ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 400 สงครามครั้งสุดท้าย (3)

บทที่ 400 สงครามครั้งสุดท้าย (3)

มู่จิ่วสลัดตัวออกมาจากไอดำหลายครั้ง แต่ก็ถูกไล่ติดตามกลับมาอีกหลายครา เห็นได้ชัดว่าไอดำเหล่านี้ไม่ใช่ร่างจริงของวิญญาณร้าย แต่เป็นพลังที่คอยเฝ้าปกป้องมันอยู่ หากคิดจะกำจัดวิญญาณร้าย จำต้องทำลายไอดำให้ได้เหล่านี้ก่อน! นางสบโอกาสพุ่งขึ้นไป รวบรวมพลังไว้กลางฝ่ามือ เรียกกระบี่ตัดมารยาวจั้งกว่าออกมา แล้วฟันเข้าไปยังช่วงกลางของไอดำ

พริบตานั้นเกิดประกายไฟกลางอากาศ เสียงคำรามดังก้องสะเทือนหู!

ลู่ยาเห็นดังนั้นก็ลอยตามขึ้นไป เปิดแขนเสื้อกว้าง ด้านหนึ่งเก็บไอดำที่ถูกตัดขาดเข้าไปในแขนเสื้อ อีกด้านหนึ่งก็สะบัดมือเคลื่อนไอดำที่เหลืออยู่ให้พุ่งเข้าหากระบี่ตัดมารของมู่จิ่ว!

ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เสียงคำรามของไอดำก็หยุดลงในที่สุด

มู่จิ่วลอยเข้ามา มองภูเขาหินที่พร่าเลือนอยู่ท่ามกลางหมอก ก่อนเอ่ย “วิญญาณร้ายน่าจะรู้ตัวแล้ว พวกเรารีบเข้าไปแถอะ!”

ลู่ยาลงมือโดยรู้กัน เมื่อนางก้าวเดินเขาก็ตามติดไปทันที

ถึงแม้ไอดำจะถูกทำลายแล้ว แต่หมอกไร้รูปร่างที่มากกว่าเดิมกลับทะลักออกมาราวกับเปิดประตูเขื่อน! ท้องฟ้าที่เมื่อครู่ยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง ตอนนี้กลับมืดมิดไปหมด หากไม่เพราะตาของพวกเขาสามารถมองเห็นในความมืดได้ มิใช่เท่ากับมาโดนฆ่าตายที่นี่หรือ?

อีกทั้งยังมีลมแรงขุมหนึ่งหมุนวนอยู่ในหมอกหนา ลมรุนแรงหลากสายสามารถหาช่องว่างจากช่องเขาโจมตีเข้ามาได้

มู่จิ่วไม่รอช้า แทงกระบี่แหวกทางออก ก่อนมุ่งหน้าขึ้นไปบนเขา!

เพราะว่าหมอกหนาตรงตีนเขา ทำให้มีผลกระทบเป็นวงกว้างไม่มากเท่ากับตรงบึงน้ำ นางนำออกจากหมอกหนาก่อน จากนั้นถือกระบี่พุ่งเข้าไป!

ลู่ยาตะโกนจากข้างหลัง “อาจิ่ว รอข้าก่อน!” พูดจบก็ตามเข้าไปข้างในทันที

เพิ่งเข้าไปไม่นานก็รู้สึกว่าเขาจะพังทลาย ตามด้วยเสียงร้องโกรธเกรี้ยวดังกัมปนาทลอยออกมาจากถ้ำ ในถ้ำนั้นมีหมอกหนาบดบังสายตา ทั้งหมดล้วนเป็นพลังวิญญาณของวิญญาณร้าย ลู่ยาก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน

“อาจิ่ว! อาจิ่ว!”

เขาเคลื่อนพลังปราณอยู่ในถ้ำพร้อมร้องตะโกน กลับไม่มีเสียงตอบกลับแม้แต่น้อย

ใจของเขาเริ่มร้อนรน แต่ก็รู้ว่าเวลานี้จะร้อนใจไม่ได้ จึงตั้งสมาธิมองไปรอบๆ เขาวางแท่นดอกบัวไว้ห่างจากปากถ้ำสิบจั้ง นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบน สร้างแห่ฟ้าตาข่ายดินไว้

ในวังวิญญาณเทพ หงจวิน หุนคุน หนี่ว์วา และจุ่นถีเฝ้าระวังไว้อยู่ทั้งสี่ทิศนานแล้ว พลังวิญญาณบนผังแปดทิศแข็งแกร่งขนาดสามารถทำลายฟ้าดินได้ แต่ละคนย่อมไม่กล้าให้เกิดข้อผิดพลาด

ทางด้านมู่จิ่วเข้าไปตรงไหล่เขาซึ่งมืดสนิทไม่ต่างจากที่คาดไว้ นางมุ่งหน้าไปทางเหนือที่พลังวิญญาณหนาแน่นที่สุด เพิ่งบินไปได้ครึ่งลี้ ก็พลันมีสิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีนาง นางรีบเอาเตาฟ้าดินออกมาทันที ทันใดนั้นแสงสว่างสีทองก็ส่องสว่างไปทั่วถ้ำ สิ่งที่โจมตีนางกลายร่างเป็นมังกรดำเจ็ดแปดตัว ก่อนเข้ามาล้อมนางจากทุกทิศทาง!

นางพลิกตัวครั้งหนึ่ง แขวนกระดิ่งทองไว้กลางอากาศ ก่อนจะกวัดแกว่งกระบี่ตัดมาร อาศัยช่องว่างแทงเข้าไปที่หัวใจ เลือดสาดกระเซ็นออกมา ได้ยินภูเขาสั่นไหวอีกครั้ง มังกรดำตัวนั้นพลันกลายเป็นหมอกสลายไป และทางทิศเหนือก็มีแสงสีเงินสว่างขึ้นมา!

“วิญญาณร้าย?!”

ลู่ยาที่อยู่บนแท่นดอกบัวลืมตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงนี้ วินาถัดมาก็มุ่งไปทางที่มู่จิ่วอยู่!

“เจ้าดูนั่น วิญญาณร้าย!”

มู่จิ่วพูดกับเขาพลางชี้ในม่านแสงตรงหน้า

ลู่ยาจ้องมองเข้าไป เห็นเพียงจุดที่มีแสงนั้นมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ ตรงกลางมีไข่มุกกลมเหมือนไข่มุกราตรีกว้างราวสองจั้งส่องแสงอ่อนจาง แต่แสงนี้กลับสว่างบาดตา และรอบด้านยังมีไอดำลอยพัวพัน มังกรดำขนาดใหญ่สองตัวขดตัวอยู่ซ้ายขวา ไม่รอให้พวกเขาลงมือ พวกมันยืดตัวตรงก่อนพุ่งเข้ามาเหมือนกับธนู!

ไม่จำเป็นต้องพูดมาก มู่จิ่วพุ่งขึ้นไปข้างบน ส่วนลู่ยาเลี่ยงออกไปหาตัวที่สอง

ทั้งสองคนแยกกันต่อสู้ ไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่าแต่ละกระบวนท่ากลับเข้าใจได้โดยไม่ต้องเอ่ยคำ!

ปีศาจเหล่านี้ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ลู่ยารับมือพลางมองมู่จิ่วที่กำลังวาดกระบี่ฟาดฟันกับมังกรดำอีกตัว มุมปากเขายกขึ้น หนึ่งฝ่ามือโจมตีเข้าใส่มังกร ก่อนหมุนตัวเข้าไปช่วยมู่จิ่ว ไหนเลยจะรู้ว่านางกลับฆ่ามันอีกตัวได้พอดี!

จากนั้นก็ถึงช่วงเวลาสำคัญสุดท้าย!

ลู่ยาพูดกับมู่จิ่ว “ระวังหน่อย! วิญญาณร้ายเติบโตขึ้นในหมอกดำนี้ เจ้าต้องเปิดกลุ่มแสงนี้ออกมาให้ได้”

มู่จิ่วพยักหน้าแล้วขึ้นไปบนเมฆ พลังวิญญาณพัดเส้นผมยาวและเสื้อผ้าของนางสะบัดขึ้นสูง ใบหน้ากระจ่างถูกแสงจากวิญญาณร้ายส่องสะท้อนจนดูสะอาดบริสุทธิ์

นางยืนห่างออกไปสามจั้ง มือซ้ายเปิดเตาฟ้าดิน มือขวาชี้นำพลังวิญญาณจากดอกกล้วยไม้ตรงหว่างคิ้วส่งเข้าไปในเตาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเตามีสีแดงออกม่วง ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสิบเท่า จากนั้นพ่นพลังลงเหนือหัววิญญาณร้าย!

หกวิญญาณยังคงเป็นศัตรูตัวฉกาจของวิญญาณร้าย เมื่อเตาฟ้าดินลอยอยู่ด้านบน ลูกแสงก็พลันขยายใหญ่เร็วขึ้น หมุนอย่างโกรธแค้นอยู่ที่เดิม ทั้งยังมีเสียงโหยหวนลอยออกมา

มู่จิ่วไม่รอช้า รีบเปลี่ยนพลังปราณเป็นกระบี่ตัดมารอีกครั้ง แล้วกระโจนตัวพุ่งเข้าไปตัดวิญญาณร้าย!

แต่กระบี่ยังไม่ทันถึงตัว ลูกแสงนั้นพลันปล่อยลูกแสงขนาดเล็กอีกสิบกว่าลูกไปทางนาง นางพลิกตัวหลบ ใช้กระบี่ร่วมกับฝ่ามือ ฟาดฟันไปสี่ห้าลูกต่อเนื่องกัน และตอนนี้วิญญาณร้ายพลันงอกแขนขาและหัวออกมา…ไม่ผิด! เป็นแขนขาและหัวแน่นอน! หัวและแขนขาเหล่านั้นงอกออกมาจากลูกแสงขนาดใหญ่นั้น เหมือนกับเต่ายักษ์ตัวหนึ่ง…

“รีบตัดหัวมันเร็ว!”

ลู่ยาเห็นก็รีบตะโกนบอกทันที

มู่จิ่วไหนเลยจะกล้าชักช้า รีบฟันกระบี่เข้าไปที่หัวของวิญญาณร้ายโดยไม่สนว่ามันจะกลมหรือไม่!

กระบี่แรกฟันไม่โดน วิญญาณร้ายหลบได้ และอ้าปากพ่นไอเหม็นเน่าออกมา มู่จิ่วกัดฟันพลิกตัว แทงกระบี่ออกไปอีกกระบวนหนึ่ง ครั้งนี้แทงโดนแล้ว! วิญญาณร้ายโกรธถึงที่สุด มันบิดตัวมาคำรามเสียงดังก้อง สลัดไอดำรอบตัวทั้งหมดออกมา ก่อนพุ่งเข้าหามู่จิ่วรวดเร็วดังสายฟ้า!

“อาจิ่ว ระวัง!” ลู่ยาตะโกนอย่างร้อนรน

มู่จิ่วถอยไปหลายสิบจั้ง ฝีเท้ามั่นคง แววตาส่องประกาย ภาพของลู่จีที่ตายด้วยน้ำมือของวิญญาณร้ายในชาติหน้าปรากฏขึ้นมาราวกับเพิ่งเกิดเมื่อวาน นางในชาติหน้าทั้งเข็มแข้ง กล้าหาญ ยามเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายก็เป็นเช่นนี้ ถึงแม้วิญญาณร้ายที่เจอจะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็ไม่ถอยสักนิด ตอนนี้นางก็จะไม่ถอยเช่นกัน

นางเรียกพลังวิญญาณขึ้นมาใหม่ ดอกกล้วยไม้สีทองระหว่างคิ้วส่องแสงสีทองยามเมื่อนางเปิดตา แสงทองนี้พุ่งเข้าโจมตีดวงตาทั้งสองของวิญญาณร้าย มันที่กำลังบ้าคลั่งไม่สนใจครรภ์ที่ยังไม่สมบูรณ์ อ้าปากกว้างเข้าโจมตีนางโดยไม่สนอะไร และนี่คือเวลาที่นางรออยู่ แสงทองจากระหว่างคิ้วพุ่งเข้าหาเตาฟ้าดินที่ลอยอยู่กลางอากาศ เตานั้นค่อยๆ หมุน เกิดเป็นแรงดูดมหาศาล กดร่างของวิญญาณร้ายลงไป!

มู่จิ่วอาศัยโอกาสนี้เงื้อกระบี่ตัดมารขึ้น แทงเข้าไปใจกลางของวิญญาณร้าย…

ฟ้าดินพลันสั่นไหว นางไม่มองสักนิด พลิกตัวฟันกระบี่เข้าไปอีกครั้ง ร่างของวิญญาณร้ายพลันสลายกลายเป็นเศษเสี้ยว เหมือนกับทรายที่หมุนวนอยู่ในพายุ ไหลเข้าไปในเตาฟ้าดิน!

“สำเร็จแล้ว!”

ลู่ยาบินเข้ามาทันที อ้าแขนเสื้อออก ทำลายแหล่งกำเนิดพลังที่เหลือทิ้ง หมอกดำในถ้ำค่อยๆ สลายไป แสงก็ส่องสว่างไปทั่วทั้งไหล่เขานี้ “วิญญาณร้ายเป็นแก่นสำคัญของพลังร้ายในฟ้าดิน เมื่อมันหายไป คลื่นจิตพสุธานี้ก็บริสุทธิ์แล้ว หลังทำลายแหล่งกำเนิดพลัง ต่อไปก็จะสงบสุข”

เขายื่นมือเข้าไปหามู่จิ่วที่หอบหายใจอยู่ ประทับจุมพิตลงไปบนระหว่างคิ้วนาง จากนั้นก็ไม่รอช้า อุ้มนางบินออกจากถ้ำไป

เสียงภูเขาถล่มดังตามมาจากด้านหลัง หินหนืดสีแดงเพลิงพุ่งออกมาจากพื้นราวกระแสน้ำ แต่เสียงเช่นนี้เหมือนเป็นเสียงร้องแสดงความยินดีกับพวกเขา

ระหว่างเขาพังทลายลง มู่จิ่วมีลู่ยาพาโบยบินไปสู่อนาคตอันสดใส

นางเมื่อสองพันปีก่อนหวังเพียงเป็นเซียนน้อยๆ ที่ใช้ชีวิตสงบสุข อยู่ที่หงชาง ทุกวันศึกษาเรื่องการทำอาหาร แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องแบกรับชะตากรรมที่สำคัญ และไม่เคยคิดว่าซ่านเซียนที่ดูหล่อเหลาแต่กลับไม่รู้จักโลกจะกลายเป็นสามีของนาง

เหมือนกับที่นางไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด ไม่แน่ว่าอนาคตของพวกเขาอาจต้องเจอคลื่นลมหรืออุปสรรคอื่นอีก แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ ต่อไปคงไม่มีเรื่องใดทำให้พวกเขาแยกจากกันได้อีกแล้ว

“ต่อไปเจ้าอยากทำอะไร?” ลู่ยาที่อุ้มนางอยู่เอ่ยถาม

“กินน่องไก่ดูงิ้ว…” ช่วงนี้เครียดเกินไป นางอยากจะผ่อนคลายบ้าง

“ถ้าดูจบแล้วล่ะ?”

“…ยังไม่ได้คิด”

มือลู่ยาที่โอบไหล่นางอยู่กระชับแน่น “ถ้ายังไม่ได้คิดก็ลองฟังข้าดู ต่อไปพวกเราก็แต่งงานกัน จากนั้นไปเก็บส่วยตามบ้านทุกหลัง เริ่มที่วังโตวลวี่ก่อน เมื่อเก็บเงินครบแล้วค่อยพาเจ้าไปหาเฟยอีกับชิงผิง อืม เจ้าต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าตอนนี้เฟยอีเป็นอย่างไร…”

…………………………………

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset