ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 145 ให้คำตัดสิน

บทที่ 145 ให้คำตัดสิน

มู่จิ่วดีใจ เกือบจะปรบมือให้ลู่ยาที่มากความสามารถ!

ก่อนหน้านี้ตอนอ๋าวเชินหลีกเลี่ยงตำหนักใหญ่พานางมายังตำหนักคลื่นหยก นางก็ทายได้แล้วว่าชายสารเลวผู้นี้สักแปดส่วนต้องพบอุปสรรคจากการคบชู้กับหงส์เพลิงในวังมังกรแน่ ตอนนี้เห็นท่าทางเขาแบบนี้แล้ว ก็ชัดเจนอย่างมาก! หากราชินียอมรับการอยู่ร่วมกันของเขากับหงส์เพลิง เขาคงพานางเข้าวังใหญ่อย่างเปิดเผยไปแล้ว ในเมื่อไม่ยอมรับ นั่นต้องมีอะไรประหลาด

แต่คิดแล้วก็ใช่ จะมีภรรยาคนไหนยินดีที่เห็นสามีมีสัมพันธ์กับผู้อื่น? ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลูกนอกสมรสพันทางออกมาอีก! คิดไม่ถึงว่าจะไม่สนใจลูกชายของภรรยาหลัก กลับออกหน้าไปทั่วเพื่อลูกชายนอกสมรสที่ถูกสังหาร?

แต่นางก็ใคร่รู้ หงส์เพลิงนั้นพื้นเพไม่ต่ำต้อย ทำไมถึงยินยอมเป็นบ้านน้อยให้ผู้อื่น? และหน้าตาของราชามังกรผู้นี้ก็ไม่เท่าไหร่นัก

“ถึงแม้เฉินผิงจะไม่ได้ขึ้นทะเบียนเผ่าพันธุ์ แต่ก็มีสายเลือดของข้า!” อ๋าวเชินโกรธเกรี้ยว นำลูกโลหิตมังกรไฟตบลงบนโต๊ะ “ของชิ้นนี้เป็นหลักฐานได้!”

ลูกโลหิตมังกรไฟไม่ใช่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนแล้วได้มา เหล่าสัตว์เทพโบราณจะมีจิตต้นกำเนิดมาพร้อมพลังลมปราณตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์ อย่างเช่นจิตจิ้งจอกของจิ้งจอกเก้าหาง จิตหยางพิสุทธิ์ของเสือขาว จิตวิญญาณไฟของหงส์เพลิง ยังมีพลังกายของพ่อเนื้อของแม่รวมเข้าด้วยกันอีก

ลูกโลหิตมังกรไฟของเฉินผิง ถึงแม้รูปร่างเหมือนจิตวิญญาณไฟของหงส์เพลิง มีจิตไฟอยู่ในนั้นเช่นกัน แต่ตรงกลางยังมีจิตมังกรครึ่งหนึ่งของอ๋าวเชิน ดวงจิตพวกนี้เป็นของที่ใช้ตรวจสอบความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ของสายเลือดชนรุ่นหลัง

อ๋าวเชินนำลูกโลหิตมังกรไฟนี้ออกมา ลู่ยากับหลิวจวิ้นกลับไม่เหมาะจะพูดอะไรแล้ว

ที่จริงไม่มีใครตั้งกฎว่าลูกนอกสมรสของเผ่าพันธุ์เทพเป็นเผ่าปีศาจ ในเมื่อไม่ใช่เผ่าปีศาจ แบบนั้นถูกสังหารก็ต้องรับผิดชอบ

หลิวจวิ้นทนไม่ได้ ถลึงตาใส่มู่จิ่ว เด็กสาวคนนี้ช่างก่อเรื่องให้เขาเสียจริง!

แต่นี่เป็นพลทหารคนโปรดที่เขาส่งเสริมขึ้นมาเอง ถึงเขาจะร้องไห้ก็ไม่อาจไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย

เขาก้มหน้าคิด ยืนขึ้นมาพูด “ในเมื่อแต่ละคนยืนกรานคำพูดตนเอง หารือกันไม่ได้ ตามความเห็นข้า มิสู้เชิญราชามังกรไปยังสวรรค์เพื่อสอบถามเรื่องนี้อย่างชัดเจน ที่จริงกัวมู่จิ่วเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ควรให้สวรรค์เป็นผู้จัดการ”

อ๋าวเชินแค่นเสียงเยาะเย้ย “เช่นนั้นไม่ทราบว่าใต้เท้าหลิวคิดจะให้หน่วยของตนเองตรวจสอบคดีนี้ หรือจะให้หน่วยอื่นสอบสวน?”

หน่วยลาดตระเวนจัดการตัดสินคดี ตามเหตุผลแล้วหากต้องตัดสินคดีก็เป็นหน่วยลาดตระเวนรับผิดชอบ แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับคนของพวกเขาเอง จะแสดงออกถึงความยุติธรรมอย่างไร?

เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องทำให้ชัดเจน!

แต่หลิวจวิ้นย่อมต้องปกป้องคนจนถึงที่สุด “ราชามังกรไม่เชื่อถือการจัดการงานของตัวข้าหรือ?”

“ใต้เท้าดำเนินการแน่นอนว่าข้าวางใจ แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับลูกชายข้าได้รับความไม่เป็นธรรม ข้ากลับไม่อาจไม่รอบคอบได้”

อ๋าวเชินไม่ยอมลงให้เลยแม้แต่ก้าวเดียว “ใต้เท้าไม่เคยเป็นพ่อคนแม่คน เป็นธรรมดาที่จะไม่เข้าใจความรู้สึกของข้า แต่หากต้องการพากัวมู่จิ่วกลับสวรรค์ ต้องไปวังหลิงเซียวเชิญอวี้ตี้มาให้ความยุติธรรม ข้าถึงรับปาก มิฉะนั้นแล้วข้าจะยอมเสี่ยงโดนฟ้าผ่าอสุนีบาต วันนี้ต้องสังหารนางที่นี่!”

“อ๋าวเชิน!” หลิวจวิ้นเริ่มมีน้ำโห ชักกระบี่ขวางอยู่หน้ามู่จิ่ว “ท่านต้องการแข็งข้อหรือ?!”

“เอาละ เอาละ!” มู่จิ่วเห็นสถานการณ์แล้วจึงรีบหยุดหลิวจวิ้นไว้ “เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดก่อน ไปวังหลิงเซียวก็ไปวังหลิงเซียว แต่อีกเดี๋ยวขอให้ใต้เท้าช่วยพูดแทนข้าต่อหน้าฝ่าบาทสักสองประโยค อย่าให้ข้าโดนถีบออกจากทัพสวรรค์ล่ะ…” ประโยคสุดท้ายกดเสียงต่ำจนมีหลิวจวิ้นได้ยินเพียงคนเดียว

หากเป็นเรื่องที่นางก่อขึ้นนางยอมรับ ไม่คู่ควรที่จะให้หลิวจวิ้นล่วงเกินผู้อื่นเพื่อนาง

เพียงไปสวรรค์นางก็รู้ว่ามีหลิวจวิ้นอยู่ ตนเองไม่น่าจะถูกตัดสินให้ชดใช้เฉินผิงด้วยชีวิต อย่างไรก็ตาม รักษาชีวิตไว้ได้ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องรับโทษ หากอวี้ตี้บอกคำเดียวว่าส่งนางออกนอกสวรรค์ น้ำพักน้ำแรงที่ผ่านมาจะสูญสลายไปมิใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นออกจากสวรรค์ยิ่งเสี่ยง คนแซ่อ๋าวซ่อนอยู่สักที่แล้วลอบทำร้ายนาง นางก็ไม่มีชีวิตรอดเหมือนกัน

“เยี่ยมจริงๆ!” หลิวจวิ้นกัดฟันด่านางประโยคหนึ่ง ผลักมือนางออก จากนั้นจ้องอ๋าวเชิน “ในเมื่อราชามังกรไม่เชื่อข้าคนแซ่หลิว เช่นนั้นขอให้ออกเดินทาง! พวกเราไปเจอกันที่วังหลิงเซียว!”

พูดจบก็ส่งสายตาไปให้มู่จิ่ว ก้าวเท้ายาวๆ ออกจากวังไป

มู่จิ่วรีบจูงมือลู่ยาตามออกไป

ความหมายจริงๆ ของสวรรค์หมายถึงวังที่อยู่ของอวี้ตี้ หวังหมู่ และองค์ชายองค์หญิงทั้งหลาย วังหลิงเซียวเป็นที่จัดการงานราชการ วังหลังเป็นที่ใช้ชีวิตส่วนตัวของอวี้ตี้และครอบครัว แต่เพราะในหกภพมีเมืองหลวงอยู่ที่สวรรค์ชั้นเก้า และคนที่อยู่ในชั้นเก้าส่วนใหญ่เป็นเซียน ดังนั้นสวรรค์ชั้นเก้าเรียกกันนานๆ ไปจึงกลายเป็นสวรรค์

พูดถึงตรงนี้ก็ต้องเอ่ยถึงอำนาจของสวรรค์ในหกภพ

ตอนแรกหลังจากเจียงจื่อหยาแต่งตั้งเทพ สวรรค์เพิ่งเริ่มก่อสร้าง อวี้ตี้เข้าคัดเลือกเป็นราชาสวรรค์เพียงเพราะหงจวินได้รับคำขอร้องจากเหล่าเทพ ทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับสำนักขงจื๊อ สำนักพุทธ และสำนักเต๋า มองไม่เห็นว่าเขาจะมีกำลังสักเท่าไหร่ ดังนั้นอิทธิพลอำนาจจึงธรรมดา แต่ในเมื่ออวี้ตี้โดดเด่นออกมาจากกลุ่มเซียนได้ แสดงว่าเขามีความสามารถเหนือผู้อื่น

หลังจากการแต่งตั้งเทพไปหลายร้อยปี อวี้ตี้เห็นตนเองค่อยๆ หมกหมุ่นกับการจัดแจงตกแต่ง จึงค่อยๆ ดำเนินการแผนต่อเนื่องเพื่อเสริมให้อำนาจการปกครองส่วนกลางแข็งแกร่งขึ้น อย่างเช่นจัดหาคนที่มีกำลังและอำนาจจากสำนักขงจื๊อ สำนักพุทธ และสำนักเต๋ามาคุมเก้าทวีปสี่ทะเล

อันดับแรก ได้ทำการยกเว้นโทษและแต่งตั้งมหาเทพตงหัวเป็นหัวหน้าเทพราชาสี่ทิศ จากนั้นรวบรวมสี่มหาราชาแห่งสวรรค์ของศาสนาพุทธ[1] และอาศัยคำสอนของสำนักขงจื๊อจัดลำดับตำแหน่งของสวรรค์ใหม่ เพื่อปลอบใจทงเทียนเจี้ยวจู่ ก็ยกเว้นโทษให้และแต่งตั้งม่อเหยี่ยนศิษย์คนโตของเขาไปเป็นราชามาร

แต่ราชามารกลับมีเงื่อนไข ตามทฤษฎีแล้วเขายอมอยู่ใต้อำนาจสวรรค์ได้ แต่กลับปฏิเสธไม่ให้สวรรค์ยื่นมือเข้ามาจัดการงานในภพมาร อีกอย่าง ทั้งภพมารล้วนเป็นเผ่าปีศาจบำเพ็ญตนมา ระหว่างสองเผ่าพันธุ์ตัดรากฐานกันไม่ขาดเหมือนมนุษย์กับเทพ ดังนั้นจึงร้องขอให้พวกเขาเป็นคนปกครองภพปีศาจทั้งหมดด้วย มิฉะนั้นแล้วจะปฏิเสธไม่รับการยกเว้นโทษและการแต่งตั้งนี้

ทงเทียนเจี้ยวจู่และไท่ซ่างเหล่าจวินแม้จะเป็นศิษย์พี่น้องกัน แต่ละคนสร้างลัทธิเจี๋ยและลัทธิฉ่าน แต่คำสอนกลับไม่เหมือนกันเลย ทงเทียนเจี้ยวจู่วิธีสอนไม่เข้มงวด ไม่ว่าปีศาจมารวิญญาณล้วนสามารถเข้าลัทธิเจี๋ยของเขาได้หมด ตอนสงครามระหว่างพวกเขาศิษย์พี่น้อง กำลังของลัทธิเจี๋ยยิ่งใหญ่แล้ว สุดท้ายถึงแม้ทงเทียนเจี้ยวจู่พ่ายแพ้ แต่ลัทธิฉ่านก็สูญเสียอย่างหนัก

ราชามารยื่นเงื่อนไขแบบนี้ อวี้ตี้ไม่อาจไม่ใคร่ครวญอย่างรอบคอบ สุดท้ายชั่งน้ำหนักดูแล้วจึงทำข้อตกลง ภพมารและภพปีศาจ แต่ละภพมีราชา ราชามารเป็นหัวหน้าปกครอง สุดท้ายให้ขึ้นต่อสวรรค์ ทั้งยังได้ทำข้อกำหนดว่า หากภพปีศาจกับภพมารไม่ทำความเดือดร้อนแก่สรรพสัตว์ สวรรค์จะไม่สอดมือเข้ายุ่ง แต่หากผิดเงื่อนไขก็จะไม่ยอมผ่อนผันให้โดยเด็ดขาด

ที่จริงก็เป็นแค่ข้อตกลงที่ดูมีเกียรติสักหน่อย ถึงแม้อวี้ตี้ไม่พูดชัดเจน แต่หากราชามารดื้อด้านไม่ยอมสยบต่อสวรรค์แล้วภพมารทำร้ายสี่ภพจริง สวรรค์มิใช่ต้องจัดการเช่นกันหรอกหรือ?

แต่ราชามารผู้นี้เป็นคนง่ายๆ สบายๆ หลังจากดูข้อตกลงนี้จบก็ไม่ต่อรองอีก มือหนึ่งตีตราประทับลงไป จากนั้นออกไปสังสรรค์กับพวกพ้อง หลายหมื่นปีมานี้สงบเงียบไร้คลื่นลมจริง ถึงแม้จะมีข่าวเล็กๆ ออกมา กลับไม่มีเรื่องหนักหนา ทว่าก็ทำให้คนไม่อาจไม่ตระหนกได้

และที่พูดถึงที่มาส่วนนี้ เพราะคดีของมู่จิ่วกับอ๋าวเชินจะต้องดูว่าตัดสินอย่างไร

………………………………………………………….

[1] มหาจตุโลกบาลทั้งสี่ ได้แก่ ท้าววิรุฬหกมหาราช ท้าวธตรฐมหาราช ท้าววิรูปักษ์มหาราช และท้าวกุเวรมหาราช

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset