ในย่านสะพานเบ็คลันด์ อาศัยข้อมูลจากมิสผู้ส่งสาร ไคลน์มองเห็นชายที่ถูกทริสซี่ล่อลองให้ช่วยส่งจดหมายแทน
อย่างไรก็ตาม ไคลน์ไม่ได้ตามเข้าไปในบ้าน ไม่เข้าใกล้เป้าหมาย เพียงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันลมสีดำและเดินต่อไป
ท่ามกลางแสงไฟจากตะเกียงแก๊ส มันเดินมาถึงทางแยกและเลี้ยวไปยังถนนเส้นอื่น
ระหว่างนั้น หนูตัวหนึ่งซึ่งกำลังขโมยอาหารในอาคารเกิดตัวกระตุก
มันทิ้งก้อนชีสในมือทันที เดินกลับไปตามทางที่เคย ‘ผ่านประจำ’ และเข้าใกล้พื้นที่เป้าหมาย
จากนั้น หนูเปิดปากขึ้นในมุมอับ เปล่งเสียงภาษามนุษย์
“ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองมวลหมู่สัตว์ทะเล เจ้าแห่งสึนามิและลมพายุ คาเวทูว่าผู้ยิ่งใหญ่…”
ทันทีที่เสียงของหนูตัวดังกล่าวเงียบลง ไคลน์ซึ่งเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นอื่น อันตรธานหายไป เหลือเพียงร่องรอยของสะเก็ดไฟกลางอากาศ
มันใช้กระโจนเพลิง ทว่า ปลายทางไม่ใช่สถานที่เปิดโล่ง แต่เป็นภายในห้องพักโรงแรมที่ให้หุ่นเชิดแอบมาจองไว้ล่วงหน้า จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกซาราธตระหนักถึงหรือเกิดเหตุไม่คาดฝัน เพราะระยะทางสั้นมาก แถมปลายทางยังชัดเจนและปลอดภัย
ภายในห้อง ไคลน์เดินถอยหลังสี่ก้าวโดยมีหุ่นเชิดเอ็นยูนยืนมอง ส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก
เมื่อกลับมานั่งบนเก้าอี้ประธานโต๊ะทองแดงยาว ไคลน์เสกคทาเทพสมุทร อาศัยจุดแสงแห่งการสวดวิงวอน มองผ่านไปยังโลกความจริงด้วยตาทิพย์ คอยสังเกตพฤติกรรมของเป้าหมาย – ชายผู้ถูกแม่มดทริสซี่ล่อลวงให้ส่งข่าว
ผ่านไปไม่กี่นาที ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ปรากฏตัวในห้องเช่าตามที่นัดหมาย หยิบเหรียญทองและซองจดหมายที่ถูกวางไว้บนโต๊ะ
ชายคนเดิมสั่นกลัวอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็เอาชนะความกลัว หยิบจดหมายขึ้นมาและกะน้ำหนัก
สิบห้านาทีถัดมา มันหยิบวัตถุที่คล้ายกับก้อนแป้งเปียกสีดำออกมาป้ายลงบนผิวกระจกอย่างทั่วถึง
เพียงพริบตา มันได้พบกับสตรีในฝันของตนภายในกระจกเงา จึงรีบรายงาน
“นักผจญภัยเสียสติเพิ่งส่งจดหมายมา คล้ายกับมีบางสิ่งแนบมาด้วย ตามคำสั่งของคุณ ผมไม่ได้แกะออกมาดู”
ขณะเดียวกัน ฉากที่ไคลน์เห็นบนมิติหมอกค่อนข้างประหลาด
ในการมองเห็นของชายหนุ่ม ภาพบนผิวกระจกนั้นพร่ามัว ใกล้เคียงกับความมืดมิด ดูลวงตาและไม่สมจริง ผิวกระจกเชื่อมต่อกับสิ่งคล้ายคลึงกันภายในห้องจนเกิดเป็น ‘ใยแมงมุม’ ที่ซับซ้อนและมายา ถักสานและเชื่อมต่อเข้ากับ ‘โลก’ ที่ดูพิสดารใบหนึ่ง
ไคลน์ที่อาศัยตาทิพย์ของมิติหมอก พอจะมองเห็นเค้าโครงภาพรวมอย่างเลือนราง แต่มิอาจจำแนกรายละเอียด ไม่แน่ใจว่าโลกใบดังกล่าวมีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่หรือไม่
ในเชิงศาสตร์เร้นลับ กระจกมักเป็นตัวแทนของการนำไปสู่ ‘อาณาจักรอื่น’ โดยมากมักเป็นสถานที่สยองขวัญ…นี่คงเป็น ‘โลกในกระจก’ …พลังพิเศษของเราอยู่นอกเหนือขอบเขตดังกล่าวโดยสิ้นเชิง…ไม่สิ หากมีใครสักคนสวดวิงวอนถึงเราด้วยพิธีกรรมกระจกวิเศษทำนาย นั่นจะช่วยให้กระจกเงาเชื่อมต่อมาถึงเรา…มาถึงมิติหมอกแห่งนี้…
กล่าวคือ ‘โลกในกระจก’ ไม่ใช่โลกแห่งความจริง แต่ใกล้เคียงกับ ‘บานประตูร่วม’ ที่เชื่อมต่อกระจกทุกบานเข้ากับอาณาจักรที่แตกต่างกัน หากหลงทางภายในนั้น กว่าจะรู้ตัวอีกทีอาจไปโผล่ที่นรก หรือไม่ก็อวกาศ…แต่แน่นอน ครึ่งเทพในขอบเขตดังกล่าวสามารถสร้าง ‘โลกของภาพสะท้อน’ และเข้าไปซ่อนตัวได้…
บานประตูร่วม…หมายความว่านอกจากแม่มดและวิญญาณอาฆาต ผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทางผู้ฝึกหัดก็พลังที่คล้ายคลึงกัน? หรือคำว่า ‘ลึกลับ’ ในชื่อ ‘จอมเวทลึกลับ’ จะเป็นตัวแทนของ ‘โลกในกระจก’ …เป็นไปได้ โลกในกระจกสามารถสื่อถึงความลึกลับได้เช่นกัน…ภายใต้สถานการณ์ปรกติ ต่อให้มีตาทิพย์ของมิติหมอก แต่เราก็จะไม่มีทางเห็น ‘โลกในกระจก’ โดยตรง เว้นเสียแต่จะมีใครบางคนช่วยกระตุ้น…ไคลน์พยักหน้าไตร่ตรอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแม่มดทริสซี่ตอบกลับอย่างอ่อนหวาน
“โยนจดหมายเข้ามาในกระจก”
“โยนเข้าไปได้ด้วยหรือ…” ในฐานะผู้วิเศษลำดับต่ำ ชายคนนี้ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์มหัศจรรย์มาก่อน จึงลังเลสักพัก ก่อนจะลองกดจดหมายลงบนกระจก
บนผิวกระจก ความมืดแผ่ขยายออกมาในลักษณะคลื่นน้ำกระเพื่อม
ชายคนดังกล่าวสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นจากฝ่ามือ จดหมายเริ่มทะลุผ่านผิวกระจกอย่างน่าอัศจรรย์ หลุดเข้าไปในมิติมายา
ทันทีหลังจากนั้น คล้ายกับจดหมายถูกดูดด้วยกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ค่อย ๆ ไหลไปยังห้องที่ทริสซี่อาศัยอยู่
เหนือมิติหมอก ไคลน์ยกคทาเทพสมุทรขึ้น จดจ่ออยู่กับการแกะรอยจดหมาย พยายามระบุพิกัดของแม่มด
ทันใดนั้น ในทัศนวิสัย ‘ตาทิพย์’ ของชายหนุ่ม โลกในกระจกที่มืดมิดและลุ่มลึก เกิดความผันผวนอย่างหนักจนทุกสิ่งพร่ามัว
เมื่อความผันผวนสงบลง ไคลน์ถูกตัดขาดจากจดหมายและแม่มดทริสซี่
ออร่าของแม่มดบรรพกาลอาจช่วยขัดขวางการจ้องมองในลักษณะนี้…ไคลน์เงียบไปสักพักก่อนจะถอนหายใจยาว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมไคลน์ถึงไม่กล้าผสมเส้นผมของตัวเองเข้ากับเส้นผมของศพเพื่อเกาะรอย เพราะชะตากรรมของจนอาจจบลงด้วยการถูกสาปหรือไม่ก็ตายคาที่
ในความกังวลของไคลน์ การตายคาที่ไม่ใช่จุดจบที่เลวร้ายนัก เพราะตราบใดที่ศพไม่ถูกทำลายไปด้วย มันมีโอกาสที่จะคืนชีพกลับมาใหม่ แต่ปัญหาก็คือ นั่นจะทำให้ทริสซี่ไหวตัวทันและหนีไป เป็นการสิ้นเปลืองโอกาสคืนชีพอันมีค่าไปอย่างเปล่าประโยชน์
ไคลน์ซึ่งพ่ายแพ้ในยกนี้ รีบส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงและออกจากย่านสะพานเบ็คลันด์
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ไคลน์ซึ่งมีใบหน้าธรรมดา เดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวลด้วยรถม้า
แผนของมันก็คือ ท่องพระนามเต็มอันทรงเกียรติของเทพธิดารัตติกาลเพื่อแจ้งว่า แม่มดทริสเตรียมจะทำสิ่งใดขณะพระจันทร์เต็มดวงครั้งถัดไป อย่างน้อยก็ควรมีเทพแท้จริงสักตนคอยเฝ้ามองเบ็คลันด์ในช่วงเวลาที่เผชิญความเสี่ยง
ต้องไม่ลืมว่า ผู้ที่เคยเนรเทศและผนึกมิสเตอร์ประตู ไม่ใช่ใครนอกจากเทพธิดารัตติกาล พระองค์ย่อมต้องชำนาญกลอุบายของอีกฝ่าย
ในทำนองเดียวกัน ไคลน์ไม่คิดออกหน้าด้วยตัวเอง เพราะมันเข้าใจพลังของตัวเองเป็นอย่างดี
ในเมื่อแก้ปัญหาเองไม่ได้ ก็ต้องให้คนที่แก้ได้มาทำแทน!
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมถึงไม่ท่องพระนามเต็มของเทพธิดาจากที่บ้าน เหตุใดต้องถ่อไปถึงวิหารนักบุญแซมมวล นั่นเพราะไคลน์อยากตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงบนถนนเบิร์คลุนและข้างเคียง เผื่อว่าจะสังเกตเห็นร่องรอยการมาเยือนของอามุนด์
เฮเซลและครอบครัวต่างก็เคยเผชิญหน้ากับอามุนด์มาก่อน แถมตัวเธอก็ยังอยู่บนเส้นทางนักจารกรรม ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือตะกอนพลังดึงดูด ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือกลุ่มเสี่ยงที่จะได้เผชิญหน้ากับอามุนด์ระลอกใหม่ ไคลน์ไม่กล้าประมาทกับเรื่องนี้ และเตือนตัวเองให้หมั่นตรวจสอบบ่อยครั้ง
ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากมิสจัสติสเป็นจิตแพทย์ที่ช่วยรักษาอาการป่วยของเฮเซล หากอีกฝ่ายถูกอามุนด์จับได้ เธอก็จะติดร่างแหไปด้วย ไคลน์จึงต้องคอยระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้สตรีผู้สูงศักดิ์รายนี้ตกอยู่ในอันตราย และคอยตรวจสอบความผิดปรกติของมิสจัสติสผ่านดาวแดงเป็นครั้งคราว แต่แน่นอน มันหลีกเลี่ยงที่จะ ‘แอบดู’ ในเวลาที่ไม่เหมาะสม
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ซึ่งเข้าใกล้ถนนเฟลป์ ลงจากรถม้าล่วงหน้าและสั่งให้หุ่นเชิดเอ็นยูนไปซ่อนตัวเพื่อท่องพระนามเต็มอันมีเกียรติของเทพสมุทร
ร่างต้นทำการสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดโจนาส จากนั้นก็เดินถอยหลังสี่ก้าวภายในมิติ ‘ที่ถูกบิดเบือน’ เพื่อส่งตัวเองไปยังเหนือสายหมอก
ถัดมา อาศัยความช่วยเหลือจากคทาเทพสมุทร ชายหนุ่มขยายวิสัยทัศน์ของตาทิพย์และตรวจสอบสถานการณ์รอบถนนเบิร์คลุนกับถนนเฟลป์อย่างละเอียด
เฮเซลยังไม่ถูกกาฝากยึดร่าง…มิสจัสติสก็เช่นกัน…สาวใช้ สัตว์เลี้ยง บอดี้การ์ด หรือแม้กระทั่งชาวเมืองและพนักงานของกองทุน ทุกคนยังปลอดภัย…ไม่มีร่องรอยของอามุนด์ในละแวกใกล้เคียง…ไคลน์ถอนหายใจยาว ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง
จากนั้น มันเดินไปยังวิหารนักบุญแซมมวล ผ่านประตูหน้าเข้าไปในโถงสวดมนต์หลักที่มืดและเงียบสงบ
ท่องพระนามเต็มอันทรงเกียรติของเทพธิดารัตติกาลจบ มันเปล่งเสียงต่ำและอธิบายอย่างกระชับ
“…แม่มดทริสซี่ได้รับเส้นผมของทายาทตระกูลอับราฮัม เธอวางแผนติดต่อกับตัวตนลึกลับในคืนจันทร์เต็มดวง ปัจจุบันยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แน่ชัด…”
นั่งนิ่งสักพัก เมื่อยืนยันว่าเทพธิดาไม่ตอบสนอง และอาร์ชบิชอปไม่ปรากฏตัว ไคลน์สวมหมวกผ้าไหม เดินออกจากวิหารอย่างไม่รีบร้อน
ตกกลางคืน ชายหนุ่มย้ายสถานที่ เปลี่ยนหนูให้เป็นหุ่นเชิดและเอ่ยพระนามเต็มอันทรงเกียรติของอีกหนึ่งตัวตนลึกลับ
“มหาเทพแห่งสงคราม สัญลักษณ์แห่งเหล็กและเลือด เจ้าแห่งความวุ่นวายและขัดแย้ง ข้าต้องการพบท่าน…”
เฉกเช่นคราวก่อน หนูตายทันทีที่สวดวิงวอนเสร็จ และไคลน์ถอยออกห่างจากพื้นที่
มันต้องการพบเทวทูตสีชาดเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับมิสเตอร์ประตูและเทวทูตมืด ซาสเรีย
หลังจากรอคอยไม่กี่นาที ไคลน์อาศัยความช่วยเหลือจากหุ่นเชิดหนูอีกหนึ่งตัว มองเห็นว่ามีเปลวไฟพวยพุ่งออกจากศพหนูตัวแรก
เปลวไฟเรียงตัวเป็นประโยคสั้นกระชับบนพื้นดิน:
“แต่ข้าไม่อยากพบเจ้า”
“…” กล้ามเนื้อใบหน้าไคลน์กระตุกแผ่วเบา
ครุ่นคิดสักพัก มันยอมแพ้และออกจากจุดเกิดเหตุ
ผ่านไปหลายสิบวินาที เปลวไฟสีขาวที่เหลือเรียงตัวเป็นคำใหม่:
“…คุกเข่าขอร้องข้าสิ”
แต่ตอนนี้ไคลน์ไม่อยู่แล้ว
ณ บ้านหลังหนึ่งภายในกรุงเบ็คลันด์ เซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีที่มีใบหน้าซีดเซียว ลุกขึ้นจากโซฟาในสภาพแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีแดงสลับดำ
มันขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำกับตัวเอง:
“ใครมันบังอาจมารบกวน…”
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เบ็คลันด์เข้าสู่คืนพระจันทร์เต็มดวง
ภายในห้องที่อาบด้วยแสงจันทร์สีแดงเข้ม แม่มดทริสซี่ยืนอยู่หน้าแท่นบูชา กำลังรายล้อมด้วยวัตถุดิบสำหรับประกอบพิธีกรรม ไม่ว่าจะเป็นทับทิม ไพลิน มรกต เพชร ไข่มุก และไพฑูรย์
หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมตัวที่วุ่นวาย หญิงสาวจุดไฟเผาเส้นผมในมือ โยนลงในหม้อ
เมื่อเปลวไฟเริ่มกลายเป็นสีดำ ทริสซี่เดินถอยหลังสองก้าว สวดวิงวอนอย่างเคร่งขรึมเป็นภาษาคนยักษ์
“มหาประตูแห่งหมื่นประตู…”
“ผู้นำทางแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว…”
“กุญแจแห่งโลกเร้นลับทั้งปวง…”
…………………………