ซูเจ๋อพยายามอดทนซ่อนเร้น เขาพูดขึ้นว่า : “ทุกอย่างดีมาก เพียงแต่ร่างกายของเขายังค่อนข้างอ่อนแอ เราฟื้นฟูร่างกายของเขาในเมืองหลวงนี้ไม่ทันแล้ว ข้าจึงได้ให้เอ้อเหนียงพาเขาออกจากเมืองหลวงภายในคืนนี้เลย ตอนนี้คงใกล้จะออกจากเมืองไปแล้ว ข้าจะส่งเขาไปยังในที่ที่ปลอดภัย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถตามหาเขาได้ รอให้ทุกอย่างสงบลงแล้ว ข้าจะพาท่านไปหาเขา”
เฉินเสียนนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน เธอเอียงใบหน้าแนบกับมือของซูเจ๋อ พูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า : “ท่านรู้หรือเปล่า ว่าถ้าหากเขาตายไปแล้วจริงๆ บางทีชั่วชีวิตนี้ ข้าก็ไม่กล้ามีลูกอีกแล้ว มันเจ็บปวดเกินไป……เจ็บปวดมากจริงๆ……”
สีแดงสดของห้องหอ ดูแล้วค่อนข้างอบอุ่นสบายตา เฉินเสียนนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ เธอพยายามแหงนหน้าขึ้นสูงแล้วบีบจมูกไว้ รอยยิ้มที่มุมปากปนเปื้อนความขมขื่น เธอพยายามกะพริบตาไม่หยุดเพื่อจะให้น้ำตานั้นไหลย้อนกลับคืนไป เธอพูดขึ้นว่า : “วันนี้ต้องห้ามร้องไห้ ถ้าร้องต่อ หน้าคงเละไปหมดแน่ๆ”
วันนี้ชุดแต่งงานของเธอสง่างามดุจเปลวเพลิง เครื่องทองประดับผมและแหวนหยก แต่งหน้าทาปากสวยสดงดงาม ที่ควรจะอวดโฉมตรึงใจผู้คน ไม่ใช่มานั่งร้องไห้ให้หน้าลายไปหมดแบบนี้
ที่สำคัญซูเจ๋อก็อยู่ด้วย เธอจะร้องไห้อย่างไม่รู้จักอายจนหน้าลายไปหมดแบบนี้ไม่ได้
แต่จิตใจของคนเรายากจะควบคุมเป็นที่สุด เจ้าน่องน้อยยังมีชีวิตอยู่ และในที่สุดก็ไม่มีใครสามารถใช้เจ้าน่องน้อยมาข่มขู่เธอได้อีก
เป็นซูเจ๋อที่ทำให้ความปรารถนาของเธอนั้นเป็นจริง คอยปกป้องคุ้มครองเจ้าน่องน้อยให้อยู่รอดปลอดภัย
“สามีดังปรารถนาของท่าน” ซูเจ๋อพูดขึ้นเสียงเบา : “หากว่ายังมีโอกาส ท่านยินดีจะแต่งงานกับข้าหรือเปล่า?”
เฉินเสียนยิ้มขึ้นอย่างมีเสน่ห์ ดวงตาที่ชัดเจนเป็นประกายแวววาว เธอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า : “ไม่รู้ว่าโอกาสหน้านั้นจะเป็นเมื่อไหร่กัน”
ซูเจ๋อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา : “วันข้างหน้า ราชอาณาจักรต้าฉู่สงบลงแล้ว ท่านก็จะได้ขึ้นกุมอำนาจเหนือใต้หล้า ถือบารมีที่สูงส่ง จะมีโอกาสให้ท่านได้แต่งกับข้าได้อย่างไรกัน กษัตริย์ไม่ลดตัวลงมาแต่งอยู่แล้ว”
รอยยิ้มของเฉินเสียนจางหายไป ริมฝีปากค่อยๆ เม้มแน่น
ซูเจ๋อพูดขึ้นเบาๆ ว่า : “แล้วถ้าเกิดเป็นวันนี้ล่ะ ท่านยินดีหรือเปล่า?”
เฉินเสียนสะดุ้งไปทั้งตัว
เขาย่อตัวลงหน้าเตียงของเธอ ระดับความสูงเสมอพอดีกับเธอ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ถ้าเกิดว่าค่ำคืนนี้ข้าอยากจะให้ท่านกราบไหว้พิธีมงคลสมรสใหม่พร้อมข้า กล่าวคำมั่นสัญญาต่อกันด้วยใจจริง ให้ฟ้าดินได้เป็นพยาน ท่านจะยินดีหรือไม่?”
เฉินเสียนมองเขาอย่างจริงจัง เวลานั้นเอง น้ำตาของเธอก็พรั่งพรูออกมา เธอเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของซูเจ๋อที่ค่อนข้างเย็นและซีดเผือด ขมวดคิ้วแน่น ใต้ดวงตาค่อนข้างเขี้ยวคล้ำ
เฉินเสียนลูบไล้ดวงตาของเขาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาว่า : “ซูเจ๋อ ท่านไม่ได้นอนมากี่วันแล้ว?”
ซูเจ๋อยิ้มขึ้นเบาบาง : “ตอบข้าก่อน ว่าท่านยินดีหรือไม่?”
“ยินดี”
ซูเจ๋อจับมือของเธอ คำนับฟ้าดินพร้อมกัน ภายใต้แสงเทียนนี้
จากนั้นทั้งเขาและเฉินเสียนก็หันหน้าเข้าหากัน กล่าวคำมั่นสัญญา : “ท่านและข้าสามีภรรยาคำนับต่อกัน ฟ้าดินเป็นพยาน เราทั้งสองเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
เฉินเสียนและซูเจ๋อต่างโค้งคำนับซึ่งกันและกัน คุกเข่าหน้าผากก้มต่ำเสมอพื้น เธอกล่าวขึ้นว่า : “ฟ้าดินเป็นพยาน รักกันชั่วชีวิตไม่แยกจากกัน”
เมื่อลุกขึ้นแล้ว ซูเจ๋อก็พูดขึ้นว่า : “ต้องดื่มสุราฝาน้ำเต้าคู่นี้ก่อน จึงจะถือว่าพิธีเสร็จโดยสมบูรณ์”
สุราฝาน้ำเต้าสองชาม ลวดลายวิจิตรสวยงาม ซูเจ๋อเองได้รินสุราไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ทั้งคู่พากันเดินมายังหน้าโต๊ะบูชา เฉินเสียนมองดูเหล้าที่ซูเจ๋อถืออยู่ เธอเองไม่ได้มีปัญหากับเหล้าสุรา แต่เพราะเป็นห่วงซูเจ๋อ เธอจึงพูดขึ้นว่า : “ซูเจ๋อ ข้าจำได้ว่าท่านไม่ดื่มสุรา เราเปลี่ยนเป็นน้ำแทนไหม?”
ซูเจ๋อกะพริบตาบางเบา เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “นี่เป็นสุราแลกจอก หมายถึงภายภาคหน้า ท่านและข้าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน รักกันแน่นแฟ้นกลมเกลียว ท่านมั่นใจหรือว่าอยากจะเปลี่ยนไปเป็นน้ำ?”
เฉินเสียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “งั้นก็ดื่มสุราเถอะ หนึ่งถ้วย ท่านดื่มไปแล้วจะไม่เป็นอะไรแน่หรือ?”
ซูเจ๋อเอนตัวเข้ามา ยกแขนขึ้นตั้งฉาก เพื่อจะให้เฉินเสียนเข้ามาคล้องแขนเกี่ยวกับเขาไว้ เขาได้พูดขึ้นว่า : “แม้ว่าข้าจะไม่ดื่มสุรา แต่แค่ไม่กี่ถ้วยก็ไม่ได้ถือว่าหนักหนาอะไร ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วง”
ฮูหยิน……
เฉินเสียนจ้องเขาตาเขม็ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ยื่นมือออกมาคล้องแขนของซูเจ๋อไว้ แสร้งทำเป็นสีหน้าเรียบเฉยไม่มีอะไร แต่มีเพียงตัวเธอที่รู้ตัวเองเป็นอย่างดี ว่าที่จริงแล้วตัวเธอเองกำลังตื่นเต้นจนรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด
จากนั้น เมื่อวางถ้วยสุราลงแล้ว เธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เห็นซูเจ๋อกำลังหรี่ตามองลงมาด้วยสีหน้าแววตาที่ยิ้มแย้ม
ความโค้งของริมฝีปากของเขาได้รูปชัดเจน รอยยิ้มเป็นประกายคมชัด พลอยทำให้ภายในห้องที่ถูกตกแต่งนี้ดูจืดชืดลงไปเลย
น้อยครั้งที่เฉินเสียนจะได้เห็นเขายิ้มอย่างมีความสุขและไร้เดียงสาเช่นนี้ เคยเห็นเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง แต่พิมพ์ลงกลางหัวใจของเธอชัดเจน
ห้วงเวลาถัดมา เมื่อซูเจ๋อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลง เขาก็ค่อยๆ ทิ้งตัวเข้าหาเฉินเสียน
เฉินเสียนอึ้งไปชั่วขณะ รีบยื่นมือไปรับตัวเขาไว้ ร่างกายที่ค่อนข้างหนักอึ้งค่อยๆ ทิ้งตัวทับลงมา เฉินเสียนเซถอยไปหลายก้าว ยากที่ยืนหยัดให้มั่นคงได้ เธอถอยหลังไปทีละก้าว สุดท้ายทั้งคู่ก็ล้มลงบนเตียงด้วยกัน
ซูเจ๋อกอดเธอแนบแน่น ซุกหน้าลงบนผมของเธอ
เฉินเสียนผลักเขาออกเบาๆ ถามขึ้นอย่างเป็นกังวลใจว่า : “ซูเจ๋อ ท่านเป็นอะไรไป?”
ซูเจ๋อตอบกลับโดยความงัวเงียว่า : “ตอนที่รักษาเจ้าน่องน้อย ไม่ได้นอนอยู่หลายวัน ให้ข้านอนที่นี่สักประเดี๋ยวได้ไหม ข้าไม่ได้เป็นอะไรหรอก เพียงแค่ร่างกายอ่อนล้าก็เท่านั้น พักผ่อนเดี๋ยวเดียวก็หาย”
ตอนนี้เฉินเสียนเองก็รู้สึกผ่อนคลายลงเช่นกัน เธอกอดแผ่นหลังของเขาแนบแน่น หลุบตาลงต่ำ ยิ้มขึ้นบางเบาอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “นอนเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้าท่านเอง”
เธอไม่รู้ว่าเขาต้องพยายามมากแค่ไหนในการวางแผนและจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ เธอไม่ได้เห็นทุกอย่างกับตาเธอเอง เพื่อที่จะพาเจ้าน่องน้อยกลับจากโลกแห่งความตาย เขาเองต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจลงไปขนาดไหน
แต่แค่เพียงนึกคิด ก็รู้ว่าเขานั้นคงไม่กล้าที่จะหลับตาพักผ่อนเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจดจ่อและตั้งใจอยู่เสมอ ไม่เคยเลยที่จะหละหลวม เฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ
ตอนที่เฉินเสียนและเจ้าน่องน้อยกำลังทุกข์ทรมานอยู่ในพระราชวัง ซูเจ๋อที่อยู่ข้างนอกนั้น เขาเองไม่เคยได้สบายใจเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาเหนื่อยมาก แต่ไม่ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยมากแค่ไหน ค่ำคืนนี้เขาก็มาที่นี่อยู่ดี
เขามาเพื่อบอกกับเธอ ว่าเจ้าน่องน้อยยังมีชีวิตอยู่ และตอนนี้ก็ปลอดภัยเป็นอย่างมาก เขาเก็บซ่อนและข่มความเหนื่อยล้าทั้งหมดไว้ เพื่อได้พูดความในใจกับเฉินเสียน
ตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาในห้องนี้ เขาได้รินสุราฝาน้ำเต้าคู่ไว้ตั้งแต่แล้ว ตั้งใจจะทำพิธีกราบไหว้กับเธอใหม่อีกครั้ง ดื่มสุราแลกจอกกับเธอ
เมื่อภารกิจสุดท้ายในแผนที่วางไว้ได้เสร็จสิ้นลง เพียงซูเจ๋อผ่อนคลายลงเล็กน้อย ความอ่อนล้าทั้งหมดของร่างกายก็จะถาโถมเข้ามาทันที
ชายผู้นี้ มักจะทำอะไรเพื่อเธอจนเกินตัวเสมอ เธอยังจะมีอะไรให้ขออีกเล่า? ชั่วชีวิตนี้ไม่มีสิ่งไหนให้ร้องขออีกแล้ว
สามารถกอดเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วหลับไปพร้อมๆ กันแบบนี้ สำหรับซูเจ๋อ มันเป็นสิ่งที่พึงพอใจที่สุดแล้ว
เขาที่ใกล้จะหลับเข้าไปทุกที แต่สุดท้ายก็ฝืนตื่นขึ้นมาจนได้ เขาพูดขึ้นพึมพำข้างหูของเธอว่า : “อาเสียน ข้าดีใจเหลือเกิน”
เวลาที่ซูเจ๋อและเฉินเสียนอยู่ด้วยกัน ก็มักจะรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยอย่างที่สุด จากนั้นเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทรา เผยมุมที่อ่อนโยนและไร้เดียงสาให้เธอได้เห็น เขาเปิดเผยทุกอย่างต่อหน้าเฉินเสียนจนหมดสิ้น
เฉินเสียนลูบผมของเขาเบาๆ ทำแบบนี้ราวกับว่าจะสามารถให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและปลอดภัยกับเขาได้ เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจของซูเจ๋อ ที่พ่นลงมาบนต้นคอของเธอ สงบและสม่ำเสมอ
เฉินเสียนครุ่นคิด ทั้งชีวิตนี้ แท้จริงแล้วเธอไม่ได้มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ เป็นราชาผู้ครองใต้หล้า บารมีท่วมท้น มันเป็นเพียงแค่วิธีการอย่างหนึ่งก็เท่านั้น
ทุกคนต่างล้วนมีดินแดนบริสุทธิ์อยู่ในของตัวเอง เธอเองก็มีด้วยเช่นกัน
เพื่อปกป้องดินแดนอันบริสุทธิ์ในใจนี้ไว้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน แต่หากหัวใจเต็มใจที่จะแบกรับภาระและความรับผิดชอบอันหนักอึ้งทั้งหมดนี้ได้ แล้วมันจะทำไมกันเล่า
ชายในอ้อมกอดนี้ การได้มีลูกชายกับเขา เป็นดินแดนบริสุทธิ์ที่ประเสริฐสุดสำหรับเธอแล้ว
สิ่งที่เธอมีอยู่ในตอนนี้ เธอพอใจกับมันแล้ว
เวลานี้เธอรู้สึกมีความสุขและมั่นคงอย่างที่ไม่มีอะไรจะสามารถมาเทียบเทียมได้