ตอนพิเศษ 3 ใจผิดแผกไปให้ใคร
หลังจากส่งจวินรุ่ยซีไปที่ห้องแล้ว เจียสือก็ออกไป
จวินรุ่ยซีก็ไม่ได้แสร้งปวดท้องแล้ว นางยืนที่ข้างหน้าต่าง มองเงาหลังที่จากออกไปของเจียสืออย่างเคลิบเคลิ้ม
จนกระทั่งสิบห้านาทีต่อมา หลิงลั่วกับฉู่อิ้งหานมาหาจวินรุ่ยซีที่ห้อง นางถึงได้ทราบว่าที่แท้หลังจากที่เจียสือออกไปแล้ว นางก็ยืนอยู่เช่นนี้ตลอดจนถึงตอนนี้เลย!
“เป่าเป้ย เจ้าเป็นอะไร เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ปวดท้องเล่า”
หลังจากหลิงลั่วเดินเข้ามาในห้องแล้วก็พินิจดูจวินรุ่ยซีอย่างถ้วนทั่วทั้งบนจรดล่างอยู่หลายรอบ และยังตรวจชีพจรให้นางอีกด้วย แต่ว่าจวินรุ่ยซีมีสุขภาพร่างกายที่ดีมาก ไม่ได้มีความผิดปกติใดๆ เลย
หลิงลั่วมองจวินรุ่ยซีอย่างงุนงนอยู่บ้าง แต่ว่าจวินรุ่ยซีเพียงแต่มองไปยังบางแห่ง และหัวเราะคิกคักอย่างเหม่อลอย
เห็นจวินรุ่ยซีเป็นแบบนี้ หลิงลั่วก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่ในใจมาก
นี่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง ซึ่งนางก็ปกป้องอย่างดีตั้งแต่เด็ก ทำให้ถึงขนาดที่นางอายุสิบหกปีแล้วก็ยังมีสภาพที่ยังไม่เคยผ่านเรื่องราวใดมาเลย
ที่จวินรุ่ยซีเป็นเช่นนี้ นั่นก็คือสิ่งที่หลิงลั่วเป็นห่วงมากที่สุด
ก็เพราะว่านางไม่เจนโลก ดังนั้นถึงได้เป็นห่วงว่านางจะถูกคนหลอก เป็นห่วงว่านางจะโดนคนทำให้เสียใจ
“เอ่อ… คือว่าข้าก็ไม่ทราบ แต่ว่าท่านแม่ท่านหายห่วงได้เลย รุ่ยเอ๋อร์ไม่ปวดแล้วล่ะ”
จวินรุ่ยซียิ้ม คนที่นางไม่อยากหลอกที่สุดก็คือท่านแม่ของนาง แต่หากว่าท่านแม่ทราบว่านางแสร้งทำเป็นป่วยเพื่อเณรน้อยคนหนึ่งแล้วล่ะก็ ท่านแม่ต้องไม่พอใจมากแน่ๆ
“เอาล่ะ…”
หลิงลั่วมองจวินรุ่ยซีแวบหนึ่ง แต่ว่านางเลี้ยงบุตรสาวมาตั้งแต่เล็กจนโต แค่ปราดเดียวนางก็ทราบความคิดของจวินรุ่ยซีแล้ว
แต่หลิงลั่วไม่ได้เปิดโปงจวินรุ่ยซีแต่อย่างใด อย่างไรเสียบุตรสาวนางก็เติบโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง ก็เป็นเรื่องปกติมากที่ไม่อยากบอกพ่อแม่
“แต่ลูกรัก เจ้าต้องจำไว้นะ แม่กับพ่อ และยังมีพี่ชายกับพี่สะใภ้จะคอยปกป้อง สนับสนุนอยู่ข้างหลังเจ้าเสมอ”
จวินรุ่ยซีพยักหน้า รู้สึกเบ้าตารื้นขึ้นมาเล็กน้อยทันที
ฉู่อิ้งหานเดินมาข้างหน้า เช็ดขอบตาให้จวินรุ่ยซีไปพลาง และเอ่ยยิ้มไปพลางว่า “ยายเด็กโง่ ร้องไห้อะไรกัน?”
“ข้าตื้นตันใจมากอย่างไรเล่า…”
จวินรุ่ยซียิ้ม แล้วก็เอ่ยอีกว่า “จริงสิท่านแม่ ท่านรู้จักเณรน้อยที่นามว่าเจียสือหรือไม่เจ้าคะ”
“เจียสือ?”
ในดวงตาหลิงลั่วปรากฏความประหลาดใจเล็กน้อย มองสายตาของจวินรุ่ยซีที่มีความสงสัยอยู่บ้าง “ต้องรู้จักสิ เขาเป็นผู้ดำเนินงานพิธีบวงสรวงในครั้งนี้ และก็เป็นผู้ที่เชิญมาจากเจ้าอธิการวัดชิงย่วน ในวัยเยาว์เจียสือถูกทิ้งไว้ที่นอกวัดชิงย่วน เจ้าอธิการวัดชิงย่วน ท่านหลวงพ่อฮุ้ยจื้อพาเจียสือเข้าสู่วัดชิงย่วน เจียสือก็ใช้ชีวิตอยู่ในวัดชิงย่วนมาตั้งแต่เด็ก และในปีนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ออกจากวัด”
“ในเมื่อแม้แต่ท่านแม่ก็ยังรู้จักเขา เช่นนั้นความสามารถของเจียสือก็น่าจะใช้ได้สินะ?”
จวินรุ่ยซีกล่าว อย่างไรเสียหากว่าเณรน้อยผู้นี้ไม่มีดีอะไรเลย ก็คงไม่อาจมางานพิธีบวงสรวงที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้หรอกใช่หรือไม่?
“อืม” หลิงลั่วพยักหน้า “จริง เจียสือเด็กคนนี้มีปัญญารู้แจ้ง อีกทั้งฉลาดมากด้วย เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของพระอริยะท่านหลวงพ่อฮุ้ยจื้อที่ได้บรรลุธรรม ต่อไปไม่นานน่าจะยังได้เป็นเจ้าอธิการคนต่อไปของวัดชิงย่วนด้วย ครั้งนี้มาที่นี่กับหลวงพ่อฮุ่ยเหนิง อาจารย์อาของเขา”
จวินรุ่ยซีพยักหน้า และไม่ได้เอ่ยปากกล่าวอีก
ที่แท้ เขาก็ร้ายกาจขนาดนี้เชียว เพียงดูแค่การตอบสนองและคำพูดของเขาเมื่อสักครู่แล้ว นางยังคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่เณรน้อยธรรมดารูปหนึ่งจริงๆ
จวินรุ่ยซีเผยอยิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน่าสนใจเสียแล้ว!
“ท่านแม่ แล้วเณรน้อยจะจากไปพร้อมกับอาจารย์อาของเขาเมื่อไรหรือ”
หลิงลั่วครุ่นคิด และกล่าวว่า “พวกเขาน่าจะอยู่ที่ในวังหนึ่งเดือน อย่างไรแล้วก็เป็นวันบวงสรวงครบยี่สิบปีของเสด็จพี่ ซึ่งก็เป็นวันที่สำคัญนัก”
ตอนพิเศษ 4 หลอมละลายใจของเขา
จวินรุ่ยซีพยักหน้า ถ้าหากหนึ่งเดือนแล้วล่ะก็ เช่นนั้นภายในหนึ่งเดือนนี้ นางก็สามารถไปหาเณรน้อยได้ทุกวัน!
ยามเมื่อครอบครัวหลิงลั่วกลับถึงจวนเหยียนอ๋อง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว จวินรุ่ยซีวิ่งกลับไปในห้อง นอนลงบนเตียงและห่อผ้าห่มของตัวเองไว้แน่น คิดถึงเรื่องเมื่อกลางวันนี้แล้วก็รู้สึกว่าใจเต้นผิดปกติ
นี่นางเป็นอะไรไป หรือว่าจะไม่สบายเสียแล้ว?
จวินรุ่ยซีพลันเอาผ้าห่มคลุมศีรษะของตัวเองในทันที
ช่างเถิดๆ ไม่คิดแล้วดีกว่า ถึงอย่างไรวันพรุ่งนี้นางก็ยังต้องเข้าวังไปเจอเณรน้อยอยู่ดี…
เช้าวันถัดมา
จวินรุ่ยซีตื่นนอนแต่เช้าตรู่ หลังจากล้างหน้าบ้วนปากแล้วก็รีบไปที่วังหลวงโดยที่แม้แต่อาหารเช้าก็ยังไม่ทันจะได้รับประทาน
ตอนที่หลิงลั่วและจวินชิงเหยียนได้ทราบเรื่องนี้ ก็เป็นยามที่จวินรุ่ยซีจากไปได้ครึ่งเค่อแล้ว
จวินชิงเหยียนได้ยินแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไร แต่หลิงลั่วทราบว่าจวินนั่วเหยียน จวินลั่วชิงพวกเขาล้วนทราบกันหมด เมื่อจวินรุ่ยซีกลับมาแล้ว นางก็คงจะซวยเสียแล้ว
ยายหนูนี่ก็จริงๆ เลย นึกว่าไม่ถึงว่าจะรู้จักไปจากจวนอย่างเงียบเชียบโดยไม่ส่งเสียงเลยสักแอะ!
จวินรุ่ยซียังไม่ทราบว่าหลังจากเมื่อตนเองกลับไปที่จวนแล้วจะได้เจอกับอะไร นางเดินทางมาถึงตำหนักรับรองที่เจียสือกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหนิงพำนักอยู่
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหนิงไปสวดมนต์ที่สุสานหลวง ส่วนเจียสืออยู่ในตำหนัก
“เณรน้อย!”
หลังจากจวินรุ่ยซีเดินเข้าไปในตำหนักแล้ว ก็เห็นเจียสือนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้
เมื่อได้ยินเสียงของจวินรุ่ยซี เจียสือก็ลืมตาโดยไม่รู้ตัว เขาพลันตะลึงงันอยู่ก่อน ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นยืน พนมมือทำความเคารพ “ท่านหญิงเสด็จมาเยือนได้อย่างไร เสี่ยวเซิงขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ”
“เณรน้อย ทำไมมีแต่เจ้าอยู่ที่นี่ อาจารย์อาของเจ้าล่ะ”
จวินรุ่ยซีมองดูทั่วทั้งตำหนักรับรอง และไม่มีที่ท่าว่าจะมีคนอื่นอยู่
“อาจารย์อาไปที่สุสานหลวง ตอนเย็นถึงจะกลับมา”
“จะเป็นเช่นนี้ทั้งเดือนเลยรึ?”
“อืม”
“เช่นนั้นต่อไปข้าจะมาเล่นกับเจ้าทุกวัน ดีหรือไม่”
เมื่อมองตนเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาอันสว่างพร่างพราวของจวินรุ่ยซี เจียสือก็พลันชะงักชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ “ท่านหญิง เช่นนี้ไม่ถูกต้องตามหลักธรรมเนียมประเพณี ท่านไม่ต้องมาทุกวันจะดีกว่า”
“เจ้า!” จวินรุ่ยซีมองเจียสืออย่างไม่พอใจ เณรน้อยผู้นี้ช่างไม่เข้าใจอารมณ์เสน่ห์หาเลยจริงๆ
นางที่เป็นท่านหญิง กล่าวว่าจะมาหาเขา ทว่าเขากลับปฏิเสธ!
จวินรุ่ยซีไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกในใจของนางในยามนี้อย่างไร นางรู้สึกแค่ว่าลมหายใจอัดอั้นอยู่ตรงอก
“ข้าไม่ฟังเจ้าหรอกนะ! ในเมื่อเจ้ายังกล่าวเลยว่าข้าเป็นท่านหญิง เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิที่จะให้ข้าต้องฟังเจ้า ข้ายังยืนหยัดว่าจะมาหาเจ้า!”
เจียสือมองจวินรุ่ยซีแวบหนึ่ง ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่เม้มริมฝีปากอย่างจนใจอยู่บ้าง
“ท่านหญิง ได้โปรดเถิด เสี่ยวเซิงไม่สามารถอยู่เล่นเป็นเพื่อนท่านได้ เชิญแล้วแต่ท่านหญิงจะสะดวก”
กล่าวจบ ก็ทำความเคารพให้จวินรุ่ยซี แล้วก็เดินมุ่งไปในห้อง
จวินรุ่ยซีบุ้ยปาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางประจบเอาใจคนอื่นแต่กลับถูกเมินใส่ ความรู้สึกนี้มันช่าง… เฮ้อ…
เจียสือกำลังจะก้าวเท้าออกไป จวินรุ่ยซีก็รีบไล่ตามเงาร่างของเจียสือ
“นี่ๆๆ! เณรน้อย! เจ้าช้าหน่อย! รอข้าก่อนสิ!”
“เณรน้อย ปกติเวลาพวกเจ้าอยู่ในวัด นอกจากเวลาทานข้าวและนอนหลับแล้ว เวลาที่เหลือคงไม่ได้สวดมนต์ตลอดหรอกนะ? เช่นนั้นช่างน่าเบื่อชะมัด!”
“เณรน้อย เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดจาเล่า?”
“เณรน้อย…”
สิ่งที่เผชิญหน้ากับจวินรุ่ยซี ยังคงเป็นความเงียบสงบ
แต่ว่าจวินรุ่ยซีไม่ยอมแพ้ ยิ่งชวดกลับยิ่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน จวินรุ่ยซีก็แอบตัดสินใจไว้แล้วว่า นางต้องหลอมละลายน้ำแข็งก้อนที่ซ่อนอยู่นี้ให้ได้!