เครื่องบินบินข้ามท้องฟ้า เหลือทิ้งไว้แค่หมอกสีขาว
จงเหยียนซีไม่ได้บอกใคร แม้แต่จวงเจียเหวินที่ติดต่อกันตลอดก็ไม่บอก เดินทางมาคนเดียว
เธอรู้ว่าพ่อแม่ของเธออยู่ที่ไหน ดังนั้นหลังจากลงจากเครื่องบิน เธอจึงนั่งแท็กซี่ตรงไปยังเป้าหมาย
เธอลงจากเครื่องบินก็ดึกมากแล้ว รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย เธอบินกลับประเทศและไม่ได้พักผ่อนเลย ก็ไปจัดการเคลียร์เรื่องเจียงโม่หาน แล้วบินตรงมาที่นี่อีก ตอนนี้เธอรู้สึกหมดเรี่ยวแรงแล้ว
เธอมีความคิดเห็นแก่ตัว จึงจงใจเร่งรีบแบบนี้
ทำให้สีหน้าของเธอดูไม่ดี แบบนี้ พ่อแม่จะได้ไม่ต่อว่า และไม่โกรธเธอ
พอเห็นหน้าซีดๆ ของเธอ พวกท่านก็จะรู้สึกสงสาร เรื่องก่อนหน้านี้จะไม่ถามถึง นี่คือแผนของเธอ
ไม่นานรถก็หยุดจอด จงเหยียนซีจ่ายเงินแล้วลงจากรถ ข้างหน้าเธอมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ เปล่งประกายระยิบระยับ ถ้าอยากข้ามฟากไปต้องนั่งเรือ แม่น้ำแห่งนี้มีสะพานให้เดินข้ามไป แต่มันไกล
จากที่นี่มาก เธอต้องเดินลัดเลาะไปอีกไกลเพื่อข้ามสะพาน แต่เธอไม่อยากเดินอีกแล้ว
เธอยกมือขึ้นมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ สองทุ่มกว่านิดหน่อยแล้ว ในช่วงเวลานี้ยังมีเรือรับส่งอยู่ เธอเคยมาที่นี่ จึงรู้ว่าเรือจะสิ้นสุดกี่โมง
แต่วันนี้ดูเหมือนจะมีผิดคาดนิดหน่อย ไม่มีเรืออยู่ในแม่น้ำเลย
เธอยืนอยู่ริมแม่น้ำ คิดกับตัวเองในใจ คาดการณ์ผิดพลาดแล้ว
เธอถอนหายใจออกมา คงทำได้เพียงเดินข้ามสะพนแล้วเดินอ้อมไปฝั่งตรงข้าม แม้จะเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีกว่ายืนบื้ออยู่ตรงนี้
สองฝั่งของแม่น้ำมีหญ้าเขียวขจีที่ตัดแต่งเรียบร้อยขึ้นจนทั่ว ต้นกล้วยถูกปลูกเรียงรายสองข้างทาง อากาศที่นี่ร้อนกว่าในประเทศมาก
ช่วงกลางคืนในเดือนนี้ในประเทศ เริ่มไม่ร้อนแล้ว แต่ที่นี่ยังร้อนมาก
ก่อนถึงสะพานยังมีระยะทางห่างไกลอยู่บ้าง เธอเดินจนเหงื่อออกมามากแล้ว
เธอหาที่สำหรับนั่งพักผ่อน แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ในสมองของเธอปรากฎใบหน้าของเจียงโม่หานขึ้นมา หัวใจของเธอก็เจ็บไปด้วย
เธอแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง แต่กลับลบเลือนความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขาไม่ได้ เธอรักเขามาสามปี ไม่ใช่สิ จะให้พูดตรงๆ น่าจะนานกว่านั้น เธอตกหลุมรักเขาก่อนจะแต่งงานกับเขาแล้ว ไม่อย่าง
นั้นเธอคงไม่แต่งงานกับเขา
ความรักในครั้งนี้ เธอใช้ความกล้าหาญทั้งหมด และความจริงใจทั้งหมดของเธอแล้ว แต่ท้ายที่สุดกลับจบลงด้วยรูปแบบนี้
เดิมที่เธอคิดจะดูโทรศัพท์ แต่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะดูแล้ว เธอสายหัวแรงๆ คิดจะสะบัดความทรงจำที่ยุ่งวุ่นวายออกไปให้หมด
จากนี้ไป ชีวิตของเธอ จะไม่มีเขาอีกต่อไป!
พอเธอลุกขึ้นและคิดจะเดินต่อไป ดูเหมือนจะมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในพงหญ้า แกรก แกรก แกรก พงหญ้าขยับไปมา เธอเดินเข้าไป แล้วแหวกพงหญ้าดูโดยพึ่งแสงไฟข้างถนน จึงเห็นลูก
สุนัขเห็ดดี้ตัวเล็กๆ ขนของมันเป็นสีน้ำตาล ดวงตาของมันกลมโต มีปลอกคอสีแดงผูกไว้ที่คอ ดูเหมือนว่ามีเจ้าของ ตอนนี้คงแอบวิ่งออกมาเล่นข้างนอก
เธอเอื้อมมือไปลูบหัวมัน “น่ารักจริงๆ”
เมื่อก่อนเธอก็เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน แต่ของเธอมันมีขนสีขาวเหมือนหิมะ และเป็นสุนัขตัวใหญ่ ตัวใหญ่กว่าเห็ดดี้มาก
ต่อมาเพราะอายุของมันมากแล้ว จึงเสียชีวิตไป เธอจึงไม่เลี้ยงตัวใหม่อีกเลย
เธอไม่ชอบความโศกเศร้าที่ต้องเผชิญกับความตาย
เธอเอื้อมมือออกไปเพื่ออุ้มลูกสุนัขขึ้นมา “เจ้านายของแกอยู่ที่ไหน”
เห็ดดี้ตัวน้อยนิ่งมากและไม่ดิ้นรน เหมือนว่ามันไม่กลัวคนแปลกหน้า ขยับตัวดุ๊กดิ๊กอยู่ในอ้อมแขนของจงเหยียนซีจนเธอหัวเราะ “ทำไมแกถึงเหมือนเด็กทารกแบบนี้ ขี้อ้อนแบบนี้ ไม่กลัวจะถูก
จับตัวไป แล้วไม่ได้เจอกับเจ้านายแกอีกหรือไง?”
“โตราห์” เสียงเด็กเรียกดังขึ้น และเท็ดดี้ตัวน้อยก็กระดดออกจากอ้อมแขนของเธอ แล้ววิ่งไปหาเด็กสาวตัวน้อยที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เด็กสาวอายุน่าจะประมาณหรือห้าขวบ เธอสวมกระโปรงสีขาวแขนพอง มีผมสีเหลืองถักเปียสองข้าง ภายใต้แสงไฟ เธอมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อย
ดวงตาของเธอดูเป็นประกาย ผิวขาวเนียน ที่จริงแล้วคนไทยไม่ถือว่าผิวขาว แต่สาวน้อยตรงหน้า ผิวขาวมาก เหมือนลูกครึ่ง ในมือถือโซ่คล้องคอสุนัขอยู่ เด็กสาวอุ้มเท้ดดี้ตัวน้อยขึ้นมา แล้วลูบ
หัวมัน ก่อนจะพูดเป็นภาษาไทยว่า “ไปไหนมา ฉันตามหาแทบแย่”
หลังจากพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางจงเหยียนซี
จงเหยียนซีไม่ค่อยคุ้นเคยกับภาษาไทย คำง่ายๆ เธอพอจะเข้ามา หรือพูดสองสามประโยค คำศัพท์ยากเกินไปเธอก็พูดไม่ได้แล้ว
เธอถามเป็นภาษาไทยที่ไม่ชัดเจน แล้วยังติดๆ ขัดๆ “นี่สุนัขของหนูเหรอ”
เด็กสาวไม่ตอบแต่ถามกลับ “คุณเป็นใคร ทำไมถึงอุ้มโตราห์ของหนู”
จงเหยียนซีรู้สึกสื่อสารไม่ค่อยได้ เพราะเธอฟังไม่ค่อยเข้าใจ และเธอต้องไปแล้วด้วย
เธอยิ้มให้เด็กสาว แล้วทำท่าทางบอกว่าสุนัขน่ารักมาก แล้วเดินจากไป
เด็กสาวมองมาที่เธอ กะพริบตาปริบๆ แล้วก้มตัวลง วางลูกสุนัขลงบนพื้น ก่อนจะใช้ปลอกคอคล้องคอสุนัขไว้ แล้วก้าวเดิน “ไปเถอะ เรากลับบ้านกัน”
เธอเดินตามจงเหยียนซีไป
จงเหยียนซีพบว่าเด็กสาวกำลังเดินตามตัวเองอยู่ แต่เธอไม่พูดอะไร เธอเดินมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่พบว่าเด็กสาวกำลังเดินตามเธอมาพร้อมกับสุนัขตัวนั้น เธอจึงหยุดเดิน ก่อนจะมองมาที่เธอ แล้ว
ถามว่า “ครอบครัวของหนู… อยู่ที่ไหนจ๊ะ?”
คำพูดไม่พอใช้ท่าทางบรรยายไปด้วย
มือของเธอโบกไม้โบกมือไปมา แต่เด็กสาวเหมือนจะเข้าใจ จึงชี้ไปที่คฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ “บ้านของหนู”
จงเหยียนซีเข้าใจทันที ที่แท้บ้านของเธอก็อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำนี่เอง
นี่มันดึกมากแล้ว เด็กตัวเล็กน่ารักแบบนี้ออกมาข้างนอก คนในครอบครัวไม่ตามออกมาด้วยเลยหรือไง?
เธอเดินเข้ามา “ฉันจูงมือหนูไว้ดีกว่านะ”
ยังไงเธอก็กำลังจะข้ามไปอีกฝั่งเหมือนกัน ไปส่งเด็กสาวด้วยก็ไม่ลำบากอะไร
เด็กสาวกับสุนัขที่เลี้ยงเหมือนกันล้วนแต่ไม่กลัวคนแปลกหน้า ดังนั้นเด็กสาวจึงปล่อยให้จงเหยียนซีจูงมือเดินอย่างเชื่อฟัง
จงเหยียนซีคิดในใจ ไม่ระวังตัวแบบนี้ ถ้าเจอคนไม่ดีจะทำยังไง
พ่อแม่ของเด็กไม่มีคุณสมบัติเกินไป
พอไปถึงสะพาน จู่ๆ เด็กสาวก็หยุดเดิน “เหนื่อยแล้ว”
จงเหยียนซีมองไปที่เธอ แต่ไม่ได้พูดอะไร
เพราะเธอไม่เก่งภาษาไทยจึงมีปัญหาในด้านการสื่อสาร
เธอตัดสินใจไม่พูดอะไรเลยดีกว่า
เด็กสาวกอดขาเธอ พร้อมกับแขนเธอไว้ “อุ้มหนูหน่อย”
จงเหยียนซี “…”