แม้ว่าวิธีการเข้าฌานสมาธิแบบโบราณส่วนใหญ่จะได้รับการพิสูจน์โดยอาร์คานาศาสตร์แล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพ แต่คาถาเวทมนตร์โบราณที่มีเอกลักษณ์หลายอย่างก็ยังคงได้รับความนิยมในหมู่นักเวทในปัจจุบัน ทุกครั้งที่เหล่านักเวททำการสำรวจโบราณวัตถุ ซึ่งยกเว้นวัตถุเวทมนตร์หรือวัสดุเขาหรือนางมักจะมองหาเวทมนตร์หรือพิธีกรรมที่ไม่ซ้ำกัน เพราะเหตุนี้เองทำให้ต้องมีมาตรฐานแบบเดียวกันในการตัดสินว่าเวทมนตร์ดีหรือไม่ดีคือการดูว่ามันมีประโยชน์จริงๆ หรือเปล่า
ในตอนนี้เวทมนตร์โบราณไม่ได้ด้อยไปกว่าเวทมนตร์สมัยใหม่แน่นอน ความแตกต่างที่อาจเห็นได้ชัดคือความต้องการในการเรียนรู้เวทมนตร์บางอย่างในวันนี้ต่ำกว่าในสมัยอดีต ตัวอย่างเช่นเวทมนตร์ระดับเจ็ดหรือแปดในอดีตก็น่าจะเป็นเวทมนตร์ระดับสี่หรือห้าในวันนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเวทมนตร์โบราณที่ไม่เหมือนใครสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับจอมเวทได้เช่นกัน ผลการวิจัยอาร์คานาจำนวนมากมาจากการศึกษาเวทมนตร์โบราณ ดังนั้นสภาจึงค่อนข้างใจกว้างเสมอในกรณีแบบนี้
ในหนังสือโหราศาสตร์และธาตุ เฉพาะเวทมนตร์ระดับสามขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถนับได้ว่าเป็นเวทมนตร์พิเศษและมันยังไม่ได้เกิดขึ้นกับลูเซียน ตอนนี้มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะวางแผนและเลือกเวทมนตร์ที่ไม่ค่อยสำคัญที่เขาสร้างหรือปรับปรุงด้วยตนเองเพื่อเผยแพร่
ในบรรดาเวทมนตร์เหล่านี้ลูเซียนเห็นว่าเวทมนตร์ระดับหนึ่งที่ชื่อเวทลวงใจคน มีคุณค่าที่สุดและมันมีสองรูปแบบอีกด้วยคือ หนึ่งเป้าหมายพ่อมดและหนึ่งเป้าหมายอัศวิน ลูเซียนรู้สึกว่าถ้าเขาศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวทมนตร์นี้เขาอาจจะกลายเป็นผู้บุกเบิกในสาขาใหม่ จากนั้นเขาก็อาจจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาพลวงตาหรือนักเวทศาสตร์มืด
สำหรับ ‘เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์’ ลูเซียนไม่สามารถสัมผัสได้ในตอนนี้ ตั้งแต่ที่ผู้คนรู้ว่าลูเซียนเป็นผู้สร้างเวทมนตร์ได้ด้วยตนเอง มันก็คงไม่ยากที่ผู้คนจะรู้ว่าลูเซียนเป็นศาสตราจารย์ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในนครอัลโต้ ลูเซียนไม่ต้องการที่จะเผยแพร่ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับ ฌานสมาธิสนามแม่เหล็กก่อนที่เขาจะกลายเป็นนักเวทระดับห้า
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสำนักเวทมนตร์และความเชื่อของศาสนจักร และลูเซียนก็ยังต้องการที่จะรักษาความลับในการสังเคราะห์คาร์บาไมด์ไว้กับตัวเองในตอนนี้เช่นกัน ในเมื่อเข้าเป็นผู้ริเริ่มในด้านนี้เขาก็ไม่สามารถที่จะเสี่ยงโค่นล้มสองมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ และหากเขาไม่ระมัดระวังให้ดีพวกนักเวทศาสตร์มืดและพวกโบสถ์ก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะฆ่าเขา
ลูเซียนได้ยินจากแอสตาร์เกี่ยวกับจอมเวทที่ใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ไขข้อพิพาททางวิชาการมามากมาย แต่ในท้ายที่สุดจอมเวทก็ยังคงเป็นมนุษย์และพวกเขาก็ยังคงมีอารมณ์ความรู้สึก
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้สภาวางข่ายต่อต้านเวทมนตร์เล็กๆ จำนวนหนึ่งไว้ในผนังห้องสนทนามากมาย
จากสถานการณ์อันตรายมากมายที่ลูเซียนได้ผ่านมา เขาก็สรุปได้ว่า ‘ไม่ควรเปิดเผยตัวเองมากเกินไป’
“ถ้าอย่างนั้น ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’…” ลูเซียนคิดกับตัวเองในขณะที่เขาก็เคาะโต๊ะไปด้วยโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ลาร์ซาตัดสินใจทิ้งลูเซียนให้อยู่กับตัวเอง เพราะเขาเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับนักเวทที่จะยอมรับต่อข้อเรียกร้องของสภา
เสียงแหลมของนกหวีดดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดรถไฟก็ค่อยๆ ชะลอตัวและหยุดตรงสถานีสุดท้าย
สถานีนี้ดูน่าขนลุกและมืดสลัวกว่าสถานีอื่นๆ
มีคนจำนวนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมเวทมนตร์โบราณสีดำขึ้นมาบนเรือ บางคนก็กำลังดูแลกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
“โอ้… พวกที่ชอบสมสู่กับศพ… ข้ายินดีจ่ายมากขึ้นถ้ามันสามารถทำให้รถไฟข้ามไปเมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ได้” ลาร์ซาบ่นด้วยเสียงเบาๆ แต่ดูเหมือนเขาจะกังวลเล็กน้อยเช่นกัน
“เมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’…?” ลูเซียนมองออกไปอย่างสับสนและเห็นรอยแตกในหมอกควัน
ด้วยพลังของมงกุฎสุริยันทำให้ลูเซียนสามารถเห็นรอยแตกที่เชื่อมต่อโลกนี้และโลกแห่งวิญญาณ!
ลูเซียนพบรอยร้าวห้าหรือหกรอยในลักษณะนี้เมื่อตอนเขาเดินทางข้ามทวีป มันสร้างความประหลาดใจให้เขามากเพราะที่โฮล์มก็มีเช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่น่าสงสัยเลยที่จะมีนักเวทศาสตร์มืดมากมายที่นี้
ลาร์ซาเข้ามาใกล้กับลูเซียนเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “หลังจากการก็ตั้งสภา พวกที่ชอบสมสู่กับศพเหล่านี้สังเกตเห็นว่าในเมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ มีพลังแห่งความตายที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นพวกเขาจึงย้ายสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ มายังเมืองนี้ หากเจ้าได้มีโอกาศเดินทางไปที่เมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’… ข้าหมายความว่า… เจ้าจะเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตายมากกว่ามนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไหนจะพวกผีดิบสายพันธ์ใหม่บางชนิดที่สามารถช่วยเกษตรกรและช่างตีเหล็กได้”
“ว้าว… มันเยี่ยมมาก” ลูเซียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
“…” ลาร์ซาไม่รู้จะพูดอะไร
เมื่อนักเวทศาสตร์มืดเข้ามาใกล้ ทั้งลูเซียนและลาร์ซาก็ประหลาดใจ
ผู้ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟลิเป
ตามปกติเฟลิเปจะใส่มือของเขาในเสื้อคลุมสีดำและเขาก็ยังดูไม่ค่อยสบาย ในขณะที่เขากำลังจะเลี้ยวไปอีกมุมหนึ่ง เขาก็มองเห็นตู้โดยสารที่ลาร์ซาและลูเซียนนั่งอยู่
ลาร์ซายืนขึ้นอย่างรวดเร็ว “สวัสดี ท่านเฟลิเป”
แม้ว่าสภาจะได้ยกเลิกประเพณีที่ไม่ดีมากมายที่มีอยู่ในยุคของอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ เช่น พันธะทาสส่วนตัวของนักเวทฝึกหัดมนตร์กับนักเวท แต่การเคารพนักเวทผู้มีอำนาจยังคงอยู่ แม้ว่าลาร์ซาจะมาจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ ก็ตาม แต่เมื่อต้องเผชิญกับเฟลิเปที่ทั้งระดับเวทมนตร์และอาร์คานาสูงกว่าตัวเขาเอง ลาร์ซาก็ยังคงต้องแสดงความเคารพ
แต่เฟลิเปก็ไม่ได้สนใจ เขาพยักหน้าอย่างเฉยเมยแล้วเดินเข้าไปในตู้ถัดไป
“ลาร์ซา ผู้ชายคนนั้นคือใคร? เขาดูค่อนข้าง… ทรงพลัง” ไฮดี้ ถามในขณะที่นางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่มๆ หลังลูเซียน
เมื่อเห็นว่าเฟลิเปก็ทำเหมือนไม่รู้จักเขา ลูเซียนก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา จากนั้นลูเซียนก็มองไปที่ลาร์ซาเหมือนนักเวทฝึกหัดที่อยากรู้อยากเห็นเหล่านี้
“ท่านเฟลิเปเป็นนักเวทศาสตร์มืดจาก ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ “ลาร์ซากล่าวว่า และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป” เข้าเป็นจอมเวทระดับสี่และนักเวทศาสตร์มืดระดับห้า เขาเป็นอัจฉริยะ”
“ข้ารู้จักเขา! ข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน! ข้าคิดว่าเขาเป็นคนฝ่าผ่านแนวกั้นปิดล้อมของโบสถ์!” สปรินต์กล่าวอย่างตื่นเต้นราวกับว่าเฟลิเปบุคคลที่เขาชื่นชอบ “ท่านเฟลิเปอยู่ในรายการชำระล้างในฐานะนักเวทระดับกลาง! เจ๋งมาก!”
นักเวทฝึกหัดทุกคนในตู้คันนี้กำลังมองไปที่ตู้คันถัดไปด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นอะไรเลย เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยใกล้ชิดกับบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับนี้เลย
“อืม… จริงๆ แล้วเราก็มีคนอย่างท่านเฟลิเปในกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ ของเราเช่นกัน เราเรียกเขาว่า ‘ศาสตราจารย์’ และเขาก็อยู่ในรายชื่อ… ที่ต่ำกว่าท่านเฟลิเปแค่อันดับเดียว” ลาร์ซาพยายามที่จะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’
เมื่อได้ยินคำพูดของลาร์ซา ลูเซียนก็สงสัยว่า ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แน่ใจได้อย่างไรว่า ‘ศาสตราจารย์’ เป็นสมาชิกของพวกเขาจริงๆ
ดังนั้นลูเซียนจึงถามว่า “ข้าเคยได้ยินชื่อเขามาสองสามครั้งแล้ว เขามาจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ หรือไม่?”
“แน่นอนท่านเฟลิเปดูเหมือนจะไม่ถูกกับศาสตราจารย์ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้อำนวยการของเราท่านแกสตันพบว่าท่านเฟลิเปแอบมาตรวจสอบนักเวทในกลุ่มของเราอย่างลับๆ ท่านแกสตันโกรธมากและเกือบจะฆ่าท่านเฟลิเป นี่อาจเป็นข่าวที่ใหญ่ที่สุดในสภาเมื่อเร็วๆ เลย” ลาร์ซาตอบ
จากนั้นลาร์ซาก็เหลียวมองไปที่ตู้ถัดไปและลดเสียงของเขาลงอีก “จอมเวทหลายคนที่รู้จักกับท่านเฟลิเปพูดว่าหลังจากนายเฟลิเปกลับมาจากภารกิจ เขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาบอกว่าเขาสงบลง หยิ่งน้อยลงและดูเหมือนว่าเขาจะกำลังทำการทดลองอย่างลับๆ อยู่ในตอนนี้”
ลูเซียนพยักหน้าและเริ่มวิเคราะห์ ตามคำพูดของลาร์ซา ลูเซียนเดาว่าแม้ว่าเฟลิเปจะบอกกับคนอื่นว่าศาสตราจารย์มาจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แต่เขาก็ไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับการสังเคราะห์ยูเรีย มิฉะนั้นการทดลองของศาสตราจารย์จะกลายเป็นข่าวใหญ่ที่สุดเมื่อไม่นานมานี้แทน
ในทางกลับกันลูเซียนค่อนข้างมั่นใจว่าเฟลิเปพยายามที่จะสังเคราะห์องค์ประกอบชีวิตของเขาเอง
แคทรีนา นักเวทฝึกหัดอีกคนหนึ่งก็ดูเหมือนจะสนใจศาสตราจารย์ลึกลับคนนี้
“ท่านลาร์ซา ท่านรู้จักชื่อจริงของศาสตราจารย์ไหม?”
“ข้าไม่รู้” ลาร์ซาตอบ “มหาจอมเวทแฮททาเวย์ กล่าวว่าท่านศาสตราจารย์มาจากสภา แล้วเธอก็ไม่ได้บอกอะไรอีกเกี่ยวกับศาสตราจารย์ลึกลับคนนี้”
ลูเซียนรู้สึกอับอายอย่างมาก เมื่อผู้อำนวยการของ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ พบว่าไม่มีบุคคลที่ชื่อศาสตราจารย์ดังกล่าวในกลุ่มของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไปขอความช่วยเหลือในสภาระดับที่สูงซึ่งก็คือแฮททาเวย์ ค่อนข้างเป็นไปได้ว่าแฮททาเวย์ได้พบศาสตราจารย์คนนี้มาจากวันที่และสถานที่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นและแฮททาเวย์ก็ดูแลนาตาซาเป็นอย่างดีมาก
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลบางอย่างแฮททาเวย์ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลของศาสตราจารย์ลึกลับออกไป
ในเวลานี้แอนนิคที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างและปากของเขาก็เปิดออกด้วยความประหลาดใจ “เรา… เรากำลังบิน!”
ลูเซียนเพิ่งสังเกตเห็นว่ารถไฟได้ออกจากพื้นดินลอยขึ้นไปในอากาศ ในขณะที่รถไฟยังอยู่บนราง
ป่า ทุ่งนา คฤหาสน์ และเมืองบนพื้นด้านล่างก็ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ จนดูราวกับมด
“สนามต่อต้านแรงโน้มถ่วง มีสนามต่อต้านแรงโน้มถ่วงบนรางรถไฟใกล้กับอัลลิน” เมื่อเห็นลูเซียนหันไปมองรอบๆ ลาร์ซาก็ตอบเขาก่อนที่ลูเซียนจะถามคำถามว่า “เจ้าจะเห็นสิ่งเหล่านี้รอบๆ อัลลินเท่านั้น ไม่อย่างนั้นสภาได้ล้มละลายแน่”
นักเวทฝึกหัดแห่กันไปที่หน้าต่างและดูรถไฟที่แล่นผ่านท้องฟ้าสีคราม จุดสีดำที่ด้านหน้ารถไฟเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเมืองใหญ่ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า!
เมืองที่ถูกสร้างขึ้นจากยอดภูเขาขนาดใหญ่ที่ถูกตัดออกจากภูเขาและให้ส่วนปลายของภูเขาคว่ำลงมา ในส่วนตัวภูเขาที่ถูกตัดขวางมีพื้นที่กว้างมากซึ่งทำหน้าที่เป็นดินแดนของเมืองนี้ทั้งหมด มีสวน ไม้ ถนน อาคารธรรมดานับไม่ถ้วน และจุดเวทมนตร์แตกต่างกันหลายรูปแบบ ทั้งเมืองมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของนครอัลโต้
นี่คือสำนักงานใหญ่ของ ‘สภาแห่งเวทมนตร์’ ‘นี้คือเมืองลอยฟ้า’ ‘นี้คือ อัลลิน’!
“วิเศษมาก…”
“ว้าว…”
เมื่อเห็นว่านักเวทฝึกหัดแทบทุกคนเกือบจะกรามหลุดออกมาจากการมองเห็นทัศนียภาพดังกล่าว ลาร์ซาก็ยิ้มและกล่าวว่า “พวกเจ้ายังมีโอกาสมากมายที่จะมาเดินชมเมือง แต่ก่อนหน้านั้นทางสภาจะมีการประเมินพวกเจ้า เพื่อที่จะส่งพวกเจ้าไปสำนักที่เหมาะสมตามระดับอาร์คานาและความสนใจ”
“การประเมิน? ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้?” ไฮดี้อุทานออกมา และนักเวทฝึกหัดคนอื่นๆ ก็รีบนั่งลงบนที่นั่งแล้วเริ่มเปิดหนังสือเพื่อเตรียมตัว
ทั้งสปรินต์ และแคทรีนา ยังค่อนข้างสงบนิ่ง จากนั้นนางก็พูดกับไฮดี้ว่า “เจ้าเรียนอาร์คานามากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังตื่นตกใจเช่นนี้อีก”
“ข้ายังไม่พร้อม… ยังไม่พร้อม…” ไฮดี้บ่น ขณะอ่านหนังสืออย่างประหม่า
รถไฟชะลอความเร็วลงและหยุดที่สถานีชานชาลาของอัลลิน
ในตอนนี้เอง สาวสวยสองคนที่สวมชุดสีน้ำเงินอ่อนและถือสมุดบันทึกปกแข็งก็เดินเข้ามาในรถไฟ พวกนางพูดกับลูเซียนและลาร์ซาด้วยความเคารพ “แขกผู้มีเกียรติที่รัก โปรดแนะนำข้อเสนอแนะที่มีค่าของท่านเพื่อช่วยปรับปรุงการบริการของเรา”
ตอนนี้รถไฟไอน้ำเวทมนตร์ยังคงอยู่ในระยะนำร่องเริ่มแรก
ลูเซียนหยิบสมุดบันทึกและปากกามาเขียนคำสองคำอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ส่งสมุดบันทึกไปที่ลาร์ซา
ลาร์ซามองไปที่ความคิดเห็นที่ลูเซียนเขียนทิ้งไว้อย่างสับสน
ในสมุดบันทึกมันเขียนไว้ว่า “ห้าคะแนนเต็ม!”
………………………………………………………………….