ในช่วงเวลาสั้นๆก็มีคนเข้ามาเปิดกระโจมอย่างบุ่มบ่าม สั่งให้ทหารทั้งหมดออกมา จากนั้นก็เข้าไปค้นหานักฆ่าในกระโจมทีละกระโจม จนรุ่งสางก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด
เมื่อถึงตอนที่ฟ้าสว่าง เฉินเสียนก็ได้ยินทหารคนอื่นพูดกันว่า รองแม่ทัพสองคนผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพหนานเจิงถูกฆ่าตายเมื่อคืนนี้ ไม่รู้ว่าถูกใครเป็นคนฆ่า จนถึงตอนนี้มือสังหารก็ยังจับไม่ได้เลย
เฉินเสียนหันไปมองที่ซูเจ๋อ ซูเจ๋อมีสีหน้าที่เรียบเฉย
กองกำลังทหารที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของกองกำลังทหารในเขตใต้นั้นกำลังปกป้องเมืองขุยอย่างสุดชีวิต เมื่อตอนที่กองกำลังเสริมมาถึง กองกำลังทหารที่ได้รับความเสียหายนั้นรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ด้วยเหล่าพลทหารหลายหมื่นนาย แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะกองกำลังทหารในเขตใต้ได้ในเพียงครั้งเดียว แต่อย่างน้อยที่สุดก็สามารถรักษาชีวิตรอดให้อยู่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อรอให้กองกำลังเสริมที่อยู่ทัพหลังเข้ามาสนับสนุน แล้วไปเผชิญหน้าสู้รบกับกองกำลังทหารในเขตใต้อีกครั้ง
กองกำลังทหารในเขตใต้นั้นแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ถ้าเกิดพวกเขาใช้กำลังในการโจมตีก็จะใช้เวลาไม่นานที่จะบุกเข้าประตูเมืองไปได้ แต่เรื่องที่น่าแปลกคือ พวกเขากลับตั้งกองกำลังทหารอยู่ด้านนอกเมือง เพื่อคอยเฝ้าสังเกตการณ์โดยที่ไม่ใช้กำลังในการโจมตี
หลังจากนายทหารฝ่ายผู้พิทักษ์เมืองได้พบกับแม่ทัพหนานเจิง ความตึงเครียดที่มีมาตลอดนั้นก็ได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง เผยให้เห็นรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า“ทหารที่ก่อการกบฏเหล่านั้นต้องพึงพาอาศัยคนจำนวนมากในการอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ เลยตั้งกลุ่มผู้ก่อจลาจลขึ้นมา ไม่กี่วันก่อนสภาพกองกำลังทหารของข้านั้นเกิดการฉุกเฉินเลยเป็นช่วงโอกาสดีที่พวกเขาจะเข้ามาโจมตี แต่น่าเสียดายที่พวกมันก็พลาดท่าไปอย่างเปล่าประโยชน์ วันนี้ท่านแม่ทัพมาถึงแล้ว พวกมันก็ยากที่โจมตีเราได้ รอให้กองกำลังเสริมมาถึง ข้าจะไปจัดการกับพวกมันให้ราบคาบ!”
ในที่สุดเหล่าทหารใหม่ในค่ายทหารก็ถึงเวลาที่จะสู่สนามรบ ยกเว้นเหล่าทหารที่บ้าคลั่งทนไม่ไหวที่จะวิ่งเข้าสู่สนามรบในทันที เหล่าทหารที่เหลือต่างก็ตื่นตระหนกตกใจอยู่ท่ามกลางฝุ่นที่ตลบไปทั่วทุกสารทิศ
พวกเขาไม่ได้มีศิลปะการต่อสู้ เวลาปกติแม้แต่ฆ่าคนก็ยังไม่เคย ไหนเลยจะกล้าฟันดาบและยิงปืนใส่ร่างผู้ต่อสู้
ดังนั้นเหล่าทหารจึงร่วมตัวกันอย่างเป็นการส่วนตัว แล้วมาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการสู้รบในครั้งนี้
มีเหล่าทหารหลายกลุ่มที่รู้สึกเสียใจอย่างมาก บ้างก็คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ บ้างก็อยากจะกลับบ้านเกิด
เหล่าทหารใหม่ที่อยู่ในกองทหารกับเฉินเสียนต่างก็นอนไม่หลับ แม้เมื่อก่อนจะมีเสียงกรนที่ดังไปทั่วแต่นับวันก็ยิ่งยากที่จะได้ยิน
เมื่อผ่านช่วงเวลาในการรู้จักกันช่วงเวลาหนึ่ง แม้เฉินเสียนและซูเจ๋อจะไม่ค่อยเข้ากันได้ดีกับพวกเขาเท่าไร แต่เมื่อนอนอยู่กระโจมเดียวกันในทุกๆวันนับวันก็ค่อยๆคุ้นเคยกันมากขึ้น
อีกอย่างทหารใหม่เหล่านี้ก็เข้าใจกันผ่านการทำงานร่วมกันมากขึ้น แม้ทั้งสองคนจะไม่ได้เป็นคนพูดเยอะแต่ก็ไม่ใช่พวกที่จะคอยไปรายงานเรื่องเล็กๆน้อยกับเบื้องบน
ตอนนั้นก็มีทหารใหม่นายหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างโศกเศร้าว่า“เฮ้อ ไม่รู้ว่าจะมีสงครามกันถึงเมื่อไร ไม่รู้ว่าชาตินี้ข้าไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ถึงได้ถูกจับมาตายอยู่ในสนามรบเช่นนี้”
หลายคนก็ต่างพากันถอนหายใจ เมื่อได้ยินน้ำเสียงนั้นดูเหมือนว่าต่างก็ยอมรับในชะตากรรมของตัวเองแล้ว
ทหารใหม่อีกนายหนึ่งก็พูดขึ้นว่า“พวกเจ้าว่าทหารที่ก่อการกบฏนั้นโง่หรือไม่ ทำไมพวกเขาไม่โจมตีตอนที่กองกำลังเสริมของพวกเรายังมาไม่ถึง ตอนนี้กองกำลังเสริมมาถึงแล้วมันก็ยิ่งยากที่จะโจมตี”
“ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกหรือ อยากจะถอยแต่ก็คงรู้สึกอายแล้วกระมัง?”
“ใครจะไปรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่ ข้าเพียงแค่ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ข้าก็อยากจะจุดธูปเพื่อขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย”
ทหารใหม่อีกนายก็พูดขึ้นว่า“ไม่แน่อาจจะเป็นกลยุทธ์ของพวกเขาก็ได้ ไม่เห็นหรือว่าช่วงนี้เบื้องบนนั้นดีใจกันยกใหญ่ที่กองกำลังเสริมมาถึง ช่วงเวลาที่หละหลวมเช่นนี้มันคือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด ”
เฉินเสียนเลิกคิ้ว แล้วพูดว่า“ความคิดเห็นของเจ้านั้นน่าสนใจดี เจ้าคิดว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ใช่กำลังบุกยึดเข้าเมืองหรือ?”
ทหารคนใหม่นายนั้นพูดว่า“อาจจะต้องรอเวลาที่เหมาะสม ทหารที่ก่อการกบฏมีจำนวนเป็นแสนคน แต่พวกเรามีเพียงแค่ไม่กี่หมื่นคน ถ้าพวกเขาแข็งข้อขึ้นมา ความมั่นใจในการชนะก็อยู่ในกำมือของพวกเขาอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ชนะอยู่แล้ว จึงต้องเลือกวิธีที่จะประหยัดเวลาและประหยัดกำลังทหารอย่างแน่นอน ไม่แน่คืออาจจะต้มพวกเราอยู่ในหม้อเดียวกันก็ได้”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา เหล่าทหารใหม่ที่เหลือก็ต่างพากันถอนหายใจ“ความหมายของเจ้าก็คือ ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเราก็ต้องตายกันหมดอยู่ดีรึ?แม่เจ้า ข้ายังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย!”
เฉินเสียนเม้มปากแล้วพูดว่า “เจ้าชื่อว่าอะไร?”
ทหารใหม่นายนั้นไม่ได้เขิลอาย เพราะอย่างไรก็คือคนที่อยู่กระโจมเดียวกันอยู่แล้ว“ข้าชื่อเกาเหลียง แล้วเจ้าหล่ะ?”
“ข้าชื่อเฉินเซียน”เฉินเสียนพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า“ที่กองทัพใหญ่ล่าช้าในการโจมตี เขาอาจจะมีเหตุผลของเขาก็ได้ เท่าที่ข้ารู้มา พวกเขาไม่ได้โหดเหี้ยมอะไรขนาดนั้น ไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ”
เกาเหลียงพูด“เรื่องนี้ข้าก็เคยได้ยินตอนที่ข้าอยู่ในเมืองหลวง พูดกันว่าได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างมาก เบื้องหลังของทหารที่ก่อการกบฏนั้นก็คือประชาชน อีกทั้งยังเป็นกลุ่มประชาชนที่มั่นคงมากกว่าที่อื่นเสียอีก”
ไม่ว่ากองกำลังทหารจะเดินทางไปที่ใด เมืองต่างๆก็จะประสบปัญหาเหมือนกับถูกลมพายุฟ้าฝนที่โหมกระหน่ำพัดทุกอย่างไปจนหมดสิ้น พวกเขาเห็นมาด้วยตาของตัวเอง
กองกำลังทหารนั้นต้องการเสบียงอาหาร ในเมื่อราชสำนักหามาให้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงไปขูดรีดจากประชาชน
สำหรับประชาชนเหล่านั้น การสู้รบทำสงครามเป็นสิ่งที่เลวร้าย แต่ราชสำนักก็กลับนำสิ่งนี้มามอบให้กับพวกเขา
เฉินเสียนพูด“กองทัพใหญ่ไม่อยากสูญเสียชีวิตของประชาชน ถ้าประชาชนตายบนโลกนี้ก็คงจะจบสิ้น เพียงแค่รอโอกาสที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้ประหยัดทั้งเวลาและกำลังทหาร แล้วยังต้องระวังเรื่องการสูญเสียให้น้อยที่สุด”
ทหารใหม่ถาม“เจ้าไม่ใช่พวกเขา เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
เฉินเสียนพูดอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า“ทุกคนไม่ได้คิดวิเคราะห์กันหน่อยหรือ นี่เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของข้า ถ้าถึงเวลานั้นที่กองทัพใหญ่บุกยึดโจมตีเมืองได้ และไม่ต้องการที่จะก่อสงคราม แต่เดิมพวกเจ้าก็ไม่ใช่ทหารที่ต้องลงสนามรบ ถึงเวลาที่จะต้องย้อมแพ้ก็ควรยอมแพ้ พร้อมกับทหารใหม่ที่ถูกบีบบังคับมาก็จะได้รีบกลับบ้านเกิดไป ”
เกาเหลียงไม่ได้พูดอะไร ทหารใหม่อีกนายหนึ่งก็พูดขึ้นอย่างไม่เชื่อว่า“จะมีวันนั้นจริงหรือ?วันที่พวกเราไม่ต้องอยู่ในสนามรบ?แล้วจะมีชีวิตกลับไปได้?”
“ต้องมีแน่นอน กองกำลังทหารในเขตใต้ไม่ใช่พญายม ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว”
เมื่อกำลังพูดอย่างฮึกเหิม ซูเจ๋อก็กลับมาพอดี
การที่จะพาเฉินเสียนไปจัดการเรื่องข้างนอกกับเขานั้นมันจะไม่สะดวก โชคดีที่ทุกคนในกระโจมนี้ต่างซื่อตรงและขี้ขลาด เฉินเสียนคนเดียวก็สามารถรับมืออยู่ได้
เฉินเสียนไม่อยากจะไปเป็นตัวถ่วงของซูเจ๋อ ตอนที่เขาออกไปข้างนอก เธอจึงไม่ได้ถามอะไร ได้แต่เพียงดึงมุมเสื้อของเขาแล้วพูดอย่างเบาๆว่า“ท่านต้องระวังให้มาก แล้วรีบกลับมา”
ตอนที่เห็นเขากลับมานั้น เสื้อผ้าชุดทหารธรรมดาของเขาดูเหมือนจะมีน้ำค้างตอนกลางคืนติดมาด้วย เฉินเสียนชำเลืองมองแล้วยิ้มออกมา
ซูเจ๋อประหลาดใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามว่า“ยังไม่นอนกันอีกหรือ?”
ทหารใหม่พูด“นอนไม่หลับ ก็เลยมานั่งคุยกัน เมื่อครู่เฉินเซียนน้องของเจ้าพูดว่า ทหารที่ก่อการกบฏอาจจะให้ทางเลือกแก่พวกเราก็ได้ เจ้าคิดว่ามันน่าเชื่อถือหรือไม่?”
ซูเจ๋อเข้าไปนั่งข้างๆเฉินเสียนแล้วเอ่ยว่า“นั้นก็ปกติ หลายคนที่นี่ต่างก็เป็นประชาชนคนธรรมดา ไม่ใช่ทหารจริงๆเสียหน่อย ”
เกาเหลียงพูดอย่างเสียดสีว่า“ทหารที่ก่อการกบฏนั้นต้องพึ่งประชาชนที่มีจิตใจกล้าหาญอย่างนับไม่ถ้วน และการสนับสนุนของประชาชนอีกมากมาย แต่ราชสำนักกลับไล่จับประชาชนหนุ่มชายวัยฉกรรจ์เพื่อให้มาเป็นทหาร แย่งชิงอาหารจากประชาชน ทำไมเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเหมือนว่าฝ่ายพวกเราเป็นฝ่ายที่ก่อการกบฏเสียเอง?”
คนที่เหลือต่างก็อยู่ในความเงียบ
เมื่อถึงเช้าวันที่สอง นายทหารผู้พิทักษ์เมืองผู้ซึ่งเต็มไปด้วยอวดเก่งและดื้อรั้นนั้นถูกฆ่าแขวนคอไว้ที่ศาลาบนประตูเมือง จนฟ้าสว่างถึงจะมีคนมาพบเห็น
เหล่าทหารและประชาชนในเมืองต่างตื่นตระหนกตกใจ
บรรยากาศภายในกองทัพทหารนั้นก็ตึงเครียดอย่างมาก แม่ทัพหนานเจิงกล่าวว่าในกองทัพนั้นต้องมีใส้ศึก ถ้าเกิดพบผู้ใดต้องสงสัยให้รีบจับกุมตัวมาไต่สวนทันที
กองทัพใหญ่ด้านนอกของเมืองขุยยังสงบเงียบ แต่ภายในเมืองขุยนั้นกลับเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นแล้ว
ช่วงเวลาพลบค่ำก็มีเสียงกลองรบ และแตรสัญญานก็ดังขึ้นจากกองทัพใหญ่นอกเมือง