แคลร์มองมือเรียวขาวที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ตะลึงไปเล็กน้อย
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่? ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นไม่ได้ดึงมือกลับแต่ถามเสียงต่ำ เขามีความกังวลอยู่ในน้ำเสียงนั้น ไม่เพียงแต่แคลร์ที่ไม่สังเกตเห็น แต่ตัวเหลิ่งหลิงยวิ๋นเองก็ไม่ได้สังเกตเช่นกัน
“ข้า ข้าไม่เป็นไร” แคลร์ลังเลและยื่นมือออกไป
เหลิ่งหลิงยวิ๋นจับมือแคลร์แล้วดึงนางขึ้นมา
ในตอนนี้เอง หลิวเฉว่ฉิงและเหลิ่งซวนซวนที่เพิ่งมาถึงก็ได้เห็นฉากนี้เข้าพอดี
ดวงตาของหลิวเฉว่ฉิงหยุดอยู่ที่มือทั้งสองข้างที่จับกันแน่น ความเศร้าหมองฉายอยู่ในแววตาของนาง แต่ครู่หนึ่งก็หายไปในทันที
เหลิ่งหลิงยวิ๋นดึงแคลร์ขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ
“ท่านบุตรแห่งแสง ขอบคุณมาก ข้า ข้าไม่เป็นไรแล้ว” แคลร์พูดเบาๆ และดึงมือออก
“อ้อ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นนมองแคลร์ด้วยความงุนงงและดึงมือของเขากลับ เหลิ่งหลิงยวิ๋นกำมือแน่น ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อแคลร์ชักมือกลับไป เขาถึงได้มีความรู้สึกสูญเสียบางอย่างเล็กน้อยเกิดขึ้นในใจ
“ทำไมเจ้าถึง…” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดออกมาไม่กี่คำ เสียงของหลิวเฉว่ชิงก็ดังขึ้น
“พวกเจ้าจะหนีไปไหน?! ” เสียงหลิวเฉว่ฉิงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว เรียกสายตาของแคลร์และเหลิงหลิงยวิ๋นให้หันไปมอง
ใบหน้าของอลิซขาวซีด ชายที่อยู่ข้างๆ นางก็มีใบหน้าที่ซับซ้อน อลิซกำลังดึงชายที่อยู่ข้างๆ เพื่อแอบหนีออกไป แต่หลิวเฉว่ฉิงตะโกนหยุดพวกเขาไว้ก่อน
“อลิซ โรม?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นจำได้ ขุนนางคนใดที่เขาเคยพบ เขาจะสามารถจำชื่อได้ทันที ในขณะนี้ เสียงของเหลิ่งหลิงยวิ๋นมีร่องรอยของความโกรธอยู่ในนั้น เขาเห็นกับตาว่าเมื่อกี้ทั้งสองคนนี้เกือบจะฆ่าแคลร์แล้ว
ใบหน้าของอลิซซีดลงทันที
นางรู้ว่าครั้งนี้เรื่องจะไม่จบลงง่ายๆ แน่นอน
อลิซก้มหน้าก้มตาไม่พูดะไร ชายที่อยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าซับซ้อน รอจนแคลร์และเหลิ่งหลิงยวิ๋นเดินเข้ามาใกล้ๆ ชายผู้นั้นจึงหันหน้าไปมองแคลร์แล้วจ้องค้างอยู่เช่นนั้น ไม่ขยับไปไหน
“อลิซ โรม เรื่องในครั้งนี้ ข้าและเทพธิดาเห็นอย่างชัดเจนว่าเจ้าต้องการจะทำร้ายแคลร์ ข้าคิดว่ามีหนทางเดียวก็คือขอให้องค์จักรพรรดิตัดสินในเรื่องนี้! ” เสียงของเหลิ่งหลิงยวิ๋นเย็นชา ไม่มีความอ่อนโยนอยู่เลย
“ไม่นะคะ ท่านบุตรแห่งแสง” อลิซเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความกลัวลึกๆ ในดวงตา นางรู้แล้วว่าเรื่องนี้กำลังจะเป็นเรื่องใหญ่ ช่วงนี้แคลร์มีอิทธิพลมากขึ้น นางเป็นสมาชิกของตระกูลฮิลล์และยังเป็นศิษย์ของปรมาจารย์คลิฟ หากมีใครต้องการเอาชีวิตนาง คนเหล่านี้จะไม่มีวันปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน
“ไม่ต้องพูดมาก ไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย” การแสดงออกของเหลิ่งหลิงยวิ๋นเย็นชามาก
ดวงตาของหลิวเฉว่ฉิงหมองลงเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเหลิ่งหลิวยวิ๋นให้ความสนใจกับเรื่องของคนอื่น ในสายตาของนางแล้ว เขาไม่เคยมองคนอื่นเลย นับประสาอะไรกับการไปยุ่งเรื่องของคนอื่นล่ะ แต่ตอนนี้เขากลับกังวลใจแทนเจ้าเมืองเล็กๆ คนหนึ่งเช่นนี้ กระทั่งจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิด้วยตัวเองเลย เหตุผลเพียงเพราะว่าซวนซวนชอบสาวผมบลอนด์ผู้นี้อย่างนั้นหรือ? เพียงเหตุผลข้อนี้งั้นหรือ?
ในขณะนี้ มีร่างหนึ่งลงมาจากท้องฟ้า นั่นคือคลิฟผู้มีใบหน้าสะลึมสะลือง่วงนอน คลิฟตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงฟ้าผ่า เขาจำได้ว่าเขาเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จึงสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับแคลร์ เขาเลยรีบมา ที่ด้านหลังของคลิฟยังมีพระคาร์ดินัลในชุดแดงของวิหารแห่งแสงด้วย… ราอูลนั่นเอง มีคนบางส่วนกำลังมาจากทางประตูเมืองเช่นกัน ทุกคนต่างมีความสนใจในสายฟ้าจนตามมากันที่นี่
อลิซมองผู้คนที่มากขึ้น ใบหน้าของนางก็ซีดลงเรื่อยๆ นางรู้เลยว่าคราวนี้คงจะจบลงแล้วจริงๆ
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?” คลิฟร่อนลงมา มองราอูลที่ยืนอยู่ข้างหลังและถามอย่างไม่เกรงใจ
“เช่นเดียวกับเจ้านั่นล่ะ” ราอูลยักไหล่ มองเหลิ่งหลิงยวิ๋นและแคลร์ที่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ แคลร์ เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน? ” ราอูลเอื้อมมือไปแตะหัวของแคลร์อย่างเอ็นดู คลิฟที่มองอยู่ก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา เจ้านี่ หรือว่าเขายังไม่ถอดใจที่จะชวนให้แคลร์ไปเป็นศิษย์ของเขาอีก?
“อาจารย์ราอูล สวัสดี ข้าออกมาเดินกับสัตว์เวทย์ของข้า เห็นการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้าเข้า ข้าก็เลยอยากมาดู แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกอลิซทำร้าย โชคดีที่บุตรแห่งแสงผ่านมาและช่วยข้าไว้” แคลร์ขมวดคิ้วและตอบ ในน้ำเสียงนั้นมีความเสียใจและไร้เดียงสาอยู่
“อะไรนะ?! ” ราอูลขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน “หลิงยวิ๋น เรื่องมันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? “
“ใช่ครับ ท่านอาจารย์ ข้าเห็นพวกเขากำลังโจมตีแคลร์ในตอนที่ข้ามาถึง” เหลิ่งหลิงยวิ๋นตอบกลับอย่างสงบ
“พวกเจ้า กล้าทำร้ายศิษย์ของข้า พวกเจ้าอยากตายงั้นหรือ? ” เสียงคำรามอันแหลมคมดังมาจากด้านหลังราอูล ทุกคนมองกลับไปก็เห็นใบหน้าที่ดุร้ายของคลิฟที่พร้อมจะต่อสู้
“เจ้าอายุไม่น้อยแล้วนะ ยังจะทำตัวเช่นนี้อีก” ใบหน้าของราอูลบิดเบี้ยว ชายชราผู้นี้ยังคงเป็นเช่นเดิม เวลาจะลงมือก็ไม่สนใจสิ่งใดอีก ตอนนี้มีกลุ่มคนกำลังเข้ามา หากจะฆ่าคนสองคนที่นี่ ก็จะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองไม่ใช่หรือ? เรื่องที่ทั้งสองทำร้ายแคลร์ก็มีเพียงพวกเหลิ่งหลิงยวิ๋นเท่านั้นที่เห็น อีกทั้งแคลร์ก็ยังอยู่ดี แต่ถ้าคลิฟลงมือขึ้นมา ทุกคนที่กำลังมาก็จะเห็น ถึงเวลานั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิ ก็จะอธิบายได้ยาก
“เจ้าต้องการปกป้องสองคนนั้นหรือ? ” ใบหน้าของคลิฟบิดเบี้ยวและถามด้วยความโกรธ
“พวกเขาล้วนเป็นบุคคลสำคัญ เรื่องนี้ให้องค์จักรพรรดิจัดการจะดีที่สุด พระองค์จะไม่เข้าข้างใครอย่างแน่นอน หลิงยวิ๋นและเฉว่ฉิงรู้ว่าต้องบอกความจริงกับจักรพรรดิ” ราอูลคลุกคลีอยู่กับวิหารแห่งแสงและพระราชวังเป็นเวลาหลายปี เขาสามารถจัดการได้ และจัดการได้อย่างดีเลยด้วย
คลิฟขมวดคิ้วและมองราอูลอย่างเงียบๆ
“ท่านอาจารย์ สิ่งที่อาจารย์ราอูลพูดนั้นสมเหตุสมผลมาก ข้าเชื่อว่าองค์จักรพรรดิจะประทานความยุติธรรมให้ข้า” แคลร์พูดเพื่อเอาใจคลิฟ
“ก็ได้” คลิฟเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นก็มองไปที่อลิซอย่างดุเดือด อลิซมองกลับมาด้วยความตกใจแล้วก้มหน้าลงทันทีด้วยความกลัว
พวกเขาเดินทางกลับมาที่ประตูเมือง หลายคนเห็นคลิฟกับราอูล และยังมีบุตรและเทพธิดาแห่งแสงอีก พวกเขาก็ร้องอุทานออกมา ถ้าคนเหล่านี้อยู่ที่นั่น ภาพบนท้องฟ้าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ไม่แปลกเลย พวกเขาต้องเป็นผู้ที่ทำให้ภาพนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แคลร์เห็นสีหน้าของผู้คนก็สบายใจ นางอยากให้ทุกคนเข้าใจผิดไปเช่นนั้น
ท่ามกลางฝูงชนมากมาย สายตาชายหญิงคู่หนึ่งมองมาทางนี้ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ พวกเขามีผมสีบลอนด์และดวงตาสีฟ้า ในตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของพวกเขาเลย นั่นก็เพราะสายตาของทุกคนจ้องมองไปที่คลิฟ ราอูล และบุตรธิดาแห่งวิหารแห่งแสงอยู่ การปรากฏตัวของคนเหล่านี้ย่อมได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” ชายผมบลอนด์ตาสีฟ้ากระซิบถามหญิงผมบลอนด์ตาสีฟ้าข้างๆ
“ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าไม่ถูกชะตาหญิงผู้นั้นหรือไม่ แต่ข้ารู้สึกว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ต้องเกี่ยวข้องกับนางอย่างแน่นอน” หญิงผมสีบลอนด์ตาสีฟ้าตอบ
“ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ถูกชะตาหญิงผู้นั้น แต่สัญชาตญาณของเจ้ามักจะตรงจนทำให้ข้ากลัวเสมอ” ชายผมบลอนด์ตาสีฟ้าพูดอย่างติดตลก
หญิงผมบลอนด์ตาฟ้าเงียบลง เหล่ตามองแคลร์และไม่ได้พูดอะไรอีก
“อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่นเลย รีบไปหาสิ่งนั้นให้เจอแล้วเราก็ไปกันเถอะ” ชายผมบลอนด์ตาฟ้าพูด
“ปัญหาคือตอนนี้ยังไม่มีร่องรอยอะไรเลย ใครบางคนเริ่มลงมือก่อนข้า แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นอยู่ในมือใคร” หญิงผมบลอนด์ตาฟ้าพูดอย่างโกรธเคือง
“ไม่ต้องรีบร้อนจนเกินไปหรอก ตอนนี้ข้ามีสิ่งนั้นอยู่ติดตัว หากอีกอันอยู่ใกล้เรา มันก็จะมีปฏิกิริยาอย่างแน่นอน” ชายผมบลอนด์ตาฟ้าพูดเสียงเบาลงเพื่อปลอบโยนและพูดเสริม “ไม่ต้องกังวล มันต้องอยู่ในเมืองนี้นี่แหละ”
“อืม หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ” เสียงของหญิงผมบลอนด์ตาฟ้าดูเศร้าโศก พวกเขาต้องหาสิ่งนั้นให้พบ และครอบครัวของพวกเขาก็จะฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งได้! เพื่อจุดประสงค์นี้ พวกเขาจะต้องหามันให้พบ!
“ไปกันเถอะ” ชายผมบลอนด์ตาฟ้าหันหลังกลับ เบียดตัวเข้าไปในฝูงชน และหายตัวไป ในขณะที่หญิงผู้นั้นก็ตามหลังเขา และหายไปในฝูงชนเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้น พวกเราควรไปที่พระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ” คลิฟพูดอย่างเย็นชาพลางมองไปที่อลิซและชายที่อยู่ข้างๆ
แคลร์เดินผ่านเสือดาวลมไปที่ก้อนหินแล้วอุ้มไป๋ตี้ขึ้นมา ในเวลานี้ดวงตาของหลิวเฉว่ฉิงก็มองไปที่เจ้าลูกชิ้นขนปุยที่อยู่ในอ้อมแขนของแคลร์ และความสงสัยก็ฉายขึ้นในดวงตาของนาง ทำไมนางถึงรู้สึกว่าเจ้าขนปุยตัวเล็กๆ ดูคุ้นเคยจังเลยนะ? แคลร์ไม่ได้สังเกตเห็นสายตาที่สงสัยของหลิวเฉว่ฉิงที่มองไป๋ตี้ในอ้อมแขนของนางเป็นครั้งคราว
เช้าวันนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่สงบเลยจริงๆ
ลูกหลานของตระกูลโรมได้เผชิญหน้ากับลูกหลานตระกูลฮิลล์ซึ่งกำลังเป็นที่รู้จัก ในไม่ช้าเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ทุกคนให้ความสนใจเรื่องนี้กันอย่างมาก
จักรพรรดินั่งอยู่บนบัลลังก์ มองชายชราสองคนที่ยืนอยู่ด้านล่างอย่างปวดหัว คนหนึ่งเปล่งประกายสง่างาม ส่วนอีกคนหนึ่งดูโรยราไปเล็กน้อย คนที่ยืนอยู่ข้างๆ คือคลิฟที่มีใบหน้าบึ้งตึง ตามด้วยราอูลที่มีใบหน้าที่สงบ นอกจากนี้ยังมีบุตรแห่งแสงเหลิ่งหลิงยวิ๋นและเทพธิดาแห่งแสงหลิวเฉว่ฉิง ส่วนคนที่ยืนเงียบอยู่ในท้ายสุดคือแคลร์ อลิซ และลูกพี่ลูกน้องของอลิซ
ชายชราผู้เปล่งประกายสง่างามก็คือดยุกฮิลล์ ส่วนชายชราที่ดูโรยราก็คือดยุกโรม หัวใจของดยุกโรมกำลังคร่ำครวญ เขาโกรธเกลียดหลานสาวที่ไม่เชื่อฟัง เขาเคยเตือนนางแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับตระกูลฮิลล์อีก ครั้งนี้เป็นเรื่องจนได้ นางไม่เพียงแต่ไปยั่วยุเท่านั้น แต่ยังทำให้คนที่ทรงพลังเห็นแล้วมาเป็นพยานอีก ครั้งนี้แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ยากแล้ว
“สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้ข้ารู้สึกใจสลาย พวกเจ้าเป็นเสาหลักของอาณาจักร และทั้งสองคนก็เป็นเสาหลักในอนาคตของอาณาจักรเรา ตอนนี้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น…” จักรพรรดิกล่าวอย่างเศร้าๆ เขารู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจัดการกับเรื่องนี้ เพราะนี่ไม่ใช่การดวลกันอย่างยุติธรรมระหว่างคนสองคน และไม่ใช่การทะเลาะกันแบบเด็กๆ แต่มันเป็นการฆาตกรรม!
……………………………………………………………………………..