เมื่อเฉิงหยางกับไป๋ซินอวี๋ไปถึงห้องที่ลู่จิ้นยวนจองไว้ ตรงหน้าผู้ชายคนนั้นก็มีขวดเหล้าวางเต็มไปหมด
แล้วก็มีขวดเปล่าที่วางอยู่ข้างๆ ดูเหมือนว่าเขาคงดื่มเองไปไม่น้อยแล้ว แต่ว่าสีหน้าก็ยังเหมือนเดิม มองไม่ออกเลยว่าเมาหรือว่าไม่เมา
ทั้งสองสบตากัน ถ้าเป็นคนอื่นที่นั่งดื่มคนเดียวที่นี่ พวกเขาก็คงไม่ตกใจขนาดนั้น
แต่นี่เป็นลู่จิ้นยวน เขาไม่ชอบความรู้สึกที่โดนแอลกอฮอล์ดึงสติไป ถึงแม้จะเป็นเรื่องงาน แต่ก็ดื่มน้อยมาก
เปลี่ยนมาพูดว่า ที่ทำให้เขามาดื่มคนเดียวแบบนี้ได้ จะเพราะเรื่องอะไรกันแน่?
“คงไม่ใช่เพราะอกหัก?”
เฉิงหยางเอ่ยออกมา ทีแรกลู่จิ้นยวนที่ยังก้มหน้าดื่มอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็โยนขวดเหล้าไปบนโต๊ะแล้วมองด้วยสีหน้าเยือกเย็น “มาช้าขนาดนี้ ยังจะพูดบ้าอะไรอีก?”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยถามต่อ นั่งลงแล้วดื่มเป็นเพื่อนเขา
ผ่านไปสักพัก ขวดเหล้าที่วางอยู่ตรงหน้าก็ว่างไปกว่าครึ่ง ถึงแม้ทั้งสองคนก็จะเป็นคนคอแข็ง แต่ก็ทนรับไม่ไหวกับการดื่มแบบนี้
เฉิงหยางมองไปที่สีหน้านิ่งเรียบของลู่จิ้นยวน “คงไม่ใช่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่แกพามาครั้งก่อน ฟังฉันนะ ยิ่งดื่มก็ยิ่งเศร้า มีเรื่องอะไรก็คุยกันต่อหน้าก็จบ”
ไป๋ซินอวี๋ขมวดคิ้ว “ผู้หญิงคนไหน? เชี้ย คงไม่ใช่พนักงานทำความสะอาดหรอกใช่ไหม……ครั้งก่อนแกทิ้งเยียนหรานไว้คนเดียว คงไม่ใช่เพราะเธอหรอกมั้ง”
“แดกเหล้าก็อุดปากเพราะแกไว้ไม่ได้?”
ที่ลู่จิ้นยวนออกมาก็เพราะไม่อยากเห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับเวินหนิงอีก ไม่คิดเลยว่า ทั้งสองคนนี้จะเป็นศัตรูกับเขา เอาแต่พูดถึงชื่อนั้นไม่หยุด
พอเอ่ยคำนี้ออกมา ก็เหมือนกับว่ายอมรับ
ลู่จิ้นยวนก็ไม่มีอารมณ์ที่จะดื่มต่อ เพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วให้แอลกอฮอล์มาทำให้ตัวเองเฉื่อยชา วิธีแบบนี้เขาไม่แยแส
แล้วอีกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นก็หักหลังเขา
เวินหนิงยังเดินจากไปได้อย่างเด็ดขาดขนาดนี้ เขาจำเป็นต้องเสียใจด้วยหรอ?
ตลกชะมัด
……
เวินหนิงทำความสะอาดจัดบ้านใหม่ของตัวเอง แล้วยังไปซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับคนท้องที่ร้านหนังสือด้วย
กี่วันนี้ ที่เธออยู่ตระกูลลู่ก็เอาแต่กังวล ก็เลยไม่มีเวลาไปศึกษาด้วย ตอนนี้ย้ายออกมาได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลขนาดนั้น
เมื่อเวินหนิงเปิดหนังสือดูไปสักพัก กระจิตกระใจก็ไม่ได้อยู่บนหนังสือเลย
ไม่รู้ว่าวันนี้ลู่จิ้นยวนกลับไปหรือเปล่า เขารู้เรื่องที่เธอออกไปจากที่นั่นแล้วใช่ไหม ไม่รู้ว่าจะมาคิดบัญชีกับเธอหรือเปล่า……
คิดไปด้วย ในใจเวินหนิงก็รู้สึกว้าวุ่น
จากนั้นก็วางหนังสือในมือแล้วไปอุ่นนมที่ห้องครัว แล้วฝืนใจให้ตัวเองนอนให้หลับ
……
คืนนั้น เวินหนิงหลับไม่สนิทมาก
ถึงแม้ ถ้าเทียบกับนอนบนพื้นที่ตระกูลลู่ ตอนนี้ก็ถือว่าสบายมากแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ชิน……
ตอนลุกจากเตียง เวินหนิงก็อดไม่ได้ที่จะดูถูกตัวเอง หรือว่าใช้ชีวิตที่ยากลำบากอย่างนั้นมานานแล้ว พอตอนนี้สบายหน่อยก็รู้สึกไม่ชิน นี่เป็นบ้าอะไรเนี่ย?
ด้วยความเคยชิน เวินหนิงเปิดโทรศัพท์มาดู นอกจากไป๋อี้อันที่ส่งข้อความมาบอกให้เธออยู่ข้างนอกระวังตัวด้วยหนึ่งข้อความ ก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย
เวินหนิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง เมื่อคืน เธอยังกังวลว่าถ้าลู่จิ้นยวนรู้ว่าเธอไปแล้วจะรู้สึกหงุดหงิด ตอนนี้ทั้งหมดก็แค่หลงตัวเอง
เธอก็แค่คนคนหนึ่งที่ผ่านเข้าไปในชีวิตของลู่จิ้นยวน แถมยังเป็นคนที่ไม่ได้รับการต้อนรับมาก ในเมื่อไปแล้ว ทำไมต้องรู้สึกเสียใจด้วย
หรือว่า ผู้ชายคนนั้นคงจะไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำมั้ง
……
หนึ่งวันของลู่จิ้นยวน เริ่มต้นมาจากความปวดหัวแล้วก็ความหงุดหงิด
เมื่อคืนดื่มเยอะเกินไป แล้วแอลกอฮอล์ก็แรงด้วย ถึงแม้จะเป็นเขา ก็รู้สึกปวดหัวเพราะแอลกอฮอล์
พอไปถึงบริษัท เขาก็เห็นร่องรอยที่เวินหนิงเหลือไว้ ในใจก็รู้สึกโมโหขึ้นไปอีก
“เอาของพวกนี้ออกไปทิ้งซะ”
อันเฉินอึ้งไป “คุณหนูเวินเธอ……?”
ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น บอสก็ยังสอนงานเวินหนิงไม่ใช่หรอ?
ทำไมเปลี่ยนเป็นหน้ามือเป็นหลังมือไปได้
“จะให้ผมพูดเป็นรอบที่สองหรอ?”
ลู่จิ้นยวนมองไปที่เขาอยากเยือกเย็น อันเฉินก็รีบก้มหน้าทันที “เข้าใจแล้วครับ”
จากนั้นก็มีคนมาจัดการของบนโต๊ะของเวินหนิงออกไป
แต่ดูเหมือนว่า นี่ไม่ได้ทำให้ลู่จิ้นยวนอารมณ์ดีขึ้นเลย
การประชุมตอนบ่าย สีหน้าของผู้ชายคนนี้ก็ยังเยือกเย็น
“นี่หรอเป็นแผนงานที่พวกคุณทำมาทั้งวัน ขยะ”
“ถ้ายังทำได้แค่นี้ วันนี้คุณก็ไปรับเงินเดือนแล้วออกไปได้เลย”
“ทำใหม่ให้หมด”
พนักงานที่ร่วมเข้าประชุม ไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดังเลย กลัวว่าไม่ระวังแล้วบอสจะจับผิดอะไรได้ แล้วจะโดนตำหนิ
กว่าจะผ่านการประชุมไปได้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะดึงตัวอันเฉินไว้ “ประธานลู่เป็นอะไร วันนี้เหมือนกินระเบิดเข้าไปอย่างนั้น ”
“ถ้าแผนงานทั้งหมดนี้ต้องทำใหม่ ผมกลัวว่าถ้าไม่นอนทั้งอาทิตย์ ไม่สิ ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ทำไม่เสร็จแน่”
“ผู้ช่วยอัน คุณไปคุยกับท่านด้วยเถอะ”
อันเฉินก็เดาออก แต่ว่า พอเห็นลู่จิ้นยวนอารมณ์เสียขนาดนี้ เขาเองก็ไม่กล้าไปแตะระเบิดลูกนั้น
“ผมจะพยายาม”
เมื่อบอกให้ทุกคนแยกย้ายไป อันเฉินก็คิดในใจแล้วโทรหาเวินหนิง
คุณหนูเวินไม่มาทั้งวัน ก็ทำให้บริษัทวุ่นวายขนาดนี้แล้ว ทำอะไรไม่ได้ก็เลยต้องถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
เวินหนิงกำลังรอผลสัมภาษณ์งานใหม่อยู่ด้านนอก เธอส่งประวัติไปก่อนที่จะไปจากบริษัทตระกูลลู่ สิ่งที่ทำให้น่าแปลกใจคือได้รับโอกาสที่จะสัมภาษณ์อย่างรวดเร็ว
พอโทรศัพท์ดัง เวินหนิงดูไปบนหน้าจอก็เป็นอันเฉินที่โทรมา
ถึงแม้จะไม่มีการติดต่ออะไรกับบริษัทตระกูลลู่แล้ว แต่ยังไงอันเฉินก็เป็นคุณครูที่สอนงานเธอมาเยอะ เวินหนิงกดรับโทรศัพท์ “ผู้ช่วยอัน ทำไมคะ?”
ทำไม เขายังอยากจะถามเวินหนิงเลยว่าทำไม?
“เวินหนิง วันนี้เธอไม่มาทำงาน ประธานลู่อารมณ์เสียมาก”
เวินหนิงอึ้งไป ไม่คิดเลยว่าลู่จิ้นยวนจะแสดงปฏิกิริยาที่เธอไปโดยไม่บอกลาอย่างนี้
เธอคิดว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่สนใจด้วยซ้ำ
“อีกหน่อยฉันก็จะไม่ไปทำงานแล้วค่ะ ขอบคุณที่แต่ก่อนคุณดูแลฉัน แล้วก็ขอโทษที่สร้างปัญหาให้ด้วยค่ะ”
เมื่อพูดจบ กรรมการสัมภาษณ์ก็เดินออกมา เวินหนิงก็รีบวางสายโทรศัพท์แล้วเดินไปหา
“อือ ถึงแม้ระดับการศึกษาของคุณจะยังไม่ผ่านเกณฑ์ แต่ว่า ในเมื่อคุณเคยทำงานที่บริษัทตระกูลลู่ ก็คงจะมีอะไรขี้เก่ง งั้นก็ลองฝึกงานไปก่อน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เวินหนิงก็ยิ้มอย่างดีใจ
ไม่คิดเลยว่า มีประสบการณ์ทำงานที่บริษัทตระกูลลู่ก็ยังให้ความสะดวกกับเธอไม่น้อยในการหางาน
อันเฉินได้ยินเสียงตัดสายดังออกมาจากโทรศัพท์แล้วก็เสียงตำหนิที่ไม่สบอารมณ์ในห้องทำงานของลู่จิ้นยวน ก็รู้สึกไม่ได้การแล้ว
ถ้าบอสยังเป็นแบบนี้ต่ออีก ก็คงจะทำให้คนทั้งบริษัทซวยไปด้วยแน่นอน
ในใจก็มีความคิดหนึ่ง……ใครเป็นคนก่อเรื่อง ก็ให้บอสไปหาคนนั้น ผู้น้อยอย่างพวกเขาไม่กล้าไปยุ่งด้วย