เวินหนิงลงมาจากอาคาร รีบเรียกรถมุ่งไปยังสถานที่ที่ทั้งสองคนนัดหมายเอาไว้ในทันที
ที่เธอไม่อาจทราบได้เลยก็คือ ตั้งแต่ที่เธอลงมาจากตัวอาคาร คนที่ลู่จิ้นยวนเตรียมเอาไว้ก็จับตาสังเกตดูการเคลื่นไหวของเธอแล้ว ขับรถไปพลางโทรศัพท์หาลู่จิ้นยวนไปพลาง รายงานเรื่องที่เวินหนิงออกไปข้างนอกอย่างเป็ระบบและละเอียดครบถ้วน
………
ตระกูลลู่
ลู่จิ้นยวนออกมาจากโรงพยาบาล แม้ว่าตัวเขาจะยืนหยัดมาโดยตลอดว่าไม่ต้องการที่จะทำอะไรที่มันมากเกินความจำเป็น แต่ตระกูลลู่นั้นไม่ต้องการให้ดูเหมือนเป็นการเมินเฉยแม้แต่เพียงนิดเดียว
เชิญญาติสนิทมิตรสหายมารวมตัวกันที่บ้าน ถึงขนาดที่ไปสักการะอันเชิญรูปปั้นเทพเจ้ามาด้วยถึงหนึ่งองค์
คนอื่นนั้นลู่จิ้นยวนยังรับมือได้สบาย แต่ที่ไม่คาดคิดเลยก็คือ………มู่เยียนหรานเองก็มาด้วย
เพราะว่าถูกลู่จิ้นยวนปฏิเสธมาอย่างตรงๆ แบบนั้นแล้วถึงหนึ่งหน มู่เยียนหรานก็ราวกับว่าถูกโจมตีเข้าซึ่งหน้า จึงไม่ได้ออกมาเจอหน้านานมากแล้ว
ลู่จิ้นย่วนก็นึกว่าเธอจะเข้าใจไปแล้ว ยอมแพ้ไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้ย้อนดูเรื่องนี้ในวันนี้แล้ว มันจะไม่ได้ราบลื่นดังที่เขาคิดเอาไว้
“จิ้นยวน ยินดีด้วยนะคะที่คุณได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันเลยมาเยี่ยมคุณสักหน่อยน่ะค่ะ”
ที่จริงแล้วมู่เยียนหรานก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย เธอเองก็เป็นคนเย่อหยิ่งและทะเยอทะยาน หลังจากที่ถูกคนปฏิเสธอย่างนั้นไปแล้ว ก็ไม่รู้จะกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาอย่างไร
แต่ทว่าสุดท้ายแล้วเธอก็มาที่นี่แล้ว ที่สำคัญคือเธอไม่อยากจะหยิบยื่นโอกาสให้คนอื่น โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันที่ลู่จิ้นยวนจะออกจากโรงพยาบาล เธอคิดว่า เขาคงจะไม่รีบไล่เธอให้กลับไปได้
หลังจากที่มองไปรอบหนึ่ง ก็พบว่าเวินหนิงไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ที่ตระกูลลู่แห่งนี้ สภาพจิตใจของมู่เยียนหรานก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย
เธอไม่อาจที่จะได้รับการยอมรับจากตระกูลลู่ โอกาสที่จะเกิดสถานการณ์ที่เป็นอยู่เช่นนี้นั้นแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย
นี่ก็ทำให้จิตใจของมู่เยียนหรานรู้สึกสงบและวางใจได้เล็กน้อย
“อันที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองก็ได้นะ”
ลู่จิ้นยวนพูดออกมาอย่างเรียบๆ
“เรื่องที่คุณออกจากโรงพยาบาลเป็นเรื่องใหญ่เสียขนาดนี้ ฉันจะไม่มาได้อย่างไรกันคะ”
มู่เยียนหรานยิ้มบางๆ ท่าทีที่แสดงออกมานั้นไม่มีกิริยาที่ไม่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อย แสดงท่าทางที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ กลับทำให้ลู่จิ้นยวนไม่มีทางคิดหาข้ออ้างบอกให้กลับไปได้
เพียงทว่า ทันทีที่คิดว่าตอนนี้เวินหนิงกำลังทำอะไรบางอย่างที่เขาไม่อาจรู้ได้อยู่ ลู่จิ้นยวนก็ค่อยๆ หมดแล้วซึ่งความอดทนที่จะเสแสร้งแสดงตามมรรยาท เดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าเถ้าแก่ “ที่บริษัทยังมีเรื่องให้ต้องไปจัดการอยู่”
“เรื่องอะไรกัน จัดการเอาพรุ่งนี้ไม่ได้หรือ” เถ้าแก่ไม่เหลือทางลงให้เลย เอานิ้วชี้ไปที่รูปปั้นเทพเจ้าองค์นั้น “แกห้ามไปที่ไหนทั้งนั้น เดี๋ยวไปสักการะให้เรียบร้อย แล้วก็อย่าไปเล่นพิเรนทร์อะไรอีก ทำให้คนแก่แบบฉันตกใจจนหัวใจจะวาย”
นัยน์ตาของลู่จิ้นยวนมืดขรึมลงเล็กน้อย รู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ ขณะที่ไม่รู้ว่าจะพูดโน้มน้าวเถ้าแก่อย่างไรนั้น มู่เยียนหรานที่ได้ยินดังว่าก็เดินขึ้นหน้ามา พูดอธิบายออกไปอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นว่า “ที่จิ้นยวนบอกว่ามีธุระ หนูขับรถไปส่งเขาได้ค่ะ คุณปู่วางใจให้หนูขับรถไปได้เลยค่ะ”
มู่เยียนหรานเข้าใจลักษณะนิสัยของลู่จิ้นยวน เขาเป็นคนบ้างานอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าหากไม่ให้เขาไปจัดการปัญหาของบริษัทล่ะก็ เกรงว่าตอนกลางคืนเขาก็จะแอบออกไปอยู่ดี
งั้นสู้เธอซื้อใจเขาเสียจะดีกว่า อีกทั้งที่นี่ก็มีสายตาจับจ้องวุ่นวายไปหมด ประจวบพอดีกับที่ออกไปข้างนอก ก็จะได้มีเวลาเป็นการส่วนตัวสองต่อสอง
เถ้าแก่มองมู่เยียนหรานที่เข้าใจรู้งานอย่างฉลาดหลักแหลม ตอนนี้เธอกลับเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะมาเป็นหลานสะใภ้ ท่านจึงพยักหน้า “ก็ได้ งั้นเธอต้องดูแลเขาให้ดีๆ ด้วยล่ะ”
คำพูดของเถ้าแก่นั้นมีความนัยที่สามารถตีความออกมาได้เป็นสองความหมาย ทำให้จิตใจของมู่เยียนหรานดีใจขึ้นไปมาก แก้มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “งั้น ไปกันเถอะค่ะ”
ลู่จิ้นยวนก็ไม่ได้เข้าใจถึงความนัยของทั้งสองคนนั้น เพียงแต่นึกว่ามีเรื่องให้ต้องไปจัดการ จึงอดทนรับคำตามไป เดินตามมู่เยียนหรานออกไปด้วยกัน เขาถึงคลายเน็คไทด์ออก “เดี๋ยวฉันมีเรื่องอีกเรื่องให้ต้องไปจัดการด้วย เธอไปส่งฉันที่ทางออกก็พอแล้ว”
ดวงตาของมู่เยียนหรานมีประกายแห่งความสงสัยปรากฏขึ้น ดูใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของลู่จิ้นยวน ไม่ใช่ว่าเขาจะไปบริษัทอย่างนั้นหรอกเหรอ
“ฉันไปส่งคุณก็ได้ ฉันเองก็รับคำไหว้วานมาแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุดสิ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว หรือว่าคุณจะไปเดตกับผู้หญิงอื่น แล้วไม่อยากให้ฉันเห็นใช่ไหมล่ะ”
ผู้พูดไม่ได้ใส่ใจแต่ผู้ฟังกลับเก็บมาคิด ลู่จิ้นยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย มู่เยียนหรานดูท่าทีตอบกลับของเขาที่อยู่ในสายตา ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าเขาออกไปหาผู้หญิงอื่นจริงๆ
ใครกัน เวินหนิงเหรอ