แกแต่งกับเขานะ เงินของผู้หญิงช้าเร็วก็ต้องเป็นของบ้านเรา แต่พี่แกอยากจะแต่งกับยัยผู้หญิงบ้านจนนี่ให้ได้ เสี่ยวชิง เดี๋ยวตอนแกคุยกับมันบอกมันด้วยนะว่า ธรรมเนียมของบ้านเราผู้หญิงแต่งเข้าต้องให้รถด้วย บอกให้มันทำตามธรรมเนียมบ้านเรา”
สุ่ยเซียนกับเสี่ยวเชี่ยนมองหน้ากันด้วยความรู้สึกขยะแขยงเหมือนกัน
อาเหม็ดก็รู้สึกแบบเดียวกัน เรื่องบ้าๆบอๆแบบนี้มีอะไรน่าฟัง สำคัญกว่าสถานะที่แท้จริงของเขาอีกเหรอ
“ชาวนาประเทศนี้มารยาทแย่จริงๆ” อาเหม็ดที่ถูกแย่งซีนพูดพึมพำอย่างไม่พอใจ ลืมภาพลักษณ์สุดเย็นชาของตัวเองไปเสียสนิท
เสี่ยวเชี่ยนถลึงตามองเขา “ถ้ายังกล้าดูถูกชาวนาประเทศนี้อีกล่ะก็ เชื่อไหมล่ะว่าฉันจะจับนายส่งทางการ”
โวะ…
อาเหม็ดที่เปิดเผยตัวตนแต่กลับถูกมองข้ามมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความโกรธ สายตานั้นเหมือนจนปัญญาบวกเซ็ง คล้ายกับกำลังพูดว่า เจ๊จะเอาไงอีก บอกตัวตนไปก็ไม่ตกใจ แล้วต้องทำไงพวกเจ๊ถึงจะอึ้ง
“ในฐานะที่ฉันเป็นครอบครัวทหารฉันขอเตือนคนต่างชาติอย่างนายไว้เลยนะ ตราบใดยืนอยู่บนแผ่นดินของประเทศเราอย่าเที่ยวพูดจาส่งเดชบอกว่าชาวนาไม่ดี อย่าเอาสิ่งไม่ดีอะไรทั้งหลายแหล่โยนให้ชาวนาหมด ไม่ได้ยินเหรอว่าคนพวกนั้นมาจากบ้านนอก ไม่ได้เป็นชาวนา”
เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างจริงจัง
อาเหม็ดทำหน้างง นี่มันอะไรกันนักกันหนา
“อ๊ะ แค่กๆ” สุ่ยเซียนสำลัก
คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเชี่ยนจงใจต่อว่าอาเหม็ดที่ดูถูกชาวนา แฝงไปด้วยการเหน็บแนมโต๊ะข้างๆ ประธานเชี่ยนได้ยินคนดูถูกชาวนาเป็นยอมไม่ได้
“ฉันพูดในฐานะตัวแทนชาวนาจำนวนร้อยล้านคนในประเทศ ชาวนาบ้านเราส่วนใหญ่เป็นคนซื่อ อย่าเที่ยวเอาอะไรไม่ดีไปลงที่ชาวนาหมด นายเป็นคนต่างชาติอย่าคิดว่าอ่านหนังสือแค่ไม่กี่เล่มแล้วจะรู้จักชาวนาดีหมด ทุกที่ต่างมีคนดี คนประหลาดด้วยกันทั้งนั้น บ้านเมืองนายคิดว่ามีเงินแล้วจะไม่มีคนสันดานแย่เลยหรือไง”
“ที่ประเทศผมไม่มีคนแบบนี้…” อาเหม็ดขอเถียงกลับประธานเชี่ยนนิดหน่อย
“เพ้อเจ้อ รู้ไหมว่าเพ้อเจ้อแปลว่าอะไร พูดจาไร้สาระยังไงล่ะ คนเลวมีอยู่ทุกที่นั่นแหละ ที่นายคิดว่าบ้านเมืองนายมีคนเลวน้อยก็เพราะว่านายเจอมาน้อย ประเทศนายมีขนาดแค่มณฑลเดียวของประเทศนี้ คนน้อยคนเลวก็ย่อมน้อยตาม ถ้าบ้านเมืองนายคนเยอะแบบประเทศนี้ แค่นายหลับตาเดินออกจากบ้านยังมีสิทธิ์เจอคนเลวเลย อีกอย่างนะ นายปิดบังฐานะตัวเองหนีมาเป็นบอดี้การ์ดสุ่ยเซียน คิดว่าไม่เลว”
“ทำไมผมต้องคุยกับคุณเรื่องนี้ด้วย…” อาเหม็ดหมดแรง
เธอถูกผู้หญิงคนนี้จูงจมูกไปแล้ว เขาถึงกับลืมแล้วว่าตกลงประเด็นหลักมันคือเรื่องอะไร
“สุ่ยเซียน ดูบอดี้การ์ดของตัวเองให้ดีๆ ถึงเขาจะมาจากตระกูลคาร์เตอร์ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะมีตะกร้า[1]งอกมาเหนือคนอื่น ยืนอยู่บนประเทศของเราเขาไม่มีสิทธิ์มาเดินแกว่งXXXดูถูกพี่น้องชาวนาของพวกเรา”
“อุ๊บ…เชี่ยนเอ๋อ เธอพูดคำหยาบ”
สุ่ยเซียนขำคำพูดของเสี่ยวเชี่ยน
ตอนที่ประธานเชี่ยนพูดคำหยาบด้วยสีหน้าจริงจังเธอเกือบหัวเราะออกมาเสียงดังแล้ว
“ฉันด่าแทนคนในประเทศ ใครใช้ให้ตานี่มาทำอวดดีบนประเทศของเราล่ะ คาร์เตอร์มีอะไรดีนักหนา หรือคนครอบครัวนี้มีตะกร้างอกออกมาหลายอันเลยจะพูดจาปากไม่มีหูรูดยังไงก็ได้”
เสี่ยวเฉียงของเธอหนักสองโลเลยนะ
“ผมแน่ใจว่าผู้ชายตระกูลผมไม่ได้มี…ให้ตายเถอะ ทำไมผมถูกคุณทำเขวมาคุยเรื่องนี้ได้นะ” อาเหม็ดโมโห
สุ่ยเซียนพูดขอโทษแล้วหันไปขำอีกด้าน
ในประวัติการทำสงครามของเสี่ยวเชี่ยนต้องมีการบันทึกหน้าใหม่แล้วว่า คนระดับตระกูลคาร์เตอร์ที่ขนาดพ่อเธอยังไม่กล้าว่าอะไร แต่ประธานเชี่ยนกล้าหาญมาก อีกทั้งผู้หญิงที่ดูงามสง่าแบบนี้ยังพูดเรื่องอวัยวะตรงนั้นออกมาได้หน้าตาเฉย แถมยังเอาคำนี้ไปอยู่กับครอบครัวคาร์เตอร์ที่อาเหม็ดแสนจะภูมิใจ สนุกจริงๆ
[1] ตะกร้า ภาษาถิ่นของทางภาคอีสานหมายถึงอัณฑะ (ของผู้ชาย)