บทที่ 668 กระจกวิเศษคืนชีพ
ฉิวเชียนจ้างตะโกนว่า “เขาหลินเส้าโสเป็นเพียงแต่คนพิการที่อัมพาตมายี่สิบปี ยังสามารถที่จะกระทุ้งแผ่นฟ้าให้ทะลุได้อีกรึอย่างไร?”
คนที่อยู่ข้างล่างเงียบเป็นเป่าสาก อำนาจบารมีของฉิวเชียนจ้างในแก๊งแถ่จ่างยังคงมั่นคงไม่สั่นคลอน
เพียงแค่รอให้ฉิวเชียนจ้างตัดสินใจ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องลุยเต็มที่ ไม่มีคำพูดอื่นที่จะมาคัดค้าน ตอนนี้ทุกคนต้องฟังเขาตะโกนพูดเพียงคนเดียวก็พอแล้ว ทุกคนให้ความมั่นใจกับฉิวเชียนจ้างอย่างมาก เพราะรู้ว่าความสามารถของเขามากกว่าฉิวฟาชุ่ยเป็นร้อยเท่า
“เขาคือราชาหนาน เป็นลูกพี่ใหญ่ลำดับ1ใน 5 ของสำนักหมิง”
“ขอเพียงให้โลกนี้ยังคงอยู่ ไม่ว่าเขาจะถูกปลดออกไป 10 ปี หรือ20 ปี ก็ยังคงเป็นราชาหนานแห่งสำนักหมิง”
“กฎระเบียบของสำนักหมิงข้ารู้ดี เมื่อได้เป็นราชาเพียงแค่หนึ่งวัน ก็ถูกยกย่องให้เป็นราชาไปตลอดชีวิต”
มีเสียงเคร่งขรึมระคนเยือกเย็นดังแว่วมาจากประตูด้านนอก
“หากคิดอยากจะเป็นราชาในสำนักหมิง ไม่ใช่อาศัยแต่เพียงบารมีบรรพชน ไม่ได้อาศัยเกาะชายกระโปรง แต่มันต้องอาศัยความเพียรพยายามของตัวเอง ไม่มีความพยายามส่วนตัวแล้ว ก็ไม่มีความหวังใดๆทั้งสิ้น”
“เป็นราชาในสำนักหมิงมีเงื่อนไขกฎเหล็กอย่างหนึ่งคือ ใช้พลังภายในระดับขั้นต่ำสามารถต่อสู้ศัตรูได้ 500 คน ใช้ภายในระดับกลางสามารถต่อสู้ศัตรูได้300คน ใช้พลังภายในระดับขั้นสูงสุดสามารถต่อสู้ศัตรูได้ 100 คน เป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์อย่างน้อย 1 ท่าน สร้างผลงานความดีความชอบอย่างน้อย 10 อย่างให้กับสำนักหมิง จึงสามารถขึ้นเป็นราชาแห่งสำนักหมิงได้”
ฉิวเฉิงกงมือไขว้หลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ มองดูก็รู้ว่าเป็นคนที่มีความฉลาดล้ำลึกน่ากลัวยิ่งนัก
รูปร่างของเขาผอมบาง ดวงตาส่องแสงแวววาว ไม่ต้องแสดงอำนาจก็ดูน่าเกรงขาม
อายุราวประมาณ50ปีใบหน้าไม่มีหนวดเครา เกลี้ยงเกลาขาวใสสะอาด แลดูงดงามอ่อนโยนดั่งสตรีเพศ และไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นแม้แต่นิดเดียว
“หลินเส้าโสเป็นหนึ่งในลูกพี่ใหญ่ที่ร่วมก่อตั้งสำนักหมิง ซึ่งมาก่อนเหลิ่งเชียนชีวเสียอีก นั่นคือคนที่เคยเป็นพี่น้องร่วมหมอนนอนเสื่อด้วยกันกับประมุขสำนักหมิง”
“หลินเส้าโสตอนอายุสามขวบก็หัดฝึกเรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ เมื่อจับฉลากได้ดาบกระบี่วิเศษมาด้ามหนึ่ง โตขึ้นหน่อยก็เริ่มฝึกเรียนเคล็ดวิชาเพลงกระบี่ เดินทางลุยเหนือล่องใต้ไปทั่ว ผ่านมรสุมมามากมาย เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์มากกว่าสิบท่าน”
“พออายุได้14 ตอนนี้ก็คงประมาณเด็กกำลังเรียนมัธยมต้น เขาก็ลุยไปทั่วแผ่นดินจีนแล้ว มีกระบี่หลงฉวนติดตัวไม่เคยห่างกาย ซึ่งสามารถใช้ได้ในระดับขั้นเทพทีเดียว”
“20ปีที่แล้ว หลินเส้าโสก็ประสบความสำเร็จ เป็นที่พึ่งพิงและยกย่องของสำนักหมิง จึงได้แต่งตั้งให้เป็นราชาหนานตั้งแต่นั้นมา พวกเจ้าน่าจะนึกออกนะว่า มีผู้ฝึกวิชาการต่อสู้ที่ต้องตายด้วยน้ำมือของราชาหนานมีจำนวนเท่าไร”
“หากใช้พลังภายในขั้นต่ำก็สามารถสร้างอิทธิพลในการครอบคลุมพื้นที่ส่วนหนึ่งได้แล้ว สำหรับผู้ที่ฝึกวิชาศิลปะการต่อสู้ได้ถึงขั้นสูงสุดนั้น มีใครบ้างไม่ใช่ร่ำรวยมั่งมีเงินทอง สามารถขยายอิทธิพลยึดคุมพื้นที่ไปทั่วล่าได้บ้าง? สำหรับเรื่องปรมาจารย์นั้นก็เหมือนดั่งมังกรเหินหาวที่ยังคงอยู่ แก๊งแถ่จ่างข้าได้ชื่อว่ามียอดฝีมือมากมาย แล้วมีปรมาจารย์สักกี่คนเล่า?”
“ปรมาจารย์ ถึงแม้ว่าเป็นปรมาจารย์ธรรมดาคนหนึ่ง หลินเส้าโสเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ก็สามารถสังหารปรมาจารย์ไปแล้วคนหนึ่ง นับเป็นเรื่องที่โด่งดังสะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดินเลยทีเดียว”
“หลินเส้าโส ทำให้วงการยุทธภพหวาดผวาเมื่อได้ยินชื่อ เขาไม่ใช่ผู้นำสูงสุดของสำนักหมิง แท้จริงแล้วเป็นผู้ที่มีวรยุทธการต่อสู้เป็นลำดับที่ 2 ในการขยายอาณาจักรของสำนักหมิง แต่การสร้างผลงานดีเด่นกลับมาเป็นอันดับหนึ่ง”
“ลองคิดดูซิว่า หากหลินเส้าโสไม่ได้ป่วยเป็นอัมพาตแล้ว ในเวลา 20 ปีนี้เขาจะสังหารศัตรูเพื่อสร้างผลงานได้ถึงขั้นไหน? ในโลกมายาของสำนักหมิง หากหลินเส้าโสไม่ใช่แม่ทัพแล้วล่ะก็ คนอื่นก็ไม่กล้าที่จะเรียกตัวเองเป็นแม่ทัพแน่นอน”
ฉิวเฉิงกงพูดถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจกล่าวต่อไปว่า “ในทั่วแผ่นดินนี้ หากพูดถึงคุณภาพในการสังหารศัตรู ด้านปริมาณมากน้อยนั้น นอกจากฉู่เทียนโคผู้พิทักษ์จื้อจุนแห่งสำนักถงแล้วก็ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้”
“อีกอย่างคือ มีการลือกันในยุทธภพว่า หลินเส้าโสที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้มีฝีมืออันดับ 3 ของสำนักหมิง นั้นไม่ได้หมายความว่ายังมีคนที่เก่งกว่าเขาอีก แต่เป็นเพราะว่าเหรินเซียวเหยาหัวหน้าสำนักหมิงเมื่อครั้นแต่งตั้งให้เขาเป็นราชาหนานนั้น เดิมทีก็ยกย่องให้เขาอยู่ในอันดับ 1 แต่หลังหลินเส้าโสกลับปฏิเสธไม่ยอมรับ เขาถือว่าแผ่นฟ้าเป็นอันดับหนึ่ง พื้นดินเป็นที่ 2 เขาก็เป็นได้แค่ลำดับ 3 ดังนั้นแล้วยอดฝีมืออันดับ 1 ของสำนักหมิงก็คือหลินเส้าโสนั่นเอง
“เป็นเพราะว่าหลินเส้าโสให้ความเคารพนับถือต่อเหรินเซียวเหยาแห่งสำนักหมิงอย่างมาก ไม่ยอมรับว่าตัวเองมีวรยุทธสูงสุดเป็นอันดับ 1 เขาซื่อสัตย์ต่อเหรินเซียวเหยา โดยที่สร้างผลงานให้อย่างทุ่มเทสุดกำลังจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“หากจะให้เหรินเซียวเหยาต่อสู้กับหลินเส้าโส ก็ไม่รู้เหมือนกันคนที่ตายจะเป็นใคร”
“หากคิดจะต่อสู้ซึ่งหน้ากับเทพแห่งการต่อสู้ที่มีพิษสงมากเช่นนี้ มันคงไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลย”
ฉิวเฉิงกงมองไปยังฉิวเชียนจ้าง พูดอย่างตำหนิว่า “น้องรอง เจ้าเก่งกาจสามารถก็จริงอยู่ แต่ว่าทีหลังทำอะไรอย่าวู่วามมุทะลุ พูดแต่เรื่องไร้สาระว่าจะย้ายภูเขาถมทะเลอีกก็แล้วกัน”
ฉิวเชียนจ้างที่อยู่ในตำแหน่งเช่นนี้ ฉิวเฉิงกงยังกล้าต่อว่าฉิวเชียนจ้างพูดเรื่องไร้สาระ ฉิวเชียนจ้างก็ได้แต่พยักหน้ากล่าวยอมรับ
“พี่ใหญ่พูดถูกต้องแล้ว เป็นความผิดของข้าเอง” ฉิวเชียนจ้างไม่มีทีท่าจะคัดค้าน ไม่มีแม้แต่คำตอบโต้ แสดงถึงความเคารพนับถือจากใจ นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฉิวเชียนจ้างสามารถนำพาแก๊งแถ่จ่างมาได้นานถึง 20 ปี และใน 20 ปีนี้ก็เป็นเวลาเวลาเดียวกับที่หลินเส้าโสตกอับพอดี ดังนั้นฉิวเชียนจ้างจึงไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลย
ฉิวเชียนจ้างกล่าวว่า “หากหลินเส้าโสคนนี้จัดการยากอย่างที่พี่ใหญ่พูดมา แก๊งแถ่จ่างต้องเผชิญกับภัยอันตรายคราวนี้ การวางแผนรับมือทุกอย่าง คงต้องรอฟังการบัญชาสั่งการจากพี่ใหญ่จะดีกว่า”
ฉิวเฉิงกงพยักหน้า เชียนจ้างอยู่ต่อหน้าเขามักจะอ่อนน้อมถ่อมตัวเสมอ ตอนนั้นฉิวเฉิงกงไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าแก๊ง เขาเป็นถึงลูกชายคนโต
เพียงแต่อุปนิสัยเขาไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้ เชียนจ้างก็ให้ความนับถือเขามาก ดังนั้นจึงยกตำแหน่งนี้ให้กับฉิวเชียนจ้าง แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีอำนาจในการแสดงความคิดเห็น
เมื่อพูดถึงด้านวิชาศิลปะการต่อสู้แล้ว ฉิวเฉิงกงนับว่ามีฝีมือสูงที่สุดในแก๊งแถ่จ่าง เขาตั้งใจฝึกเรียนมาหลายปี อายุมากกว่าฉิวเชียนจ้าง 5 ปี แต่ดูอ่อนเยาว์กว่าฉิวเชียงจ้างหลายสิบปี เขาเป็นผู้นำล่องหนที่แอบแฝงอยู่ในแก๊งแถ่จ่าง ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตอันตรายเขามักจะออกมาจัดการแก้ปัญหาเสมอ ออกแรงฝ่าคลื่นลมช่วยเหลือให้พ้นภัยเสมอ
ฉิวฟาชุ่ยกลับแสดงความไม่พอใจอย่างมาก เอ่ยปากพูดด้วยความอัดอั้นใจ
“ท่านลุงใหญ่ ข้าไม่ยอมเด็ดขาด!”
“พวกเราแก๊งแถ่จ่างเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งยุทธภพ จะไปกลัวการข่มขู่จากหลินเส้าโสอย่างนั้นเชียวหรือ?”
“ตลกสิ้นดี เรื่องน่าอัปยศอดสูเช่นนี้ หากลือสะพัดออกไป ก็จะทำให้ชาวยุทธภพรู้ถึงความอ่อนแอของพวกเรา”
ประคองแขนที่ขาดของตัวเอง ฉิวฟาชุ่ยระบายความอัดอั้นในใจออกมา เธอเป็นคนที่นิสัยเถรตรง คิดแต่จะลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว อีกทั้งตัวเองก็ยังเสียเปรียบ ก็ย่อมต้องอดไม่ไหวที่จะต้องเรียกร้องความเห็นใจ
“ฮ่าๆๆ ฟาชุ่ย เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน พวกเราแก๊งแถ่จ่างย่อมไม่กลัวหลินเส้าโสเขาหรอก แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปสู้รบตบมือกับเขาด้วยอาวุธโดยตรงก็ได้”
พูดพลาง ฉิวเฉิงกงก็ให้ลูกน้องไปหยิบยามารักษาแผลห้ามเลือดให้กับฉิวฟาชุ่ย
“ศัตรูของแก๊งแถ่จ่างไม่ใช่มีเพียงหลินเส้าโสเท่านั้น หากพวกเราจะยอมสู้ตายกับหลินเส้าโส ก็จะทำให้เกิดผลกระทบวงกว้างที่เชื่อมโยงเป็นลูกโซ่ออกไปได้
“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หลินเส้าโสไม่ใช่ตัวคนเดียว เบื้องหลังของเขายังมีสำนักหมิง ซึ่งเป็นแหล่งอาวุธฆ่าคนที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง”
“หลินเส้าโสเป็นผู้ป่วยอัมพาตคนหนึ่ง สำหรับสำนักหมิงแล้วก็อาจกลายเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ จิตวิญญาณอย่างหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นแค่สิ่งจอมปลอม”
“แต่ว่าคนที่เพิ่งฟื้นฟูวรยุทธอย่างหลินเส้าโสคนนี้ สำหรับสำนักหมิงแล้วก็เปรียบเหมือนเป็นกระจกวิเศษที่ฟื้นคืนชีพ ได้กระบี่วิเศษกลับคืนมาอีกครั้ง สำนักหมิงมีหรือจะไม่ให้ความสนใจ มีหรือที่จะไม่ต้อนรับหลินเส้าโสเทพแห่งการสู้รบคนนี้กลับคืนสู่อ้อมกอดเล่า?”
“หากพวกเราสังหารหลินเส้าโส มันก็อาจไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ว่าหลังจากที่พวกเราต้องเสียสละทุ่มเททุกอย่างเพื่อกำจัดเขาแล้ว หากสำนักหมิงกับหลินเส้าโสประสานสัมพันธ์กันใหม่ มันก็เหมือนเราไปแหย่รังแตน ทำให้สร้างความโกรธแค้นให้กับสำนักหมิงไปทั่ว ถึงเวลานั้น แก๊งแถ่จ่างก็จะต้องสูญเสียพลังภายในไปมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกิดความสูญเสียอะไรเลย ยิ่งกว่านั้นอาจจะถึงขั้นล่มสลายก็ได้ หลายท่านที่อยู่ในที่นี้อาจต้องสู้รบจนเสียชีวิตก็ได้”
“พวกเจ้าจงจำไว้ พวกเราแก๊งแถ่จ่างเป็นร้านเก่าแก่ยี่ห้อดังนับร้อยปี เขาสำนักหมิงเป็นคนรุ่นใหม่ของยุทธภพ ดาวรุ่งดวงใหม่ในยุทธภพ มีความพยายามมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า ดุเดือดเลือดพล่านที่จะช่วยกันขยายกิจการออกไป ดังนั้นจุดเด่นก็คือค่อนข้างโหดเหี้ยมเด็ดเดี่ยว ค่อนข้างชอบลุย”
“ส่วนพวกเราร้านเก่าแก่ร้อยปี กิจการสืบสานกันมานับพันปี ค่อยๆสะสมทีละเล็กละน้อย รากฐานจึงมั่นคงแข็งแรง
จุดเด่นของพวกเราก็คือค่อนข้างเก็บตัว ค่อนข้างอนุรักษนิยม”
รวยชั่วข้ามคืน?! – ตอนที่ 668 กระจกวิเศษคืนชีพ
Posted by ? Views, Released on October 21, 2021
, รวยชั่วข้ามคืน?!
ในระยะเวลา7ปีนี้ ฉินหลั่งถูกคนอื่นเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยาม แต่ฉินหลั่งก็อดทนใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอดถ้าหากไม่ใช่ได้รับข้อความนั้น ฉินหลั่งคงจะลืมว่าตัวเองเป็นคนรวย7ปีมันเป็นระยะเวลาทดสอบที่ตระกูลให้กับฉินหลั่ง ตอนนี้ฉินหลั่งผ่านการทดสอบแล้ว ก็มีสิทธิ์ไปใช้ทรัพย์สินของตระกูลได้แล้วฉินหลั่งจะเลือกที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนต่อไปหรือจะเริ่มเปิดโหมดอวดรวยกันแน่!
Recommended Series
Comment
Facebook Comment