ซูเจ๋อนั้นดูขัดแย้งมาก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ส่งให้เธอไปที่ตรงนั้นเอง เป็นเขาที่ทำให้เธอค่อยๆเติบโต ทำให้เธอเดินตามทางที่วางไว้ แต่เขากลับไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน สถานะตำแหน่งนี้ เส้นทางเดินนี้ต้องเสี่ยงเผชิญกับภัยที่อันตราย
เพราะว่าเขาได้รับแล้ว จึงรู้ว่าตัวเองขาดเธอไปไม่ได้
มีเสียงเร่งฝีเท้ามาจากทางด้านหลัง ในสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะแยกออกได้ สัมผัสทั้งห้าของซูเจ๋อนั้นเปิดออกครบถ้วน แม้ว่าเขาจะได้ยินเขาก็ไม่ได้สนใจ แต่เมื่ออีกฝ่ายนั้นยิ่งเข้ามาใกล้ตัว เขาจึงหันตัวกลับอย่างรวดเร็ว ดาบที่เต็มไปด้วยเลือดในมือเขาชี้ไปทางคนที่มาอย่างกะทันหัน
ห่างเพียงแค่ครึ่งนิ้ว ปลายดาบที่แหลมคมนั้นก็เกือบจะแทงทะลุเข้าที่ลำคอของอีกฝ่าย
ซูเจ๋อหันศรีษะกลับมา เห็นแต่หางคิ้วและปอยผม สายตาที่แหลมคม พลังงานที่ออกมาจากแววตาที่ร้อนแรงนั้นราวกับว่าจะหลอมละลายน้ำแข็งกับไฟให้เข้าด้วยกัน ร่างกายที่เข้าโจมตีนั้นทำให้คนกลัวอย่างสุดขีด
คนที่เขากำลังชี้ดาบไปนั้นก็คือทหารที่อยู่ในกระโจมเดียวกันกับเขานั่นคือเด็กหนุ่มเกาเหลียง
เกาเหลียงตกใจกลัวจนสีหน้าขาวซีด โชคดีที่เขาหยุดก้าวเดินพอดี ไม่เช่นนั้นเขาคงจะกลายเป็นวิญญาณด้วยดาบเล่มนี้ไปแล้ว
เมื่อได้พบกับซูเจ๋อแม้ว่าจะอยู่ในชุดของทหารนั้น แต่รูปร่างลักษณะของเขาก็เผยให้เห็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่ไม่ใช่ทหารใหม่ธรรมดาๆคนหนึ่งควรจะมี
เกาเหลียงพูดออกมาอย่างนิ่งว่า“เจ้ากำลังตามหาน้องชายเฉินเซียนอยู่ใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋อมีสีหน้าที่เคร่งขรึมไม่เปลี่ยน“เจ้าเห็นเขารึ?”
เกาเหลียงพูด“เหมือนว่าเขาจะถูกรุมล้อมอยู่ เจ้าตามข้ามาเร็ว!”
ทหารนายอื่นที่อยู่ร่วมกระโจมเดียวกันนั้นต่างก็หายไปอย่างไร้รอยกันหมดแล้ว เดิมทีเกาเหลียงนั้นก็กำลังจะวิ่งหนี แต่บังเอิญเห็นเฉินเสียนวิ่งออกมาจากทางกองไฟ และก็ถูกทหารเข้าล้อมรอบเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เกาเหลียงรู้สึกประหลาดใจ ที่เฉินเสียนนั้นมีศิลปะป้องกันตัว เขารู้ว่าเฉินเสียนเห็นเขาแล้ว เวลานั้นที่เธอหันมามอง แม้จะเป็นช่วงเวลากลางคืนแต่ดวงตาคู่นั้นก็เปร่งประกายความเด็ดเดี่ยวออกมาให้เห็น
เกาเหลียงแม้แต่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย จึงไม่อยากจะเข้าไปช่วย แต่ว่าเฉินเสียนนั้นกลับไม่เรียกเขาให้หยุดช่วย แล้วก็ไม่ทำให้เหล่าทหารที่อยู่รอบตัวเธอนั้นได้มองเห็นเขา
เห็นได้ชัดว่าถ้าเธอเรียกเขา มันจะทำให้เหล่าทหารเบี่ยงเบนความสนใจมาที่เขาได้ แล้วตัวเองก็สามารถหลบหนีไปได้ แต่เธอไม่ได้ทำเช่นนั้น
เกาเหลียงรู้สึกไม่สบายใจ เดินไปได้กลางทางก็ย้อนกลับมา แล้วคิดได้ว่าปกติเฉินเสียนมักจะอยู่ไม่ห่างจากซูเจ๋อ จึงออกค้นหาซูเจ๋อบริเวณแถวกระโจมทุกที่ๆ
โชคดีในสุดก็ได้เจอตัวเขาแล้ว
เมื่อตอนที่ซูเจ๋อมาถึง ก็เห็นร่างของเหล่าทหารที่นอนตายอยู่รอบตัวเฉินเสียน เธออยู่ในชุดทหารที่เต็มไปด้วยคราบเลือด ผมที่ถูกม้วนเอาไว้ในหมวกก็ล่วงหล่นลงมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เส้นผมยาวสยายอยู่บนบริเวณไหล่ ดาบที่อยู่ในมือเต็มไปด้วยเลือด แววตาเฉียบคมดั่งเหยี่ยวราตรี ร้ายกาจดั่งแม่หมาป่าสาว
ไม่ต้องรอให้เธอวางมือ ซูเจ๋อก็รีบบินเข้าไปอยู่ข้างกายเธอ ดาบแหลมคมที่อยู่ในมือนั้นบินไปตามแนวนอนฟันเหล่าทหารที่เหลือทั้งหมดภายในครั้งเดียว
เวลานั้น เฉินเสียนจึงถอนหายใจอย่างผ่อนคลายออกมา
ซูเจ๋อหลับตาแล้วลืมตามามองใบหน้าของเธอที่เปื้อนควันดำ ซึ่งนั้นก็เป็นหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ว่าเธอเป็นคนจุดไฟเผาค่ายทหาร ซูเจ๋อกดเสียงแหบต่ำแล้วเอ่ยว่า“ไม่ได้พูดแล้วหรือว่าให้รอข้าอยู่ด้านนอกกระโจม”
เฉินเสียนรู้ว่าเธอนั้นเสียเวลาไปมาก เลยทำให้ซูเจ๋อเป็นห่วง เธอจึงหันมายิ้มให้กับเขาแล้วพูดว่า “ข้าก็คิดไว้อย่างนั้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามันมีอะไรมาทำให้สะดุด เฮ้อ ซูเจ๋อ ท่านอย่าโกรธข้าเลย ”
ซูเจ๋อพูด “ท่านเป็นผู้หญิงที่เลว”
เฉินเสียนตกตะลึง ซูเจ๋อไม่รอให้เธอมีปฏิกิริยาตอบรับ เขายื่นมือไปจับที่ศรีษะด้านหลังของเธอเอาไว้แน่น แล้วก็ก้มศรีษะลงไปจูบอย่างดุเดือด
นั่นเป็นครั้งแรกที่ซูเจ๋อด่าว่าเธอ แต่เธอกลับไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกหวานอ่อนโยนอยากจะหัวเราะออกมา
เธอได้ลิ้มรสถึงลมหายใจอันดุเดือดของเขาที่สามารถทำให้คนหยุดหายใจได้ และยังสัมผัสได้ถึงความร้อนใจและความรักที่มาจากเขา เฉินเสียนเขย่งเท้าเพื่อทำให้ตัวเองสูงขึ้น มือข้างหนึ่งก็เกาะไว้ที่ไหล่ของซูเจ๋อ แล้วจูบเขากลับอย่างเร้าร้อน
ทั้งสองยืนจูบกันอยู่ท่ามกลางแสงเพลิงไฟ ในมือของทั้งคู่ยังถือดาบที่มีเลือดกำลังรินไหลลงมา ภาพเหตุการณ์นั้น ทำให้ตกตะลึงแต่ก็งดงามอย่างมาก
เกาเหลียงที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง รู้สึกตกตะลึงงุนงง
เขาคิดไม่ถึงว่าพวกเขาทั้งสองคนที่ปกติไม่ค่อยจะแสดงความสามารถออกมาให้เห็น จะกลับเก่งกาจได้มากเช่นนี้ เขายิ่งคิดไม่ถึงว่าน้องชายคนที่ชื่อ “เฉินเซียน”ที่จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิง
ใครจะคิดว่าทันใดนั้น เฉินเสียนจะหันมาด้วยหางตาที่แข็งทื่อ จ้องมองไปที่เกาเหลียง ด้วยสายตาอาฆาตที่พร่างพราย และตะโกนใส่เขาว่า“คุกเข่า!”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ด้วยจิตใต้สำนึกเกาเหลียงจึงนั่งคุกเข่าลงไป เวลานั้น เธอจึงยกดาบที่เต็มไปด้วยเลือดในมือให้บินออกไปที่ทหารที่เข้าโจมตีมาด้านหลังของเกาเหลียง
คล้ายกับสถานการณ์ที่เธอได้พบถ้ำโจรในภูเขากับซูเจ๋อครั้งแรก ขุนเขาเขียวยังคงไม่เปลี่ยน ยกดาบขึ้นตรงไปตรงมาอย่างแน่วแน่
แสงสว่างจ้าส่องเข้าตาทำให้เด็กชายหนุ่มสายตาพร่ามัว แม้แต่เลือดของทหารที่เพิ่งถูกฆ่าพ่นอยู่ด้านหลังของเกาเหลียงนั้น เขาก็ยังไม่ได้สนใจ
เวลานั้นเฉินเสียนก็ดึงเขาให้ลุกขึ้นมา โดยไม่ได้ทอดทิ้งเขาไว้ เธอและซูเจ๋อพาเด็กหนุ่มคนนี้ผู้ซึ่งไม่มีกำลังแรงอันใด ฝ่าฟันท่ามกลางเหล่าทหารที่ต่อต้านออกมาจากวงล้อมได้ในที่สุด
กองกำลังทหารในเขตใต้ที่ตั้งทัพเตรียมพร้อมสู้รบกับศัตรู จนในกระทั้ง เมื่อได้เห็นร่างคนกำลังเดินออกมาจากเพลิงไฟอันลุกโชน ชายเสื้อที่ปลิ้วไสวพร้อมกับลักษณะท่าทางที่สง่างาม
เหลียงชิงโจวยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นแล้วเอ่ยว่า “ในที่สุดพวกเขาก็ออกมากันแล้ว”
เกาเหลียงไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะกำลังเดินเข้าไปด้านหน้าเพื่อเผชิญกับกองทัพใหญ่ แม่ทัพที่ขี่อยู่บนม้าด้านหน้ากองทัพใหญ่ที่หนาแน่นและมืดมิด สวมหมวกเหล็กและเสื้อเกราะ ดูสง่าองอาจกล้าหาญ ภายใต้แสงยามราตรี เขายังได้เสียงหัวเราะของท่านทัพดังออกมา
จากนั้นท่านแม่ทัพก็โบกสะบัดธงบัญชาการทหาร ก้าวเท้าลงจากม้าอย่างองอาจแล้วก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าของเฉินเสียนและคุกเข่าลง “แม่ทัพยินดีต้อนรับการกลับมาขององค์หญิงจิ้งเสียน!”
เหล่าทหารที่อยู่ด้านหลังก็พร้อมใจกันเปร่งเสียง“ยินดีต้อนรับการกลับมาขององค์หญิงจิ้งเสียน!”
เฉินเสียนโค้งตัวไปพยุงแม่ทัพโฮ้วให้ลุกขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยการให้เกีรติอย่างอย่างสง่ามงาม“แม่ทัพโฮ้วโปรดลุกขึ้น การที่ได้มีแม่ทัพและเหล่าทหารมาร่วมเดินทางมาด้วยตัวกัน นั่นก็เป็นวาสนาของข้าเฉินเสียนแล้ว”
เกาเหลียงที่ยังไม่ได้สติกลับมาอยู่ช่วงหนึ่ง
องค์หญิงจิ้งเสียนไม่ได้ถูกลือว่าถูกฝังศพอยู่ในทะเลเพลิงแล้วหรือ แต่เธอกลับปลอมตัวเป็นทหารธรรมดาเพื่อแฝงกายอยู่ในค่ายทหาร และตอนนี้กองกำลังเสริมของราชสำนักก็ถูกเพลิงไฟแผดเผาจนล่มจม
คิดอย่างไรมันก็กลายเป็นปาฏิหาริย์อย่างไม่น่าเชื่อ
จากนั้นเหลียนชิงโจวก็เดินตามเข้ามาประสานมือคารวะเฉินเสียนและซูเจ๋อ“เคารพองค์หญิง เคารพอาจารย์”
เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้พบกับเหลียนชิงโจว เมื่อวันนี้ได้พบกันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า แต่ก็กลับรู้สึกสนิทสนมอย่างมาก
เฉินเสียนชำเลืองมองแล้วยิ้ม “จิ้งจอกเหลียน ไม่เจอกันเสียนานเลยนะ”
ซูเจ๋อพูด“ไปจัดการกับเหตุการณืนี้ก่อน กลับเข้าเมืองแล้วค่อยคุยกัน”เขาให้เหลียนชิงโจวดูแลเกาเหลียง “จัดหาที่พักให้เขาให้เรียบร้อย”
เกาเหลียงคือคนที่เฉินเสียนช่วยชีวิตเอาไว้ หลังจากเสร็จเรื่องซูเจ๋อก็ส่งเขาให้เฉินเสียนเป็นคนจัดการ ไม่ว่าจะอย่างไรเกาเหลียงก็เป็นคนที่พาซูเจ๋อให้ไปพบกับเฉินเสียนได้ทันเวลา
เพลิงไฟเผาไหม้เป็นเวลานาน จนในที่สุดค่ายทหารก็ไหม้เหลือแต่ซากปรักหักพัง
กองกำลังทหารในเขตใต้ไม่ได้สังหารกองกำลังเสริม ยกเว้นเหล่าทหารที่ยังคงต่อต้านเลยต้องยับยั้งเอาไว้อย่างจำนน
สถาการณ์เพลิงไหม้นั้นดับลง เมื่อชำระสะสางซากปรักหักพังเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นกองทัพใหญ่ก็เคลื่อนทัพกลับเข้าเมือง เวลาก็ล่วงเลยเกินเที่ยงคืนไปแล้ว