ในตรอกมืดที่ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมา บรรยากาศเริ่มมืดมน สายลมหนาวพัดผ่าน แม้จะไม่ได้รุนแรงเหมือนกับใบมีดที่กรีดเฉือนหน้าผู้คน แต่ก็คล้ายกับแฝงไว้ด้วยเวทมนตร์ พวกมันค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในเสื้อผ้าทีละนิด
ไคลน์ซึ่งอยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ยกมือขึ้นมากดหมวกทรงสูงเหนือศีรษะเมื่อเห็นมิสเมจิกเชี่ยนเดินเข้ามาในตรอกด้วยความระมัดระวัง อีกฝ่ายแต่งกายด้วยผ้าพันคอสีเข้มและเสื้อนอกขนสัตว์หนา ถือกระเป๋าที่ดูท่าจะหนัก
ในอาณาจักรโลเอ็นซึ่งได้รับอิทธิพลจากโบสถ์รัตติกาล เสื้อผ้าจำนวนหนึ่งที่มักสงวนไว้ให้เพศชายใส่ จะมีรูปแบบเฉพาะของสตรีด้วยเช่นกัน แตกต่างจากอินทิสที่สตรีชนชั้นสูงมักนั่งหันข้างห้อยขาด้วยอานม้าแบบพิเศษ แต่โลเอ็นจะมีชุดขี่ม้าสำหรับสตรีโดยเฉพาะ
ไคลน์ดึงมือซ้ายที่สวมยุบพองหิวโหยออกจากกระเป๋ากางเกง เหยียดนิ้วทั้งห้าพร้อมกับพูด
“ต้นฉบับเสร็จหรือยัง?”
ฟอร์สพลันสัมผัสถึงลมหนาวที่พัดปะทะลำคอ กล่าวเสียงสั่น
“เพียงพอสำหรับตีพิมพ์สองสัปดาห์…ส่งผลให้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไปแล้ว”
โดยไม่รอให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ถามเพิ่มเติม เธอรีบเสริม
“ฉันนำปากกา หมึก และกระดาษไปด้วย”
ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา เดินไปสองก้าว นำฝ่ามือคว้าไหล่มิสเมจิกเชี่ยน
พร้อมกันนั้น ฟอร์สตั้งสมาธิ สร้างภาพมายาของหนังสือภายในดวงตา
สภาพแวดล้อมรอบตัวเธอเข้มข้นขึ้น ฉูดฉาดขึ้น สีแดงยิ่งแดงก่ำ สีดำยิ่งดำมืด สีน้ำตาลยิ่งคมชัด ซ้อนทับกันหลายชั้น ประหนึ่งกำลังเห็นภาพหลอนจากการเสพยา
ฟอร์สซึ่งเคยชินกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เริ่ม ‘บันทึก’ การเดินทางลงไปอย่างไม่ยากเย็น พลางสังเกตวิวทิวทัศน์ระหว่างการท่องเที่ยวอย่างละเอียด จดจำลักษณะของสัตว์วิญญาณที่แปลกประหลาดจนขึ้นใจ
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ การมองเห็นของเธอพลันมืดลง ผิวกายสัมผัสถึงความหนาวเย็นที่เธอไม่เคยพบเจอ ร่างกายสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม
ฟอร์สใช้มายากลเพื่อทำให้สภาพแวดล้อมสว่าง มองไปรอบตัวจนกระทั่งพบว่าเธออยู่ในบ้านไม้ และเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้จากไปแล้ว
ที่นี่ที่ไหน…ฟอร์สมองไปทางหน้าต่าง พบว่ามีบางสิ่งปกคลุมอยู่จนแสงสว่างมิอาจส่องผ่าน
ฉากดังกล่าวทำให้เธองงงวย จึงตัดสินใจเดินไปที่ประตู เหยียดมือขวาออกและดึงประตูกลับ
ท่ามกลางเสียงเสียดสีของไม้ เธอเห็นหิมะกองสูงจนขวางทางออกโดยสมบูรณ์
“…” ฟอร์สตกตะลึง คำเตือนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังก้องภายในใจ
“ทำตัวให้อุ่นเข้าไว้…”
ภายในหนึ่งถึงสองนาทีหลังจากนั้น ไคลน์เดินทางอ้อมทะเลเพื่อทำให้ยุบพองหิวโหยสงบลงด้วยเหยื่อที่คัดเลือกเป็นอย่างดี จากนั้นก็กลับบ้านเช่าในกรุงเบ็คลันด์ รอให้ราชินีเงื่อนงำและชารอนรายงานความผิดปรกติ
อันที่จริง ตามนิสัยของไคลน์ มันมักจะออกไปสืบข่าวด้วยตัวเองอีกทางหนึ่ง เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าทริสซี่ไม่คิดจะช่วยมิสเตอร์ประตูออกมา ทว่า เมื่อพิจารณาเรื่องที่ซาราธยังอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ ชายหนุ่มตัดสินใจพับแผนการออกไปเตร็ดเตร่นอกบ้านทิ้ง
ภายใต้อิทธิพลของกฎการดึงดูดระหว่างตะกอนพลัง ไคลน์เชื่อว่าหากตนออกไปเตร็ดเตร่ตามถนนในกรุงเบ็คลันด์ ในไม่ช้าก็เร็วจะได้พบกับซาราธหรือแม้กระทั่งอามุนด์
เฮ้อ…ทั้งที่คิดเราวิธีปลอมตัวอย่างแนบเนียนไว้แล้ว แค่ซื้อจักรยานและเครื่องแบบบุรุษไปรษณีย์ เตรียมขี่ตระเวนไปตามย่านต่าง ๆ ของเมืองหลวง…ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปรกติแน่นอน…ไคลน์จิบ ‘ยางไม้กอลลั่ม’ เหล้าที่ซื้อมาจากทะเล เอนหลังพิงเก้าอี้ สั่งให้หุ่นเชิดเอ็นยูนและโจนาสบีบนวดไหล่และขา
…
ดินแดนเทพทอดทิ้ง ในค่ายหมู่บ้านยามบ่าย
ทันทีที่เดอร์ริค·เบเกอร์ลืมตา มันลุกขึ้นยืน เปิดประตู เดินอ้อมกองไฟตรงไปยังห้องพักของเจ้าเมือง
เด็กหนุ่มระงับความตื่นเต้น สูดลมหายใจยาว ยกมือขึ้นเคาะประตูไม้แผ่นหนา
“เชิญเข้ามา” เสียงทุ้มลึกของโคลิน·อีเลียดดังขึ้น
เดอร์ริคบิดที่จับ ผลักประตูเข้าไปและเดินตาม เมื่อเห็นนักล่าปีศาจเจ้าของผมสีเทายุ่งเหยิงและรอยแผลเป็นเก่า เด็กหนุ่มโพล่งขึ้น
“ท่านเจ้าเมือง ผมพบเห็ดแปลก ๆ ที่กินได้!”
โคลิน·อีเลียดเงียบไปสักพัก กล่าวเชื่องช้า
“เห็ด?”
เมื่อเห็นความฉงนจากสีหน้าเจ้าเมือง เดอร์ริคหวนนึกถึงเห็ดที่เคยพบเจอในอดีต
เห็ดภายในวิหารร้างของพระผู้สร้างเสื่อมทราม สีของมันทั้งสดใสและชวนให้เจริญอาหาร แต่อัดแน่นไปด้วยอันตรายอย่างไร้ข้อกังขา
เด็กหนุ่มสงบสติลง พยักหน้าพลางอืมในลำคอ
“ครับ…เห็ด…เห็ดหลากหลายสายพันธุ์ สามารถกินเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาดเพื่อเจริญเติบโตและขยายพันธุ์…”
เดอร์ริคอธิบายรายละเอียดของเห็ดอย่างตั้งใจ รวมถึงเล่าว่านม เนื้อวัว ปลา และแป้งคืออะไร
ในตอนสุดท้าย เด็กหนุ่มเน้นย้ำว่าต้องทำให้เห็ดสุกก่อนกินเท่านั้น และต้องระวังประเภทที่มีพิษ
โคลิน·อีเลียดฟังอย่างเงียบงันโดยปราศจากอารมณ์ ไตร่ตรองสักพักและพูด
“พวกมันมีอันตรายยังไงบ้าง…หรือต้องใส่ใจเรื่องใดเป็นพิเศษ?”
“อึก…” ใบหน้าเดอร์ริคแดงระเรื่อ “ผมขอกลับไปศึกษาดูใหม่”
กล่าวจบ โดยไม่รอให้เจ้าเมืองตอบสนอง มันหันหลังเปิดประตูและวิ่งออกไป
กลับถึงห้อง เด็กหนุ่มสูดลมหายใจยาว นั่งลงและสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล ฝากคำถามไปถึงเดอะเวิร์ล
เหนือหมอกสีเทา ไคลน์นั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล เคาะนิ้วบนที่วางแขนพลางพึมพำ
“ยังมีอันตรายใดอีกบ้าง…”
แม้ว่าจินตนาการ ความกระฉับกระเฉง และความคิดสร้างสรรค์ของแฟรงค์จะทำให้เรากลัวนิดหน่อย…แต่ถึงยังไงหมอนั่นก็เป็นแค่ผู้วิเศษลำดับห้า เห็ดของแฟรงค์จะอันตรายสักแค่ไหนเชียว? เมืองเงินพิสุทธิ์ที่ดิ้นรนท่ามกลางความมืดมานานหลายปี น่าจะจัดการกับอันตรายที่เกิดจากเห็นได้ไม่ยาก…
การกลายพันธุ์อันน่าสยดสยองบนอนาคตกาลขณะแล่นไปบนน่านน้ำซากสมรภูมิแห่งเทพ ทั้งการมีน้ำนมไหลออกมาจากเรือและโจรสลัดหัวแตงโม นั่นเกิดจากอิทธิพลของออร่าพระแม่ธรณีที่ยังหลงเหลือ คนร้ายตัวจริงคือเทพ ใช่แฟรงค์สักหน่อย…
เดี๋ยวนะ…ถ้าดินแดนเทพทอดทิ้งเกี่ยวพันกับการล่มสลายของเทพสุริยันบรรพกาลและกุหลาบไถ่บาป ออร่าที่ยังหลงเหลือจากสงครามอาจไม่ได้มีเพียง ‘รัตติกาล’ ‘ปกปิด’ ‘เสื่อมทราม’ และ ‘วายุ’ แต่ยังรวมถึง ‘สุริยัน’ และ ‘ธรณี’ …
นี่มัน…
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก เสกเดอะเวิร์ลขึ้นมาสวดวิงวอน:
“…หากสัมผัสกับออร่าของทวยเทพในขอบเขตธรณี เห็ดเหล่านั้นอาจเกิดการกลายพันธุ์ที่ยากจะคาดเดา…”
หลังจากได้รับคำตอบ เดอร์ริครีบร้อนออกจากห้อง วิ่งไปจนถึงประตูห้องเจ้าเมือง
ในคราวนี้ ประตูเปิดออกโดยไม่ต้องเคาะ
เดอร์ริคหันกลับไปมองพวกพ้องที่ยืนข้างกองไฟเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าห้องและปิดประตูไม้
“ออร่าของทวยเทพในขอบเขตธรณี อาจทำให้เห็ดเกิดการกลายพันธุ์ที่ยากจะคาดเดา” เด็กหนุ่มเล่าในสิ่งที่รู้ออกไป โดยไม่อธิบายว่าตนได้รับข้อมูลมายังไง
นักล่าปีศาจโคลินยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า ทวนคำด้วยเสียงต่ำ
“พลังทวยเทพในขอบเขตธรณี…”
หลังจากสิ้นเสียง มันเงียบไปนานกว่าสิบวินาทีก่อนจะพูด
“เมื่อกลับถึงเมือง พวกเราจะวางแผนเพาะปลูกมันและวิจัย…ราคาเท่าไร?”
เดอร์ริครีบตอบ
“สูตรโอสถนักถลุงโลหะโบราณ”
โคลินพยักหน้าเชื่องช้า
“สิ่งนี้ต้องผ่านความยินยอมจากหกสภาอาวุโส ไว้กลับถึงเมืองเมื่อไร ผมจะรีบประชุมเรื่องนี้ทันที”
ทีมสำรวจของพวกมันมีแผนจะกลับเมืองเงินพิสุทธิ์ในอีกสองวันข้างหน้า เนื่องจากต้องให้เวลาผู้ที่รอดชีวิตจากการสำรวจ หรือผู้ที่สูญเสียคนสำคัญ ปรับสภาพจิตใจให้กลับเป็นปรกติ นอกจากนั้นอาหารก็ยังมีจำกัด พื้นที่รอบค่ายมิอาจปลูกหญ้าผิวดำ แหล่งอาหารเสริมหาสามารถได้จากการฆ่าสัตว์ประหลาดเท่านั้น ทีมสำรวจจึงมีอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญก็คือ คอยหมุนเวียนกันขนส่งอาหาร
“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคไม่รีบร้อน
มันคุ้นเคยกับขั้นตอนเหล่านี้เป็นอย่างดี
เมื่อเด็กหนุ่มเดินออกจากห้อง โคลินเดินมาที่หน้าต่างและมองไปยังกองไฟกลางค่าย
เปลวไฟกำลังลุกไหม้อย่างเงียบงัน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด แสงสลัวซึ่งช่วยมอบความสว่างไปทั่วค่าย กำลังย่างแวมไพร์ซึ่งร่างกายปกคลุมไปด้วยหนองจนดูน่าขยะแขยง
…
ไม่กี่วันถัดมา ไคลน์ได้รับจดหมายตอบกลับจากราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต แพทริค·เบรนแห่งนิกายวิญญาณ และชารอน ยืนยันว่าในกรุงเบ็คลันด์ไม่มีการกว้านซื้อวัตถุดิบในลักษณะผิดปรกติในช่วงที่ผ่านมา
พิจารณาจากสิ่งที่เห็น สำหรับคราวนี้ แม่มดทริสซี่ตั้งใจจะแค่คุยกับมิสเตอร์ประตูเฉย ๆ …อาจเป็นการติดต่อกันครั้งแรกของพวกเขา…แต่ไม่ว่ายังไง เราก็ต้องตักเตือนเธอล่วงหน้า แต่ต้องกระชับที่สุด เพราะยิ่งพูดมากเท่าไรก็ยิ่งมีโอกาสผิดพลาด และเราไม่สามารถเผยไพ่ตายของตัวเอง…ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ควานหาเส้นผมของคนตายที่มิสเมจิกเชี่ยนรวบรวมมาให้ คลี่กระดาษออกและเขียน
“…นี่คือสิ่งที่คุณต้องการ เส้นผมจากลูกหลานของตระกูลอับราฮัม…ผู้จัดหามีคำถามฝากมาด้วย…พวกเขาอยากทราบว่า ตระกูลอับราฮัมต้องทำอย่างไรจึงจะขจัดคำสาปได้…”
“…สุดท้ายนี้ ผมขอเตือนว่าคุณห้ามประมาทมิสเตอร์ประตู”
ไคลน์พับกระดาษจดหมาย สอดมัดเส้นผมเข้าไป หยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยขึ้นมาเป่า
ท่ามกลางความเงียบงัน ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เดินออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับสี่หัวที่ดูงดงาม
“ส่งให้กับไอ้งั่งที่ถูกล่อลวง…” ไคลน์กล่าวขณะยื่นจดหมาย
เมื่อสิ้นเสียง มันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบถาม
“คุณยังระบุตำแหน่งของเขาได้ไหม”
“ได้…” หนึ่งในสี่หัวตอบคำถาม ตามด้วยงับจดหมาย
ไคลน์หรี่ตาลงทันที
…………………………