หลังออกมาจากหน่วย ซื่ออินกับเหลียงจีก็พาอาฝูกลับถิ่นทุรกันดารทางเหนือ
มู่จิ่วยืนอยู่ตรงนอกประตูสวรรค์แดนใต้อยู่นานถึงค่อยกลับมา
เมื่อกลับมาถึงบ้าน พวกเสี่ยวซิงต่างก็นั่งเหม่ออยู่ในลาน ตรงหน้าวางถาดข้าวและของเล่นของอาฝูไว้ เด็กที่อยู่ด้วยกันมาเกือบสองปีพลันจากไปแบบนี้ ช่างทำให้รู้สึกว่าบ้านว่างเปล่าขึ้นมาเสียจริง
“พวกเราควรดีใจแทนอาฝู ในที่สุดเขาก็เจอพ่อแม่แล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวถูกคนรังแก!” นางเดินไปหอบถาดข้าวและของเล่นขึ้นมา “ข้าช่วยเขาเก็บไว้ก่อน ภายหน้าหากเขาคิดถึงพวกเราแล้วกลับมาเยี่ยมเยือน จะได้ไม่ถึงกับไม่มีของเล่น” นางเชื่อว่าอาฝูต้องกลับมาเยี่ยมนางแน่ เขาจะทำใจทอดทิ้งพวกนางได้อย่างไร
เสี่ยวซิงนั่งเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวิ่งตึงตึงเข้าไปในห้องอาฝู กอบเอาหมอนผ้าห่มที่เขานอนออกมา “แบบนั้นข้าช่วยเขาซักผ้าห่มก่อน ถึงตอนนั้นเขากลับมาจะได้มีใช้!”
ตอนแรกที่อาฝูเพิ่งมานางคัดค้านอย่างหนัก แต่ตอนนี้เขาเหมือนกับเนื้อที่งอกขึ้นมาบนร่างนาง ขอแค่เพียงสัมผัสก็ทำไม่ได้แล้ว แต่จนปัญญา คนเขามีพ่อแม่ ความรู้สึกจะลึกซึ้งเพียงใดก็ยังต้องถอยให้กับสายสัมพันธ์ครอบครัว นางเชื่อว่าอาฝูเป็นเสือตัวเดียวในชีวิตนี้ที่นางไม่กลัว
รุ่ยเจี๋ยและซ่างกวนสุ่นก็ตามเข้าไปทำความสะอาดห้องอาฝู จากนั้นลงกลอนห้อง ไม่ให้คนเข้าไปอีก ถึงอย่างไรแต่ละคนมีคนละห้องก็เพียงพอแล้ว
ถึงแม้ในใจยอมรับที่อาฝูจากไป แต่ด้านพฤติกรรมกลับยังไม่เคยชิน
ทุกวันตอนมู่จิ่วไปหน่วยจะรู้สึกว่าถนนกว้างขึ้นมาก แต่ก่อนมีอาฝูไปเป็นเพื่อน ตลอดทางไม่เงียบเหงา มองเขาวิ่งไปวิ่งมา ถึงแม้ปากจะพร่ำบ่นไม่หยุด แต่ในใจกลับเต็มตื้น ตอนนี้เขาไม่อยู่ แม้แต่เดินก็ยังเร็วขึ้นมาก หลิวจวิ้นอยู่ที่ประตูเห็นนางรีบร้อนเข้าหน่วยงานหลายครั้ง ยังพูดอย่างยินดีว่านางพัฒนาแล้ว
ทุกวันตอนเช้าเสี่ยวซิงก็ชินกับการไปเอาเงินที่ทัพทหารสวรรค์ ทุกครั้งเดินไปได้ครึ่งทางถึงเพิ่งนึกออกว่าอาฝูไม่อยู่แล้ว หลังจากกลับมาทำอาหารเช้าเสร็จ ก็จะร้องบอกอาฝูให้ไปเรียกทุกคนมากินข้าว แต่มักจะพบว่าด้านหลังไม่มีเสียงตอบกลับอยู่นาน ถึงได้คิดออกว่าตอนนี้ผู้ที่คอยตอบหายไปแล้ว
เป็นเช่นนี้จนรุ่ยเจี๋ยก็อึดอัดอยู่หลายวัน
แต่อย่าว่ากล่าวพวกเขาเลย แม้แต่ลู่ยาเอง ทุกครั้งที่เห็นรุ่ยเจี๋ยนั่งอยู่คนเดียวบนเบาะรองนั่งก็รู้สึกเหงาขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อก่อนเขารังเกียจการรับศิษย์ ตอนนี้กลับรู้สึกว่ารับศิษย์สักหลายคนก็ไม่ใช่เรื่องแย่
อย่างน้อยต่อไปหากเขามีลูกชายก็มีศิษย์พี่หลายคนปกป้อง ไม่ต้องกังวลใจเท่าไหร่
เขาครุ่นคิดเรื่องนี้ ถึงแม้ไม่ได้พูดออกไป แต่ก็ชี้แนะรุ่ยเจี๋ยอย่างตั้งใจมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ก่อนนี้รับปากกับมู่หรงเสี่ยนเรื่องรับศิษย์เพราะเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ตอนนี้เพื่อบ่มเพาะสั่งสอนผู้เชี่ยวชาญการเปลี่ยนผ้าอ้อม และเพื่อลูกชายในอนาคตของเขาจะได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่มากขึ้น ไม่มากก็น้อยเขาต้องตั้งใจสักหน่อย สมดั่งว่าความรักของพ่อดุจขุนเขา แน่นอนว่าเพื่อให้มู่จิ่วดูน่าเกรงขามมากขึ้นอีกนิดเวลาออกนอกบ้านด้วย…ทุกวันนี้เห็นนางเข้าๆ ออกๆ คนเดียว ในใจเขาก็รับไม่ได้
เป็นถึงคู่หมั้นของลู่ยา ด้านหลังจะไม่มีแม้แต่พาหนะและผู้ติดตามได้อย่างไร?
ดังนั้นการจากไปของอาฝูครั้งนี้ จึงทำให้แม้แต่การสั่งสอนวิชาเขาก็ตั้งใจขึ้นไม่น้อย
แต่ไม่ว่าตั้งใจมากเพียงใด ก็ยังใช้เวลาของเขาไปไม่เท่าไหร่ในการดูแลศิษย์เพียงคนเดียว
เวลาที่เหลือเขาจึงอยู่เป็นเพื่อนมู่จิ่ว
เขารู้สึกว่าถึงคราวที่พวกเขาจะได้ใช้เวลาด้วยกันแล้ว
“ยากที่จะมีเวลาว่างแบบนี้ มิสู้พวกเราไปเที่ยวที่ไหนสักหลายวัน?” เขาถาม
ออกไปเที่ยวเล่นสักครู่ค่อยกลับมา ไม่แน่ว่าความคิดถึงที่มีต่ออาฝูอาจจางลงไปมาก
มู่จิ่วกวาดตามองเขา ไม่ได้พูดอะไร
สองปีนี้มักจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ ยังออกไปไม่พออีก? อีกอย่าง ตอนนี้นางยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ บอกว่าจะไปก็ไปได้หรือ?
ลู่ยาพูดอีก “แบบนั้นข้าพาเจ้าไปพบเหล่าศิษย์พี่ของข้าที่สวรรค์อันสูงส่ง?”
ถึงแม้มิใช่ว่าต้องไปพบ แต่พานางกลับไปเยาะเย้ยหุนคุนคนโสดนั่นก็ดี ใครใช้ให้ตอนแรกเขาว่าลู่ยาแก่แล้ว?
มู่จิ่วชะงักไป
ตามหลักเหตุผลนางควรไปพบ แต่จุดสำคัญคือนางยังไม่ได้เตรียมตัวเลย ตอนนี้พลังบำเพ็ญนางต่ำเกินไป ต่างจากลู่ยามาก ถึงแม้พวกเขาไม่รู้สึกอะไร แต่ลู่ยาก็จะลำบากใจ และนางอาจประหม่า ไม่ระวังอาจเสียมารยาทเอาได้ อย่างไรนางก็ควรขึ้นเป็นเซียน ใช้ฐานะของเซียนอย่างเป็นทางการไปพบจะเหมาะสมกว่า
“ไม่ก็ให้ชิงหลวนมาร่ายรำให้เจ้าดู?” ลู่ยารู้สึกว่าตนเองหมดมุกเล็กน้อย
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่รู้ว่าการเอาใจเด็กสาวก็เป็นเรื่องต้องใช้สมองเช่นกัน
“พอเถอะ!” มู่จิ่วเหลือบมองเขา “ทุกครั้งได้ยินเจ้าบอกไปดูการร่ายรำ ข้าก็จินตนาการว่าเจ้าใช้ชีวิตอย่างหรูหรา สำมะเลเทเมาร้องรำทำเพลงอยู่ในวังชิงเสวียนเหมือนกับซางโจ้วหวัง[1] เจ้าพูดมาตรงๆ หญิงนางรำมากขนาดนั้น มีคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าหรือไม่?”
ลู่ยารู้สึกว่าโดนดูถูก “ข้าจะมีสัมพันธ์อันดีกับพวกนางได้อย่างไร?”
“แบบนั้นเจ้าเลี้ยงหญิงนางรำไว้มากขนาดนั้นทำไม?”
“ไม่ต้องให้ข้าเลี้ยง เป็นคนรับใช้เก่าแก่คอยดูแลทั้งนั้น” ลู่ยาแก้ตัว “บรรพชนทุกรุ่นของพวกนางล้วนติดตามอาจารย์ข้ามา มีตั้งมากที่ข้าไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร จะอย่างไรพวกนางก็ติดตามพวกข้ามารุ่นต่อรุ่น” ก่อนกล่าวอีก “เจ้าคงไม่ได้หึงแม้แต่พวกนางหรอกนะ? ข้าไม่เคยมองพวกนางเกินเลย”
มู่จิ่วมองค้อนเขา
ไหนเลยจะหึงได้ นางเพียงรู้สึกว่าเขาที่เป็นถึงเทพชั้นสูงผู้หนึ่ง กลับเลี้ยงดูหญิงนางรำไว้ในอาณาเขตเซียนของตน…ชีวิตที่สุขสำราญแบบนี้ หากไม่ได้ยินก็นึกไม่ถึง พอได้ยินก็ตกใจ
“ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะพอใจ?” ลู่ยาพูดอย่างหมดเปลือก
มู่จิ่วเหลือบมองเขา “มิสู้เจ้าร่ายรำให้ข้าดู?”
ลู่ยาทำหน้าทะมึนถลึงตาใส่นางอยู่นาน ก่อนหมุนตัวออกไปเดินเล่นข้างนอก
มู่จิ่วกลับมีความสุขที่ได้กลั่นแกล้งอยู่หลายส่วน
อยู่ด้วยกันแบบนี้หลายวัน บรรยากาศในบ้านถึงค่อยๆ ดีขึ้น
งานเลี้ยงลูกท้อของหวังหมู่จัดขึ้นหลังจากนี้สิบวัน มู่จิ่วก็โชคดีได้รับเทียบเชิญ ถึงแม้ได้เพียงนั่งรอบนอกงาน และได้รับเชิญในฐานะผู้ติดตามหลิวจวิ้น แต่ก็นับว่าเท่ากับได้รับเกียรติสูง
นางนำเทียบเชิญกลับมาอวด พวกเสี่ยวซิงมาแย่งกันดู ส่วนลู่ยากลับเฉยๆ
“งานเลี้ยงลูกท้อมีแต่ชายไม่ดี เจ้าเป็นหญิงที่มีสามีแล้วจะไปทำไม?”
“ชายไม่ดีอะไร ซีฟางฝอจู่ ไท่ซ่างเหล่าจวิน ไท่ป๋ายซิงจวินเอย พวกเขาล้วนมาร่วมงานทั้งนั้น ยังมีโพธิสัตว์เหวินซู โพธิสัตว์พู่เสียน โพธิสัตว์กวนอิม โพธิสัตว์ตี้จั้งล้วนมาร่วมงานกันหมด หญิงที่มีสามีแล้วคนนี้อย่างข้านับเป็นอะไรได้ เพียงไปเลื่อมใสรัศมีของเหล่าเทพก็คุ้มค่าแล้ว” มู่จิ่วไม่สนใจใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหึงหวงของเขา พูดพลางหัวเราะร่วน
ลู่ยาเหลือบมองนาง “เจ้าคิดว่าพวกเขาหน้าตาดีกว่าข้าจริงหรือ?”
“ไม่ใช่” มู่จิ่วพูด “แต่ข้าเจอเจ้าทุกวัน รู้สึกว่ามุมมองต่อเทพชั้นสูงนั้นพร่าเลือนไปบ้าง ข้าต้องออกไปเดินดูข้างนอกบ่อยๆ ดูว่าเทพเซียนที่ตำแหน่งต่ำกว่าเจ้าวางท่าอย่างไร และดูว่าเทพเซียนที่หน้าตาไม่เทียบเท่าเจ้ามีวิธีทำเรื่องไม่สบอารมณ์อย่างไร เพื่อใช้เป็นตัวกระตุ้นเรียกความเคารพและเลื่อมใสที่มีต่อเจ้ากลับมา มิฉะนั้นแล้วเจอเจ้าทุกวัน ข้าจะรู้สึกว่าเจ้าธรรมดามาก”
ลู่ยาเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ “เจ้าคงไม่ได้เบื่อข้าเร็วขนาดนี้กระมัง?”
………………………………………………………
[1] ซางโจ้วหวัง หรือ พระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซาง เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง มีนิสัยเหี้ยมโหด ลุ่มหลงสนมต๋าจี่จนไม่สนใจราชการบ้านเมือง ภายหลังถูกโจวอู่หวังปราบปรามและตั้งราชวงศ์โจวขึ้นแทน