ตอนที่ 168 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (17)
กาลเวลาราวกับผ่านไปชั่วนิรันดร์ แน่นอนว่าหากทำได้ ตันหวายขอยอมติดอยู่ในห้วงเวลาอันแสนยาวนานเสียดีกว่าเผชิญหน้ากับคำถามของเฟิงสือหลี่
(ท่านเจ้าของร่าง ท่านบอกเขาไปแล้วอย่างไร อย่างไรเสียร่างกายของท่านในตอนนี้ก็ไม่อาจอยู่ร่วมกับเขาได้)
ตันหวายไม่เอ่ยตอบ แต่กลับอยากฟาดไอ้ระบบสวะนี่ให้ตายกันไปข้าง
เฟิงสือหลี่เม้มปากพลางผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตันหวายหย่อนตัวลงนั่งแทนที่อย่างห่อเ**่ยว ฉับพลันนั้นก็ตะลึงลานไปทันใด
คนในพรรคมารร่ำรวยกันขนาดนี้เชียวหรือ!
เก้าอี้ตัวนี้ทำมาจากทองคำ! ทองคำ!
ตันหวายพลันฉุกคิดว่า เมื่อก่อนให้เฟิงสือหลี่อาศัยอยู่ในกระท่อมน้อยเก่าโทรมบนฉีเฟิงซานถือเป็นการกดขี่เขามากเกินไปหรือเปล่า
เฟิงสือหลี่ไม่รับรู้เลยว่าคนตรงหน้าเบนความสนใจไปที่เก้าอี้เรียบร้อยแล้ว จึงหันหลังกล่าวกับเขา “เมื่อไม่นานนี้ ข้าเพิ่งกลับไปเยือนฉีเฟิงซานอีกครั้ง”
ตันหวายไม่ตอบรับ สายตาจับจ้องเก้าอี้พลางคิดว่าเมื่อก่อนเฟิงสือหลี่กดขี่เขามากเกินไปหรือไม่ ถึงทำให้เขาลงมือสังหารอย่างไร้ความปรานีเช่นนี้
“แต่ก่อนข้าไม่มีหน้าไปดูซือจุนเสียด้วยซ้ำ” เฟิงสือหลี่หัวเราะเยาะกับตนเอง “กระทั่งศพของเขาข้าก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เพียงแค่เฝ้ามองอยู่ไกลๆ ปีละหนเท่านั้น”
ตันหวายกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ครุ่นคิดว่าเฟิงสือหลี่มีความสุขกับชีวิตในฉีเฟิงซานหรือพรรคมารมากกว่ากันแน่
“หากแต่คราวนี้ จู่ๆ ข้าก็นึกอยากไปดูสักครั้ง” เฟิงสือหลี่กล่าวเยาะเย้ยตนเอง “เจ้าทายดูสิว่าคราวนี้ข้าพบอะไร”
ตันหวายได้สติกลับคืนมาในที่สุด จ้องมองเขาด้วยแววตาสับสน
เฟิงสือหลี่ยังคงหันหลังให้ตันหวาย น้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับกำลังเล่าเรื่องของคนอื่นโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ความสัมพันธ์ระหว่างคนคนนั้นกับเขาคงจะไม่ดีสักเท่าไหร่นัก ไม่เช่นนั้นทำไมเขาถึงยังหัวเราะทั้งที่เล่าเรื่องโชคร้ายของคนอื่น
เขาบรรยายเรื่องราวอย่างลื่นไหล สุ้มเสียงอันไพเราะชวนให้อดเคลิบเคลิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“ข้าพบว่า ศพของอาจารย์ข้าผู้ล่วงลับไปนานหลายปีกลับเป็นของปลอม เจ้าว่ามันน่าแปลกหรือไม่?” เฟิงสือหลี่กำลังยิ้ม ทว่ารอยยิ้มของเขากลับทำให้ตันหวายรู้สึกเสียวสันหลัง
ตันหวายเม้มปากพลางยักไหล่ แสร้งทำเป็นกล่าวอย่างสบายใจ “หากข้าบอกไปแล้ว ท่านจะเชื่อหรือ?”
“ไม่เชื่อเพราะเหตุใดเล่า?” เฟิงสือหลี่หรี่ตามอง “เว้นเสียแต่เจ้ากำลังกุเรื่องขึ้นเอง”
“เช่นนั้นหากข้าบอกว่าข้าเป็นวิญญาณสิงสถิต—”
“เป็นไปไม่ได้!” เฟิงสือหลี่เม้มปาก “วิญญาณสิงสถิตหรือไม่ข้าย่อมสัมผัสได้”
ตันหวายแอบกลอกตาเงียบๆ คิดในใจว่าเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากโดนผีเข้าสิงนักหรอก เอ็งดูสิ พูดไปเอ็งก็ไม่เชื่ออยู่ดี
ช่วยไม่ได้ คงต้องหาเหตุผลมาแก้ต่างไปก่อน
ตันหวาย “ว่ากันตามตรง ที่จริงแล้วข้าความจำเสื่อม”
เฟิงสือหลี่ไม่เอ่ยวาจา เพียงจดจ้องรอคอยให้เขากล่าวต่อไป
“พอข้าตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้เลย” ตันหวายกล่าวอย่างห่อเ**่ยว “แต่ข้าเกรงศัตรูจะรู้ว่าข้าฟื้นคืนชีพแล้วตามมารังควาน ข้าจึงใช้อาคมแปลงโฉมตนเองเพื่อพรางตัวจากศัตรู”
เฟิงสือหลี่ไม่ออกความเห็น ดวงตาจ้องเขม็งมายังตันหวายอย่างเงียบเชียบ ราวกับกำลังไตร่ตรองความเป็นจริงในถ้อยคำของเขา
ตันหวายถูกเขาจ้องจนอกสั่นขวัญผวา ได้แต่รวบรวมความกล้ายืดอกตั้งรับสายตาพินิจพิจารณาของเขา
มิกล่าวมิได้ ผู้ที่ยังสามารถยืนผงาดอยู่เบื้องหน้าสายตาของประมุขมารย่อมมิใช่มนุษย์ปุถุชนธรรมดา
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน นานเสียจนตอนที่ตันหวายคิดว่าเฟิงสือหลี่จับไต๋เขาได้อีกครั้ง สุดท้ายเฟิงสือหลี่จึงเบือนสายตากลับไป ก่อนพยักหน้าอย่างนิ่งเฉย “ความจำเสื่อมก็ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยรื้อฟื้นให้เจ้าเอง เช่นเดียวกัน เจ้าจงวางใจเถิด ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเจ้าล้วนต้องพบเจอจุดจบอันเลวร้าย รวมถึงข้า”
ตันหวาย ‘…เปล่านะพี่ชายเข้าใจผิดแล้ว! ข้าไม่อยากแก้แค้น ข้าแค่อยากกอบกู้สำนักจู๋กวง ชักนำท่านสู่หนทางที่ถูกต้อง!’
แต่ตันหวายไม่กล้าเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เพียงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เช่นนั้นท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เฟิงสือหลี่นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ตันหวายคิดว่าเขาไม่อยากเล่า ถึงอย่างไรตัวการสำคัญของเรื่องนี้ก็คือตัวเขาเอง เล่าไปก็คงรู้สึกตะขิดตะขวงใจชอบกล
เขาถามหาใช่เพราะต้องการรู้ว่าเฟิงหลิวหลีตายอย่างไร สุดท้ายแล้วผู้ตายย่อมรู้แจ้งกว่าใครทั้งนั้น เขาที่สวมร่างของผู้ตายยิ่งรู้แจ้งกระจ่างชัดทุกสิ่ง
“คนที่สังหารเจ้า อยู่ข้างกายเจ้ามาตลอด” เฟิงสือหลี่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่นิ้วมือที่สั่นระริกไม่หยุดเผยให้เห็นว่าเขากำลังวิตกกังวล
ตันหวายเลื่อนสายตาไปมองมือของเฟิงสือหลี่อย่างไม่สะทกสะท้าน แสร้งทำหน้าตาตื่นถามว่า “อะไรกัน เป็นเจ้าเองหรือนี่!”
อาจเป็นเพราะตันหวายแสดงสมบทบาทเกินไป เฟิงสือหลี่จึงนิ่งเงียบสักครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “แม้จะเป็นความผิดข้าเกือบทั้งหมด แต่พวกมันก็ต้องรับผลกรรมเช่นกัน ข้าจะจัดการพวกมันเรียงหัวทีละคน จากนั้นค่อยจัดการตัวข้าเอง”
ตันหวายตะลึงงันไปชั่วขณะ หวาดกลัวคำขู่ของเฟิงสือหลี่จนต้องรีบเอ่ยห้ามปราม “ไม่ๆๆ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว พวกเราปล่อยให้มันแล้วไปเถอะ ข้าไม่ถือสาเลยสักนิดจริงๆ!”
เฟิงสือหลี่เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง แววตาเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
ตันหวายจนปัญญา เอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้าน่าจะชื่อว่าเฟิงหลิวหลี เป็นประมุขของสำนักจู๋กวง ถึงข้าจะความจำเสื่อม แต่ความตั้งใจหนึ่งเดียวของข้าคือการฟื้นฟูสำนักจู๋กวง เรื่องอื่นข้าไม่สนใจ”
เพราะฉะนั้นพี่ชาย ท่านล้มเลิกเสียเถอะ กลับสำนักจู๋กวงพร้อมกับข้าจะดีกว่า
ตันหวายจวนจะร้องไห้เต็มที ทำไมปกติไม่เคยเห็นไป๋เยว่ดื้อรั้นขนาดนี้เลย ตันหวายรู้สึกว่าภารกิจของตนกำลังเผชิญกับบททดสอบอันท้าทาย
ตอนที่ 169 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (18)
อันที่จริงการตายของเฟิงหลิวหลีมีเงื่อนงำซ่อนเร้น เฟิงหลิวหลีไม่เคยล่วงรู้ เดิมทีเขาคิดว่าศิษย์น้อยของตนถูกผู้อื่นยุยงส่งเสริม จนหลงคิดว่าเขาเป็นศัตรูที่สังหารบิดา และเข่นฆ่าเขาอย่างไร้ความปรานี
หากทว่าไม่ใช่ แท้จริงแล้วไม่ใช่
ในความทรงจำของเฟิงหลิวหลี คำพูดประโยคสุดท้ายที่เฟิงสือหลี่กล่าวกับเขาก็คือ ในที่สุดเขาก็ได้ชำระแค้น เพียงแต่ความแค้นนี้กลับไม่ใช่ความแค้นที่สังหารบิดา
“ข้าจะสังหารอาจารย์ตัวเองเพื่อพ่อแม่ที่ไม่เคยเห็นหน้าได้อย่างไรกัน” เฟิงสือหลี่แค่นหัวเราะ “ข้าคิดว่าตัวเองสังหารศัตรูอยู่จริงๆ”
เฟิงสือหลี่หลับตาลง “ข้าลงเขาครั้งแรกเมื่ออายุได้สิบแปดปี นึกลำพองใจว่าตนเองมีวิชาติดตัว จึงประมาทฝีมือผู้อื่นมาโดยตลอด”
“ทุกสิบปีจะมีงานชุมนุมของเหล่าศิษย์ผู้มีฝีมือโดดเด่นจากสำนักต่างๆ ในยุทธภพ” ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เฟิงสือหลี่ขบกรามกล่าว “ข้าไม่รู้เลยว่า สำนักจู๋กวงกลับตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาสำนักเซียนทั้งหลาย”
“เจ้าไม่ชอบสุงสิงกับสำนักอื่นมาแต่ไหนแต่ไร สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดในสายตาของผู้อื่น สำนักจู๋กวงนับวันยิ่งแข็งแกร่ง พวกเขาจึงเริ่มวิตกว่าหากสำนักจู๋กวงได้เป็นใหญ่แล้วจะไม่มีที่ให้ซุกหัว”
“แต่ละสำนักล้วนมีสัมพันธไมตรีต่อกัน เว้นแต่สำนักจู๋กวงที่อยู่อย่างสันโดษ ด้วยเหตุผลนี้เอง สำนักจู๋กวงเลยกลายเป็นหนามยอกอกของพวกเขา”
ตันหวายนิ่งอึ้งไป เขาคิดว่าสาเหตุที่ผู้บำเพ็ญเพียรสามารถฝึกวิชาเซียน ย่อมเป็นเพราะว่าระงับกิเลสของตนได้โดยเด็ดขาด ใครจะรู้ว่าที่แท้ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ธรรมดา
คนผู้เดียวที่สามารถระงับจิตอกุศลของตนได้ คงจะมีแต่เฟิงหลิวหลีที่บำเพ็ญวิถีบรรพชิตผู้ละซึ่งกิเลสเท่านั้น
“ข้าย่อมคิดเช่นเดียวกับอาจารย์ ไม่อยากข้องแวะกับคนเหล่านั้นมากนัก แต่พวกเขากลับดึงดันจะเชิญข้าไปดื่มชาให้ได้” เฟิงสือหลี่กล่าวอย่างเหยียดหยัน “คนที่ทั้งยุทธภพไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงเรียงนามเช่นข้า เพียงอาศัยความเอ็นดูจากอาจารย์จนได้เข้าไปอยู่ที่นั่น เหตุใดพวกเขาต้องเชิญข้าดื่มชาเล่า”
เฟิงสือหลี่หายใจหอบถี่ แต่ยังกล่าวต่อไปว่า “บัดนี้ข้ารู้แล้ว มิใช่เพราะอยากหลอกใช้ข้าให้กำจัดอาจารย์หรอกหรือ?”
“ท่าน…” ตันหวายนึกอยากถาม เกิดอะไรขึ้นในงานชุมนุมจนทำให้เขาเสียสติพลั้งมือสังหารอาจารย์ที่ตนเองเคารพรัก และสิ่งใดชักนำให้เขาเข้าสู่วิถีมารกันแน่
“มีกู่ในสุรา” เฟิงสือหลี่กล่าว “หนอนกู่ที่ใช้เพื่อควบคุมผู้ฝึกวิชาเซียนโดยเฉพาะ ตอนนั้นข้าถูกพิษจนหมดสติไป”
“พูดตามตรง ถ้าให้ข้ามานึกเอาตอนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้น ข้าก็คงนึกไม่ออก สิ่งเดียวที่จดจำได้ ก็คือข้าลงมือสังหารซือจุนด้วยตัวเอง”
ตันหวายรู้สึกว่าเฟิงสือหลี่อาการไม่สู้ดีนัก อาการเช่นนี้ไม่ใช่สภาวะทางกาย แต่อาจส่งผลให้คลุ้มคลั่งขึ้นมาได้
ตันหวาย “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าปวดหัว”
เฟิงสือหลี่หยุดชะงัก จากนั้นค่อยผ่อนคลายท่าทีวิตกกังวลลงเล็กน้อย ก่อนจะผงกศีรษะ
“มีที่พักให้บ้างหรือไม่?” ตันหวายสำรวจดูกำแพงที่สะท้อนแสงหม่นทึมโดยรอบอย่างอ่อนเพลีย จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการมาพักอยู่ที่นี่มันช่างน่าอึดอัดใจยิ่งนัก
ภายในห้องของเฟิงสือหลี่ไม่ได้อับทึบเท่าข้างนอก แต่กลับสะอาดสะอ้านอย่างยิ่ง ถึงขนาดเงียบสงบจนผิดธรรมดา
ตันหวายนึกออกแล้ว เฟิงสือหลี่ตกแต่งห้องนี้เลียนแบบกระท่อมที่เคยอาศัยอยู่บนฉีเฟิงซาน คงเป็นเพราะโหยหาอาวรณ์ช่วงเวลาเหล่านั้นกระมัง
“ระบบ คุณไม่คิดว่าสำนักอื่นสมควรได้รับโทษจริงๆ หรือ? ทำไมคุณถึงยังอยากให้ผมไปปกป้องลี่ซู” ตันหวายไม่ใช่พ่อพระ คนที่กระทำผิดก็สมควรชดใช้ความผิดของตน
(ใครบอกว่าอยากให้ปกป้องไอ้พวกสวะนั่น) ระบบคิดว่าไอคิวของเจ้าของร่างชักน่าเป็นห่วง (ตอนที่เจียงจิ่นหวายตายเราให้ท่านขวางไว้หรือ?)
(ลี่ซูไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย ผู้เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ครั้งนั้นคือศิษย์คนรองของสำนักฉี่หมิง ไม่ใช่ศิษย์คนโต แต่ว่าคนนอกไม่เคยล่วงรู้ก็เท่านั้น)
ตันหวายตกตะลึง “หมายความว่าอย่างไร ปิดบังไปเพื่ออะไรกัน?”
ระบบหัวเราะเยาะ (สำนักใหญ่ทั้งหลายล้วนหวาดเกรงสำนักจู๋กวง แต่พวกเขาไม่ได้หยาบช้าถึงขั้นหลอกใช้ศิษย์ผู้อื่นสังหารผู้คน เรื่องนี้เกิดจากการกระทำอุกอาจของพวกสวะจองหองอวดดีบางกลุ่มเท่านั้น)
(หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ทุกสำนักต่างก็ลงโทษศิษย์ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ เพียงแต่บทลงโทษหนักเบาแตกต่างกันไป สำนักฉี่หมิงตัดชื่อศิษย์คนรองออกจากทะเบียน ทว่าสำนักอื่นๆ กลับทำเพิกเฉยเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย)
ตันหวายขมวดคิ้ว “ไม่มีใครจัดการหรือ?”
ตันหวายพูดจบก็พลันนึกเสียใจทีหลัง เอาเท้าก่ายหน้าผากคิดยังรู้เลยว่าไม่มีใครจัดการได้ ทุกสำนักล้วนมีพวกสวะ ผู้บงการเรื่องนี้ฉุดลากทุกสำนักลงคลองไปด้วยกัน ใครจะจัดการได้?
ยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นไปแล้ว สำนักจู๋กวงล่มสลายไม่ได้ก่อผลเสียใดๆ แก่พวกเขามิใช่หรือ
“เฟิงหลิวหลีเชื่อใจศิษย์คนนี้มากเกินไป” ตันหวายรู้สึกเจ็บปวด “เชื่อใจถึงขนาดต่อให้ตัวเองกำลังจะตาย ยังคิดว่าศิษย์น้อยแค่หลอกเขาเล่นเท่านั้นเอง”
(ท่านเจ้าของร่างอย่าเศร้าใจไปเลย เรื่องมันผ่านพ้นไปแล้ว ปณิธานของเฟิงหลิวหลีก็ไม่ได้ระบุว่าห้ามแก้แค้นเสียหน่อย)
ระบบแจ้งเตือนด้วยความหวังดี
ตันหวายหรี่ตา คิดว่าระบบพูดจามีเหตุผลยิ่งนัก กอบกู้สำนักจู๋กวงไปพร้อมกับตบหน้าแต่ละสำนักสักฉาดสองฉาด แบบนั้นน่าจะสะใจกว่า
หากแต่ละสำนักสืบสาวมาถึงตัว ก็แค่แสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
จะว่าไปแล้วก็รู้สึกสงสารลี่ซูอยู่เหมือนกัน ต้องแบกรับเคราห์กรรมหนักหนาทีเดียว