จงเหยียนซีได้ยินเสียง เธอพอจะเดาได้ว่าเป็นเขา จึงไม่ได้หันกลับไปมอง
เจียงโม่หานจ้องมองไปที่ร่างนั้น ก่อนจะเดินเข้ามาช้าๆ ตอนที่เดินไปถึงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ เขาก็หันกลับไปมองเธออย่างควบคุมไม่ได้
สิ่งที่เห็น คือใบหน้าที่เขาคุ้นเคย
เขาเรียกชื่อออกมาโดยไม่รู้ตัว “เหยียนซี”
จงเหยียนซีเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าของเธอไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ “สวัสดีค่ะประธานเจียง”
เป็นคำเรียกที่ห่างเหิน และความเย็นชามาก
เจียงโม่หานนั่งลงตรงข้ามกับเธอ “ตอนนี้เราห่างเหินกันขนาดนี้เลยเหรอ?”
เธอหัวเราะ “พวกเราเคยสนิทกันด้วยเหรอคะ ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมาสามปี คุณไม่เคยคิดจะทำความรู้จักฉันเลย และฉันก็เดินเข้าไปในหัวใจของคุณไม่ได้เลย พวกเราไม่ใช่ว่าไม่เคยสนิทกันเลย
เหรอคะ?”
เจียงโม่หานมองใบหน้าของเธออย่างลุ่มหลง “เมื่อก่อน …”
“ที่ฉันมาพบคุณในวันนี้ ไม่ได้มาพูดถึงเรื่องในอดีตค่ะ เรามาพูดถึงเรื่องในปัจจุบันกันดีกว่า” เธอดึงโน๊ตบุ๊คออกมาวาง แล้วหันไปให้เขาดู ข่าวที่ร้อนแรงที่สุดในวันนี้
ในขณะที่เหิงคั่งลงทุนเงินก้อนสุดท้าย บริษัทหลักทรัพย์ซินไฮประกาศล้มละลาย
นั่นหมายความว่าเงินทั้งหมดที่ลงทุนก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงภาพเบื้องหน้า
เงินจำนวนนี้จะกลับเข้ามาอยู่ในบัญชีของบริษัทรุ่นเหม่ยในรูปแบบอื่น
ผลลัพธ์แบบนี้ ทั้งสองคนต่างก็รู้ดี เจียงโม่หานเองก็นิ่งสงบมาก เขาเพียงแค่เหลือบมองเล็กน้อย แล้วมองไปที่เธอ “นี่คือสิ่งที่ผมติดหนี้คุณไร”
ดวงตาที่สงบของจงเหยียนซี มีอารมณ์บางอย่างแฝงอยู่ เธอเริ่มเอ่ยพูด “สิ่งที่คุณติดหนี้ฉันไว้ มีแค่เงินอย่างนั้นเหรอคะ?”
เจียงโม่หานนิ่งเงียบ
มือที่วางอยู่บนโต๊ะยังคงกำหมัดแน่น
จงเหยียนซีลุกขึ้นยืน “คุณยังติดหนี้ฉันอีกหนึ่งชีวิต ไมใช่สิ สองชีวิต อุบัติเหตุไฟไหม่ในครั้งนั้นเดิมทีควรจะคร่าชีวิตไปทั้งสองชีวิต แต่ฉันกลับยังมีชีวิตอยู่ เจียงโม่หานหนี้ที่คุณติดฉันไว้ใช้ทั้ง
ชีวิตก็ชดใช้ไม่หมด”
พูดจบเธอก็หันหลังเดินจากไป พอเดินไปถึงประตู เธอก็หยุดเดิน แล้วพูดทั้งที่ยังหันหลังอยู่ “เจียงโม่หาน จากนี้ไปเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”
หลังจากเธอพูดจบก็เดินออกไปทันที
“เดี๋ยวก่อน” เขาเรียกตามหลังไป ข้อมือของจงเหยียนซีก็ถูกคว้าไว้ รูม่านตาของเขาเป็นสีเลือด กลิ่นน้ำลายจนลูกกระเดือกขยับไปมาอย่างต่อเนื่อง “ทำไมคุณถึงไม่บอกผม”
จงเหยียนซีมองขึ้นไปที่เขา แล้วถาม “อะไรนะ?”
“เรื่องลูก” น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง
จงเหยียนซียกยิ้ม ยิ้มทั้งที่ดวงตาของเธอแดงก่ำ เธอถามเขา “คุณให้โอกาสฉันบอกไหม คุณลืมความโหดร้ายของคุณแล้วหรือไง คุณอยากจะให้ฉันรื้อฟื้นความทรงจำให้คุณหรือเปล่า”
เจียงโม่หานพูดไม่ออก รู้แต่ว่าหัวใจของเขาเจ็บปวดมาก
มันเจ็บจนหายใจไม่ออก
ที่ต้องเสียลูกไป เพราะเขาเอง
แต่เขาก็ยังมีความหวัง “คุณอยากจะแก้แค้นผม จึงโกหกผมใช่ไหม”
“ถึงฉันจะเกลียดคุณ เกลียดมากจนอยากให้คุณตาย แต่ฉันจะไม่มีทางสาปแช่งลูกของฉัน เพราะคุณไม่คู่ควร!” ในตอนท้ายเธอพูดเน้นทีละคำ
เจียงโม่หานเฝ้าดูดวงตาของเธอที่สั่นเครืออยู่ตลอด ขนตางอนเต็มไปด้วยความเปียกชื้น “เป็นผมเอง ที่ฆ่าลูกของเรา?”
ในตอนนี้เขาอยากจะให้เธอบอกว่าไม่ใช่เขา
แต่ว่า ความจริงก็คือเขาฆ่าลูกของเขาจริงๆ
“ขอโทษ-”
เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก
จงเหยียนชียกมือปัดมือเขาอย่างแรง “ฉันไม่ต้องการคำขอโทษของคุณ ฉันขอสาปแช่งคุณให้ไม่มีความรักไปตลอดชีวิต ไม่รู้สึกถึงถึงความสุขของครอบครัว และใช้ชีวิตโดดเดี่ยวไปจนตาย!”
พูดจบเธอก็เดินจากไป
เจียงโม่หานยืนอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังของเธอเดินจากไป
หัวใจของเขาเหมือนถูกแทงจนลึกด้วยปลายมีดที่แหลมคม
เขาต้องจับที่กรอบประตูถึงจะพยุงตัวเองไว้ได้
“ประธานเจียงครับ” หนานเฉิงยืนอยู่ไม่ไกล พอเห็นว่าเจียงโม่หานดูอาการแย่ จึงรีบเดินเช้าไปหา และก่อนที่จะเข้าถึงตัวเขา เขาก็วิ่งตามจงเหยียนซีวิ่งออกไปแล้ว
ในเวลานี้จงเหยียนซีอยู่ในรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เถียนฉีเฟิงเห็นเจียงม่หานวิ่งตามออกมาจากอาคารจากกระจกมองหลัง แต่เขาไม่รอ กลับรีบเหยียบคั่นเร่งออกไปทันที
รถพุ่งตัวออกไปเหมือนลูกจรวด
พอเจียงม่หานเห็นว่าเป็นรถของจงเหยียนซี เขาก็รีบวิ่งไล่ตาม
เธอจะเกลียดก็ดี แค้นก็ดี เขายอมรับผิดทุกอย่าง
แต่เขาอยากให้เธอกลับมาหาเขา เขาหวังว่าเธอจะกลับมาหาเขาอย่างบ้าคลั่ง
บนถนนมีรถขับเคลื่อนไปมาจนเหมือนมด
เถียนฉีเฟิงขับรถเร็วมากจนตามไม่ทัน แต่เขาไม่อยากที่จะยอมแพ้ จึงวิ่งไปตามถนนอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน
เจียงโม่หานเห็นว่ารถเสี้ยวขวาเข้าอุโมงค์ไปแล้ว เขาอยากจะใช้ระยะทางสั้น ๆ จึงวิ่งข้ามสะพานลอยทางด้านซ่าย ในขณะนั้น รถยนต์คันหนึ่งขับออกจากอุโมงค์ด้านซ้ายมือพอดี คนขับขับเร็ว
มาก โคมไฟบริเวณนั้นไม่ค่อยดี พอเห็นว่ามีคนอยู่ตรงหน้ารถ รถก็หยุดไม่ได้ คนขับรถหน้าซีดด้วยความตกใจ “หลบเร็ว รีบหลบเร็วเข้า!”
เจียงโม่หานได้ยินเสียงและเห็นว่ารถอยู่ใกล้ตัวแล้ว เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะขยับหนี แต่ก็สายเกินไป รถพุงมาจากด้านข้างของเขา ที่นี่อยู่ใกลักับทางเข้าอุโมงค์มาก ร่างของเขาถูกชนจน
กระเด็นชนอุโมงค์ แล้วล้มลง
รถขับห่างออกไปไม่กี่เมตรก็หยุดจอด
เจียงโม่หานนอนอยู่บนพื้น มีเพียงความรู้สึกอุ่น ๆ ที่ไหลลงบนใบหน้าของเขา สติของเขาค่อยๆ เลือนรางหายไป “เหยียน ซี…ผมชอบคุณจริงๆ อยากให้คุณอยู่… ข้างผม”
ดวงตาของเขากลายเป็นมืดสนิท แล้วหมดสติไป
จงเหยียนซีที่จากไปโดยไม่รู้ว่าเจียงม่หานไล่ตามเธอออกมา กำลังตรวจสอบต่ำที่จองไว้ทางโทรศัพท์มือถือ
เถียนฉีเฟิงมองเธอผ่านกระจกมองหลัง “เมื่อตะกี้เจียงโม่หานดูเหมือนจะไล่ตามคุณ ผมขับรถออกมาทิ้งเขาไว้ด้านหลัง”
จงเหยียนซึเงยหน้าขึ้น แล้วมองย้อนกลับไป แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย
“อยากจะให้ผมหยุดรถไหม?” เถียนฉีเฟิงเอ่ยถาม
“ไม่ต้อง คุณทำดีแล้ว ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก”
เถียนฉีเฟิงพูดอย่างปลาบปลื้ม “ผมฉลาดขึ้นไหม”
“เดิมที่เธอก็ไม่ได้โง่ไม่ใช่เหรอ?” จงเหยียนชีวางโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อของเธอแล้วพูด เธอหลับตาลง พูดอีกประโยคหนึ่ง ถึงหลับตาพักผ่อน เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการพูดอะไรอีก
เถียนฉีฟิงขับรถตรงไปที่สนามบินต่อ พอเห็นว่าเธอไม่ต้องการพูดคุย ดังนั้นเขาจึงไม่รบกวนเธออีก
รถมาถึงที่สนามบินในครึ่งชั่วโมงต่อมา เถียนฉีเฟิงส่งเธอขึ้นเครื่องบิน “ครั้งนี้เราแยกทางกัน ผมไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบคุณอีกไหม”
เรื่องที่นี่จบลงแล้ว เขาและน้องชายก็จะจากไปเช่นกัน แต่เขากับจงเหยียนซีไม่ได้เดินทางไปที่เดียวกัน เธอกำลังจะเดินทางไปประเทศไทย ส่วนเขาจะไปที่ประเทศM ถึงที่นั่นแล้วค่อยโทรไป
บอกกวนจิ้ง ถึงสถานการณ์ที่นี่ แล้วกลับไปที่กองทัพ
เดิมที่พวกเขาก็ออกมาจากกองทัพ
จงเหยียนซีถือกระเป๋าเดินทางเรียงง่ายไว้ในมือ แล้วมองมาที่เขา “ถึงแม้เราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณพวกคุณสองคนพี่น้องมากที่ดูแลฉัน ขอบคุณจริงๆ”
เธอโค้งตัวไปทางเถียนฉีเฟิง “บอกลาน้องชายของคุณแทนฉันดนัวยนะคะ”
เถียนฉีลั่งไม่ได้มากับพวกเธอด้วย
“ผมจะบอกให้ครับ ผมเองก็ดีใจมากที่ได้รู้จักกับคุณ ในอนาคตถ้าคุณต้องการบอดี้การ์ดก็ติดต่อหาผมได้ คุณติดต่อไปทางคุณกวน ก็สามารถหาผมเจอแล้ว” เถียนฉีลั่งพูด
“เข้าใจแล้ว” เธอจับมือกับเถียนฉีลั่ง “ลาก่อน”
“ลาก่อน”
จงเหยียนซีเดินไปที่ประตูขึ้นเครื่องพร้อมกับกระเป๋า พอเธอเดินมาถึงทางเข้า เธอหันมองกลับมา มีคนเดินไปมาในห้องโถง บางคนยืนกอดกันห่ามกลางฝูงชน บางคนจับมือกันน้ำตาไหล บางคนยืนยิ้มส่ง
บนโลกใบนี้ความรู้สึกทุกรูปแบบเกี่ยวพันกัน ความรัก มิตรภาพ ความผูกพันในครอบครัว
เธอก้มหน้าลง แล้วหันหลังเดินเข้าไป