พูดคุยเป็นการส่วนตัว
อวี๋หมิงหลางมองเสี่ยวเชี่ยน เขาสัมผัสได้ว่าสายตาของคนอื่นก็มองไปที่เสี่ยวเชี่ยน ในขณะที่กำลังตั้งใจฟังเธอพูดอยู่นั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะแบ่งสมาธิออกมาเล็กน้อย
ท่าทางจริงจังของลูกเชี่ยนมีแรงดึงดูดมาก ถึงเธอจะมาในสถานะผู้ช่วยหมอ แต่บุคลิกท่าทางไม่แพ้ให้กับอาจารย์เลยสักนิด ท่าทางนิ่ง พูดอะไรออกมาแค่นิดหน่อยก็เป็นที่สนใจ ให้ความรู้สึกมีความเป็นมืออาชีพสูง
“จากการที่พวกเราได้ปรึกษากันแล้ว พวกเราคิดว่า ไม่มีความจำเป็นต้องให้หวางย่าเฟยถอนตัวจากการทดสอบครั้งนี้ เพราะจากการวินิจฉัยของฉัน มีความเป็นไปได้สูงว่าตอนเด็กๆเขาอาจจะไปเห็นเหตุการณ์ยิงปืนเข้า ทำให้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขา ถึงได้เป็นโรคภาวะผิดปกติทางใจอย่างรุนแรงแอบแฝงอยู่ แผนการรักษาที่พวกเราวางไว้อาศัยการทดสอบครั้งนี้เป็นสถานการณ์หลัก ปูพื้นฐานเรื่องราวแนวเดียวกับตอนนั้น เพื่อช่วยให้เขาตามหาช่วงที่เขาเป็นทุกข์ที่สุด แบบนั้นการรักษาที่เหลือก็จะง่ายแล้วล่ะค่ะ”
“รักษาจากสถานการณ์จริง?” หัวหน้าหวางไม่เคยได้ยินมาก่อน ศาสตราจารย์หลิวจึงอธิบายให้ฟังว่าอะไรคือการรักษาจากสถานการณ์จริง
ในขณะที่ศาสตราจารย์หลิวอธิบายอยู่นั้น อวี๋หมิงหลางก็เลิ่กคิ้วพลางมองเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนขยิบตาให้
ใช่ ถูกต้อง ก็copyวิธีนายนั่นแหละ~
อวี๋หมิงหลางก็ใช้วิธีนี้มาจัดการปมในใจของหลิวลี่ ส่วนเสี่ยวเชี่ยนจะมาแบบมืออาชีพหน่อย แต่ไอเดียนี้มาจากอวี๋หมิงหลาง วิธีของเธอได้รับการยอมรับจากศาสตราจารย์หลิว
ศาสตราจารย์หลิวพูดจบ หัวหน้าหวางก็พยักหน้า “พวกคุณเป็นมืออาชีพงั้นก็เอาตามคุณว่า ชื่อเสียงของศาสตราจารย์หลิวผมเคยได้ยินมานานแล้ว สมกับที่ร่ำลือจริงๆครับ”
ศาสตราจารย์หลิวมีชื่อเสียงมากในเมืองนี้ ปัญหาจิตเวชที่มีความซับซ้อนเธอมีวิธีจัดการที่เก่ง
“ครั้งนี้ฉันเป็นแค่ผู้ช่วย คนที่ทำการวินิจฉัยจริงๆคือเด็กคนนี้ที่อยู่ข้างๆฉันค่ะ” ศาสตราจารย์หลิวมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความพอใจ เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้าด้วยความมั่นใจให้ทุกคน
“เขาเหรอครับ?” หัวหน้าหวางมองเสี่ยวเชี่ยนอย่างอึ้งๆ เด็กคนนี้ดูยังเด็กอยู่เลยนะ
“ค่ะ นี่คือเฉินเสี่ยวเชี่ยน”
“อายุเท่าไรครับ?” หัวหน้าหวางพอจะเข้าใจเรื่องระบบการเรียนจิตแพทย์อยู่บ้าง ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องระดับชั้นการศึกษามากกว่าการเรียนแพทย์ทั่วไป ปกติต้องจบปริญญาโทขึ้นไป ดังนั้นการจะได้ตรวจคนไข้เดี่ยวๆต้องใช้เวลามาก เสี่ยวเชี่ยนดูแล้วยังเด็กมากจริงๆ
“สิบเก้าครับ อีกห้าเดือนแปดวันก็จะครบยี่สิบ” อวี๋หมิงหลางมองเสี่ยเวชี่ยนที่สายตาเต็มไปด้วยรัก พลางแนะนำเธออย่างภูมิใจ
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มให้เขาเล็กน้อย เขาจำได้แม่นจริงๆ
หัวหน้าหวางตกใจ “เด็กขนาดนี้เลย เด็กรุ่นใหม่นี่เก่งขึ้นทุกวัน สามารถติดตามศาสตราจารย์หลิวออกมาได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่…เอ๊ะเดี๋ยวนะ ทำไมหัวหน้าอวี๋ถึงรู้ดีจังล่ะ?”
อวี๋หมิงหลางยิ้มแบบมีเลศนัยบวกกับภูมิใจ นี่คือผู้หญิงของเขา เขาจะไม่รู้ดีได้ยังไง?
“หมอเฉินคนนี้กับหัวหน้าของพวกเราเป็น…” เฉียวเจิ้นอยากจะแนะนำเสี่ยวเชี่ยน แต่เสี่ยวเชี่ยนพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมทางกัน นี่ก็เกือบได้นั่งรถคันเดียวกันมาแล้วค่ะ”
คนอื่นฟังไม่เข้าใจ แต่อวี๋หมิงหลางเข้าใจได้ทันที หน้าที่เดิมทีเคร่งขรึม พอเสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนี้ก็กลายเป็นสีแดงหูแดง
ลูกเชี่ยน แสบนักนะ
เสี่ยวเชี่ยนขยิบตา ถูกต้อง ก็แสบไงล่ะ
ได้แกล้งทหารหน้าเข้มต่อหน้าคนเยอะๆแบบนี้ น่าภูมิใจสุดๆ ปกติไม่มีโอกาสแบบนี้หรอก โอกาสหายากแบบนี้ไม่แกล้งเสี่ยวเฉียงมาดขรึมในใจคงเสียดายแย่
เสี่ยวเชี่ยนพูดออกมาแบบนี้อวี๋หมิงหลางรู้สึกเหนือความคาดหมาย เขาพูดไม่ออก ทำได้แค่มองเสี่ยวเชี่ยนอย่างจนปัญญา ยัยตัวแสบ รอ ‘ขับรถ’ ครั้งหน้าก่อนเถอะจะเอาให้เจ็บแสบเลย…คอยดู
ความโรแมนติคเล็กๆที่คนอื่นไม่เข้าใจมีแค่คู่รักคู่นี้ที่เข้าใจ ศาสตราจารย์หลิวกับเฉียวเจิ้นคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอวี๋หมิงหลาง ส่วนหัวหน้าหวางก็เข้าใจตามนั้น
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเพื่อนร่วมทาง พวกคุณเคยนั่งรถคันเดียวกันเหรอครับ?”
ยิ่งถามยิ่งไปกันใหญ่ แต่ประธานเชี่ยนเป็นคนที่ใจเย็น อวี๋หมิงหลางก็เป็นคนที่หน้าหนาในเลเวลเหนือมนุษย์ ดังนั้นทั้งสองคนจึงได้แต่ยิ้มๆ ทำให้คนอื่นคิดว่าคงเป็นแค่เพื่อนกัน
อวี๋หมิงหลางถูกเสี่ยวเชี่ยนแกล้งจนเสียการทรงตัวไปแค่ไม่กี่วินาที พอตั้งตัวได้เขาก็รีบว่าตามเสี่ยวเชี่ยน
“ใช่ครับ พวกเราเคยเกือบได้ขับรถไปดูใบเมเปิ้ลด้วยกัน”
“อ้อ จริงด้วย ค่ายของพวกเราที่นี่ป่าเมเปิ้ลสวยมาก รอฤดูใบไม้ร่วงหัวหน้าอวี๋กับหมอเฉินมาที่นี่ ผมจะรับหน้าที่เป็นคนพาเที่ยวให้เอง” หัวหน้าหวางพูดด้วยความกระตือรือร้น สายตาของเขาที่มองเสี่ยวเชี่ยนนอกจากความชื่นชมแล้ว ยังมีความรู้สึกเป็นมิตรมอบให้
“ไม่ต้องหรอกครับ อันนี้ไปสามคนไม่ได้” อวี๋หมิงหลางพูดจบก็รู้สึกได้ถึงแรงถีบของเสี่ยวเชี่ยนจากใต้โต๊ะ
หน้าด้าน
อวี๋หมิงหลางหรี่ตามองเธอ ตัวเองเริ่มก่อนชัดๆ เขาก็แค่ว่าไปตามน้ำ
เฉียวเจิ้นไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจแอบอ้วกเบาๆ อยู่ไม่ได้แล้วที่นี่ ถึงกับมาแสดงความรักกันถึงในค่ายทหาร โชคดีที่เขามีน้องเสี่ยวยวี่ ไม่อย่างนั้นได้ถูกOneกับผู้หญิงแกร่งของเขาทำเลี่ยนตายแน่ๆ
ลำดับต่อมาเสี่ยวเชี่ยนพูดรายละเอียดแผนการรักษาของเธอกับศาสตราจารย์หลิวให้ทุกคนฟัง มีจุดไหนบ้างที่ต้องให้พวกเขาร่วมมือ พออธิบายจบเสี่ยวเชี่ยนก็พูดกับอวี๋หมิงหลาง
“ในฐานะที่เป็นหมอ ฉันมีอะไรจะขอร้องเป็นการส่วนตัว อยากคุยกับหัวหน้าอวี๋กับรองหัวหน้าเฉียว ไม่ทราบว่าสะดวกให้เวลาฉันสักหน่อยไหมคะ?”
“ได้ครับ”
หัวหน้าหวางเห็นแบบนั้นจึงออกไป ศาสตราจารย์หลิวก็ตามออกไปด้วย
เฉียวเจิ้นยืนอยู่ที่เดิม เอามือกอดอกรอฟังเสี่ยวเชี่ยนพูด รู้สึกได้ถึงสายตาของอวี๋หมิงหลางที่ถลึงมองมา เฉียวเจิ้นยังไม่รู้สึกตัว ทำไมOneต้องจ้องเขาแบบนั้นด้วย?
กขคนี่…อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าความฉลาดของเฉียวเจิ้นอาจจะไหลไปกับของเหลวเมื่อคืนแล้ว แค่นี้ยังไม่เข้าใจ?
“ตาเหยี่ยว นายไปดูสถานการณ์ความพร้อมของสนามทดสอบถัดไปหน่อย”
“ไม่ต้องดูหรอก ดูไปสามรอบแล้ว” วันนี้ไม่รู้เฉียวเจิ้นเป็นอะไร จนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจอีก
“ไปดูอีก ดูไม่เสร็จไม่ต้องกลับมา” อวี๋หมิงหลางเกิดความรู้สึกอยากอัดเขาอีกรอบแล้ว
ในที่สุดเฉียวเจิ้นก็เข้าใจ เอามือตีหัวตัวเอง “สมงสมองฉันนี่ ฉันไปละ พวกนายจะแสดงความรักกันยังไงก็ตามสบายเลยนะ แต่ขอบอกนิดนึง ศูนย์บัญชาการนี่ค่อนข้างโปร่ง Oneนายจะจูบน่ะได้อยู่ แต่อย่าให้มันเกินไป เดี๋ยวเสี่ยวเชี่ยนจะเป็นหวัด แล้วก็อย่าให้คนอื่นเขามาเห็นสงครามอันดุเดือดเข้าล่ะ”
พูดต่อไม่ได้แล้ว อวี๋หมิงหลางกำลังเตรียมจะพุ่งเข้ามาอัดแล้ว
เฉียวเจิ้นเผ่นออกไปเรียบร้อย เสี่ยวเชี่ยนหมดคำจะพูด
“ฉันตั้งใจจะคุยกับนายจริงๆ นายไล่เขาไปทำไม?”
เดิมก็ไม่ได้มีอะไรอยู่แล้ว พอเขาทำแบบนี้สถานการณ์ยิ่งคลุมเครือ ทั้งๆที่เธอต้องการคุยเรื่องสำคัญกับอวี๋หมิงหลางด้วยสถานะหมอแค่นั้น
“มีเรื่องอะไรคุณคุยกับผมแล้วผมไปบอกเขาก็เหมือนกัน” ถึงแม้น้ำเสียงของอวี๋หมิงหลางจะฟังดูจริงจัง แต่สายตาไม่เหมือนเมื่อครู่
เมื่อครู่เขาอยู่ในสถานะหัวหน้า ตอนนี้คือผู้ชายที่กำลังมองผู้หญิง แถมยังเป็นสายตาของผู้ชายที่จอดรถแวะกินเนื้อตั้งหลายครั้งแต่ยังไม่สำเร็จ
เสี่ยวเชี่ยนหัวใจเต้นแรงเพราะสายตาของเขา รู้ว่าตาทึ่มนี่จงใจส่งสายตาหว่านเสน่ห์อยากจะแก้แค้นที่เมื่อครู่เธอ ‘ขับรถ’ โดยไม่มีการแจ้งเตือนก่อน
“ฉันอยากคุยกับนายเรื่องหลังจากที่หวางย่าเฟยทดสอบเสร็จ นี่เป็นคำขอของจิตแพทย์คนหนึ่งที่ต้องการขอร้องหัวหน้าหน่วยย่อยของทหารหน่วยรบพิเศษเป็นการส่วนตัว…”