ในเรือนเล็กๆ ซึ่งอยู่ในตรอก แม่นมซุยอดทนรออยู่ครู่หนึ่งจนชายเจ้าของบ้านกลับมา หญิงเจ้าของบ้านจึงบอกเรื่องนี้ให้สามีของนางรับทราบ ส่วนชายเจ้าของบ้านทำได้เพียงรับปากว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุด
แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เฝ้าประตูเมือง แต่เจ้าหน้าที่ทหารเหล่านั้นก็เปิดประตูเมืองให้ตามที่เขาต้องการในยามกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ไม่ได้
บังเอิญช่วงนี้ชายเจ้าของบ้านกำลังซ่อมกำแพงเมืองช่วงหนึ่งอยู่พอดี ยังมีบางส่วนที่ยังซ่อมไม่เสร็จและตั้งใจว่าจะไปทำต่อพรุ่งนี้ ชายเจ้าของบ้านจึงฉวยโอกาสเร่งทำงานในคืนนี้และขอออกไปขนหินจากเหมืองนอกเมือง เมื่อทำเช่นนี้เจ้าหน้าที่ทหารก็จะขวางเขาไม่ได้
ชายเจ้าของบ้านพาแม่นมซุยไปด้วย เมื่อไปถึงประตูเมืองจึงบอกไปว่าเป็นหลานชายที่ต้องออกไปหาหมอที่มีชื่อเสียงเพื่อรักษาอาการป่วย จึงขอเจ้าหน้าที่ทหารที่ประตูเมืองว่าจะถือโอกาสพาออกไปพร้อมกัน พูดจบก็ยัดเงินใส่มือไปให้
ในช่วงเวลานี้ที่เมืองหลวงไม่ได้มีการควบคุมที่เข้มงวดหรือต้องสอดส่องบุคคลที่น่าสงสัย อีกทั้งชายเจ้าของบ้านยังตั้งใจจะออกไปขนหินจากเหมืองเพื่อมาซ่อมกำแพงเมือง เจ้าหน้าที่ทหารที่เฝ้าประตูเมืองต่างคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงเปิดประตูเล็กให้ชายเจ้าของบ้านและสตรีธรรมดาๆ นางหนึ่งซึ่งกำลังอุ้มเด็กเล็กออกไปนอกเมือง
ชายเจ้าของบ้านลากเกวียนออกมาจากเมืองและถามอย่างหวังดีว่า “จะให้ข้าพาพวกท่านไปหาหมอชื่อดังนั่นไหม ฟ้ามืดแล้ว หนทางคงจะลำบาก”
แม่นมซุยเอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “ไม่เป็นไร ท่านไปส่งข้าที่ทางแยกอีกสองลี้ข้างหน้าก็พอ จะมีคนมารับเราที่นั่น”
“งั้นก็ตามนั้น”
บริเวณใกล้ๆ สุสานตระกูลฉินมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่นานครึ่งค่อนวัน
แม่นมซุยพุ่งตรงไปขึ้นรถม้าทันทีที่มาถึง ฉินหรูเหลียงเริ่มเคลื่อนรถม้าซึ่งมีแสงไฟสลัวๆ อยู่ที่หน้ารถ สะบัดแส้คุมรถให้เคลื่อนไปบนถนนหลวงทันที
อวี้เยี่ยนถูกขังไว้ในโรงเก็บฟืนซึ่งมืดมากจนมองอะไรไม่เห็น นางทั้งเป็นห่วงเฉินเสียนทั้งกลัวที่ต้องอยู่คนเดียวในห้องเล็กๆ มืดๆ เช่นนี้
โรงเก็บฟืนถูกลั่นดาลเอาไว้ ไม่ว่าจะออกแรงอย่างไรนางก็เปิดไม่ออก ตะโกนออกไปก็ไม่มีใครตอบรับ จนในที่สุดจึงได้แต่นั่งขดตัวอยู่ที่มุมห้อง สะอึกสะอื้นอยู่เงียบๆ ขณะที่ในใจก็นึกสาปแช่งเฮ่อโยวเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก มีใครคนหนึ่งหยุดอยู่ข้างนอกโรงเก็บฟืน อวี้เยี่ยนไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนดีหรือคนเลว นางจึงหดตัวอยู่ในมุมนั้นโดยไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
ผ่านไปไม่นานก็มีของบางอย่างยัดเข้ามาในช่องว่างข้างใต้โรงเก็บฟืน อวี้เยี่ยนเห็นได้รางๆ จากแสงที่ส่องลอดเข้ามาจากข้างนอกว่านั่นคือหมั่นโถวลูกหนึ่ง
อวี้เยี่ยนถามไปทันที “ท่านเป็นใครน่ะ”
“ยังไม่ได้กินข้าวเย็นไม่ใช่หรือ รับไปกินซะสิ”
อวี้เยี่ยนจำได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของเฮ่อโยว นางวิ่งเข้าไปเตะประตูอยู่พักหนึ่งพลางก่นด่าไปว่า “ท่านมันโหดร้ายเลือดเย็น ยังกล้ามาอีกนะ! ปล่อยข้าออกไป! ข้าจะสู้กับท่าน!”
เฮ่อโยวยังคงสวมชุดมงคลสีแดง เขานั่งยองๆ อยู่ที่หน้าประตูโรงเก็บฟืนและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าคิดจะสู้กับข้า ข้าจะปล่อยเจ้าออกมาได้อย่างไร”
อวี้เยี่ยนเตะจนเหนื่อย นางพักหายใจ จากนั้นจึงกัดฟันกรอดและเอ่ยอย่างเคียดแค้นว่า “ตอนนั้นองค์หญิงช่วยคนเนรคุณอย่างท่านไปได้อย่างไรนะ! ท่านมาทำอะไร! มาเพื่อโม้รึ ว่าตอนนี้ท่านเก่งกล้าแค่ไหน!”
เฮ่อโยวเอ่ยว่า “ถ้าข้าไม่มาที่นี่ เวลานี้ข้าก็ควรไปจะไปที่เรือนหอ หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าไปที่นั่น”
อวี้เยี่ยนเงียบไป แน่นอนว่าเธอไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
เฮ่อโยวจึงพูดอีกว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล องค์หญิงจิ้งเสียนสบายดี หมั่นโถวนี่เจ้าจะกินหรือไม่กิน”
อวี้เยี่ยนถามว่า “ท่านมีเจตนาจะทำอะไรกันแน่!”
“ข้าวางหมั่นโถวไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน จะกินหรือไม่กินก็ตามใจเจ้า ถ้าเจ้ายอมทนหิว เกรงว่าพรุ่งนี้เช้าคงจะไม่มีแรงไปปรนนิบัติองค์หญิงจิ้งเสียน”
พูดจบเฮ่อโยวก็เลิกสนใจอวี้เยี่ยนและหันหลังเดินจากไป
ท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ ปลอดโปร่ง
ก้อนเมฆที่ปกคลุมอยู่สลายหายไป ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลเริ่มปรากฏให้เห็นความแจ่มใส แสงจันทร์นวลผ่องส่องสว่างลงมาดั่งสายน้ำ สะท้อนให้เห็นทางหลวงที่คดเคี้ยวไปมาในแถบชานเมือง ฉายให้เห็นชายคาสูงต่ำของบ้านเรือนประชาชน
ตอนนี้ดึกมากและไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่โมงกี่ยามแล้ว
บรรยากาศนอกเรือนเงียบสงัด ในกำแพงรั้วสี่เหลี่ยม แสงของดวงจันทร์ฉาบฉายอย่างเลือนรางอยู่บนพื้น มีเสียงหรีดหริ่งเรไรดังขึ้นมาจากในพงหญ้าเป็นบางครั้งบางคราว
ตลอดระเบียงทางเดินมีโคมไฟสีแดงจุดติดไว้ทุกๆ สิบก้าว นอกจากเงาของตะเกียงที่ทับทาบลงมา ตอนนี้ก็ไม่มีใครอีกเลย
บ่าวทุกคนเข้านอนไปแล้ว และคงต้องรอจนกระทั่งเช้าจึงจะมีใครสักคนออกมา
เทียนสีแดงภายในเรือนหอวูบไหว ม่านบางๆ อันอบอุ่นห้อยปรกลงมา
เฉินเสียนไม่รู้ว่าตนเองเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอหลับไปนานแค่ไหนแล้ว
อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อรู้สึกผ่อนคลาย เธอจึงรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ แม้จะถูกซูเจ๋อกดอยู่เช่นนั้นเธอก็ยังหลับลง
แต่เฉินเสียนรู้สึกไม่ค่อยมีสติ เธอรู้สึกว่าร่างกายเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกเธอยังไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ต่อมาเธอก็รู้สึกร้อนจนเริ่มสงสัยขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะพยายามดึงสติ
เธอรู้สึกเหมือนกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น
แม้ว่าเหมันตฤดูเดือนสิบสองจะผ่านพ้นไปแล้ว และตอนนี้เป็นช่วงวสันตฤดูที่อากาศอบอุ่นและมีดอกไม้บานสะพรั่ง แต่อากาศในยามค่ำยังคงหนาวเย็นเล็กน้อย ไม่น่าจะทำให้ร้อนได้จนถึงเพียงนี้
เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย ร่างกายของซูเจ๋อที่กดทับลงมาทำให้เธอรู้สึกแปลกอย่างอธิบายไม่ถูก
ก่อนที่เธอจะขมวดคิ้วมุ่น ซูเจ๋อก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
เขาได้ยินเสียงเฉินเสียนหอบหายใจเบาๆ และลมหายใจของเขาก็หนักหน่วงเช่นกัน เขาลุกขึ้นและมองหญิงสาวในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงซึ่งอยู่ข้างกาย
นัยน์ตาวาวโรจน์ราวกับจะกลืนกินเธอเข้าไป
เมื่อเฉินเสียนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเธอจึงสบตาเข้ากับสายตาของซูเจ๋อเข้าพอดี แววตาของเธอเป็นประกายงามล้ำ
น้ำหนักที่กดทับบนร่างกายคลายลงในฉับพลัน จากนั้นเธอก็รู้สึกเบาหวิว
ลำคอของเฉินเสียนแห้งผาก เธอเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่าว่า “ซูเจ๋อ ข้าร้อนเหลือเกิน…”
ซูเจ๋อยกมือขึ้นแตะหน้าผากพลางถามว่า “เราหลับไปนานแค่ไหน”
“ไม่รู้สิ…”
“อาจจะเป็นเพราะสุรานั่น” ซูเจ๋อเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าและกระตุกยิ้มมุมปากอย่างจนปัญญา
เส้นผมตกลงมาตามมือที่แตะอยู่บนหน้าผาก ดูเหมือนว่าเขาเองก็รู้สึกร้อนจนไม่สบายตัว นิ้วมือข้างหนึ่งงอเล็กน้อยและยกขึ้นมาจัดคอเสื้อ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อเห็นซูเจ๋อขยับคอเสื้อเช่นนั้น เฉินเสียนจึงรู้สึกร้อนขึ้นมา เธอกลืนน้ำลายและเอื้อมมือไปปัดเส้นผมยาวๆ ออกจากคอ แขนเสื้อเลื่อนลงมาจากข้อมือจนเผยให้เห็นท่อนแขน
เฉินเสียนหรี่ตา ขอบตาค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงหยาดเยิ้ม เธอถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้น มีใครวางยาพิษงั้นหรือ”
ทุกการเคลื่อนไหวและทุกๆ การแสดงออกบนสีหน้าของเฉินเสียนแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนที่มิอาจจะบรรยาย ท้าทายกิเลสตัณหาของซูเจ๋อ
ซูเจ๋อคว้าข้อมือที่เปลือยเปล่าของเธอขึ้นมา อดทนกับคลื่นความร้อนภายในกายที่ค่อยๆ เดือดพล่าน วางนิ้วลงบนข้อมือของเธอ ยืดตัวขึ้นและเอ่ยเบาๆ ว่า “เกรงว่าจะไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นยาสมุนไพร เป็นข้าเองที่ประมาท ไม่คิดว่าจะมีอะไรผสมอยู่ในสุรา”
เฉินเสียนรู้สึกร้อนจนมึนงงราวกับอยู่ในเมฆหมอก “อะไรที่ว่า… มันคืออะไร”
“คงจะเป็นยาปลุกกำหนัด”
เฉินเสียนเริ่มมีเสียงขึ้นนาสิกและรู้สึกล้าไปจนถึงกระดูก “มีคนแอบวางยาในสุรา?” เพื่อช่วยเธอกับเฮ่อโยว?
ถ้าไม่ใช่เพราะซูเจ๋อมาหาในคืนนี้ เธอคงจะไม่ดื่มสุรานั่น
ซูเจ๋อตอบอย่างอมพะนำว่า “ไม่น่าจะใช่ เรือนหอแห่งนี้ไม่ได้จัดแต่งโดยคนจากวัง แต่เป็นการขอให้แม่สื่อมาจัดการ ดังนั้นทุกอย่างในห้องแต่งงานจึงถูกจัดเตรียมไว้ตามคำสั่งของแม่สื่อ”
เขามองตรงไปที่เฉินเสียนและกล่าวอีกว่า “ยาที่ผสมลงไปในสุราอาจจะตั้งใจใช้เพื่อช่วยส่งเสริมคู่บ่าวสาวในคืนวันเข้าหอ เพียงแต่ว่าข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้”