ในที่สุดหลี่ว์ซู่ก็มีโอกาสไปเยือนพื้นที่กลางเมือง ถึงแม้พื้นจะเต็มไปด้วยโคลนและกระเบื้องที่ถูกปูตามยถากรรม แต่อย่างน้อยสภาพแวดล้อมรอบๆ ก็ดูมีอารยธรรมมากขึ้น
ในแถบชนบทที่จางเว่ยอวี่อาศัยอยู่ หลี่ว์ซู่แทบจะไม่เห็นคนอื่นอีกเลย คนส่วนใหญ่ที่เคยอยู่ที่นั่นต่างยอมจำนนต่อความกดดันของชีวิตทำให้ต้องยอมขายฟาร์ม ผืนดิน หรือแม้กระทั่งตัวของพวกเขาเองเพื่อแลกกับการมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจางเว่ยอวี่ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เป็นข้อยกเว้น เมื่อเวลาผ่านไป เมืองเถียนเกิ่งก็กลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกของเหล่านายทาส
ที่นี่ไม่ได้มีแผงขายอาหารตามข้างทางมากนัก ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นธุรกิจมากกว่า ด้านใน คนงานมีรอยตราประทับบนร่างกาย มีดสำหรับตระกูลอวี่ ทองแท่งสำหรับตระกูลหลิน และปลาสำหรับตระกูลจาง เหล่าชนชั้นสูงมีสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นซึ่งประกอบด้วยกระบี่ไขว้สองอัน
นายทาสหลักๆ ได้รับอนุญาตให้มีสัญลักษณ์เพียงแบบเดียว แต่ชนชั้นสูงสามารถมีได้สองแบบ ลำดับชนชั้นปรากฏอย่างชัดเจนในทุกรายละเอียดของชีวิตประจำวันของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม มีการกล่าวกันว่าสัญลักษณ์ดั้งเดิมของตระกูลหลินไม่ใช่ทองแท่ง พวกเขาเปลี่ยนสัญลักษณ์เพราะจอมทัพสวรรค์ทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว ได้ให้ของขวัญเป็นทองแท่งแก่ตระกูลหลินหลังจากที่เขาอาศัยอยู่ที่สวนหลังบ้านของตระกูลหลินในระหว่างการตรวจตราที่ดินของเขา
จากเรื่องนี้ หลี่ว์ซู่จึงได้เรียนรู้ว่าสัญลักษณ์ของตระกูลไม่ใช่สิ่งถาวร ดังนั้นจึงต้องใช้ทักษะทางศิลปะพอสมควรในการออกแบบตราประจำตระกูลที่ดี…
ยิ่งไปกว่านั้นคือตระกูลหลินค่อนข้างเก่งกาจในการประจบประแจงผู้มีอำนาจ
อวี่เตี๋ยชวนหลี่ว์ซู่ไปขี่ม้าด้วยกัน แต่เขาปฏิเสธ เป็นผลให้เธอต้องเดินจูงม้าไปกับเขา ในตอนนั้นเองที่หลี่ว์ซู่ได้รู้ว่าเธอเตี้ยกว่าเขาเพียงสามถึงสี่เซนติเมตรเท่านั้น และส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอก็น่าดึงดูดเช่นกัน
ในโลกใบนี้ ความสามารถเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สำคัญ ถึงแม้เหล่านายทาสจะมีสถานะทางสังคมสูงส่ง แต่ชุดอันหรูหราของพวกเขาก็รัดรูปและถูกออกแบบพิเศษมาเพื่อประสิทธิภาพในการรบ
ในขณะที่กำลังเดิน อวี่เตี๋ยมักจะโน้มตัวเข้าหาหลี่ว์ซู่อย่างไม่รู้ตัวอยู่เสมอ จนเขาเกือบจะถูกเบียดให้ออกจากถนน…
คนงานทุกคนที่อยู่ในแผงขายของตามข้างทางต่างพากันแอบมองขณะที่พวกเขาเดินทางผ่านเมือง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทั่วทั้งเมืองเถียนเกิ่งก็ได้รู้ว่านายทาสตระกูลอวี่กำลังสนใจคนธรรมดาคนหนึ่ง และใครก็ห้ามยุ่งกับเขา
นอกจากนี้ นายททาสตระกูลอวี่ยังส่งของขวัญไปให้เขาทุกวัน และผู้คนยังเล่าลือกันอีกว่าชายคนนั้นค่อนข้างหล่อเหลา
ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในหมู่นายทาสมาก่อน พวกเขามักจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งหญิงหรือชายสามัญชนที่พวกเขาต้องการ และอาจจะถึงขั้นแลกเปลี่ยนทาสระหว่างนายทาสด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีเหล่านั้น นายทาสจะบังคับให้เหล่าสามัญชนเชื่อฟังพวกเขา โดยเหลือทางให้ต่อรองเพียงเล็กน้อยหรือแทบจะไม่เหลือทางให้เลย แต่เรื่องของอวี่เตี๋ยนี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากกว่า
แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่านี่เป็นเหมือนเรื่องราวความรักทั่วๆ ไปที่ผู้มีอำนาจมาตกหลุมรักกับคนธรรมดา
แต่ในหมู่ทาสเองก็มีการเลือกปฏิบัติเช่นกัน ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่ามักจะดูถูกผู้ที่อ่อนแอกว่า และผู้ที่ได้รับวิธีการฝึกบำเพ็ญจากเจ้านายของพวกเขาก็มักจะดูหมิ่นคนที่ทำได้แต่งานบ้านเท่านั้นในธุรกิจของครอบครัว พวกที่มีธุรกิจกิจก็มักจะดูหมิ่นชาวนา และชาวนาเองก็ดูหมิ่นพวกคนธรรมดาเช่นกัน
ตามหลักเหตุผลแล้ว ทาสมีสถานะทางสังคมต่ำกว่าเหล่าสามัญชน แต่พวกเขาไม่เห็นด้วย พวกเขาไม่ชอบศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของเหล่าสามัญชน เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มีความสามารถในการหาเลี้ยงชีพได้เท่าพวกเขา
คนเช่นจางเว่ยอวี่ที่ยอมทนมีชีวิตที่ยากลำบากดีกว่ายอมสูญเสียอิสรภาพให้กับผู้อื่นนั้นช่างแตกต่างจากการลักษณะของคนที่เป็นทาส
ในความเป็นจริงแล้ว ทาสทุกคนในเมืองเถียนเกิ่งมองจางเว่ยอวี่เป็นเหมือนสิ่งที่ก่อความรำคาญให้พวกเขามากกว่า สังคมในเมืองนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง
ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่แค่การเก็บภาษีที่มากเกินไปที่ทำให้จางเว่ยอวี่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เขาควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ถ้านั่นเป็นเหตุผลเพียงข้อเดียว เพราะเขาเองไม่ได้มีภาระครอบครัวอะไร
อย่างไรก็ตาม ทาสหลายคนชอบมาทำลายพื้นที่เพาะปลูกของเขาเมื่อคนพวกนั้นบังเอิญเดินผ่าน
หลี่ว์ซู่ได้รู้เรื่องเหล่านี้จากอวี่เตี๋ยผู้ซึ่งชื่นชมจางเว่ยอวี่สำหรับความพากเพียรและการมองชีวิตในแง่บวกถึงแม้ว่าพืชผลจะถูกทำลายจนหมดก็ตาม ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เขาก็ไม่รังเกียจที่จะต้องกินรากไม้เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป
เมื่ออวี่เตี๋ยเล่าเรื่องนี้ให้หลี่ว์ซู่ฟัง ความรู้สึกที่เขามีต่อจางเว่ยอวี่ก็เปลี่ยนไป เรื่องราวของเขาทำให้นึกถึงช่วงเวลาวัยเด็กของหลี่ว์ซู่ ตอนที่เขาเลือกที่จะไม่ขโมยของเหมือนเด็กคนอื่นๆ จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แม้ว่าจะเป็นตอนที่เขาแทบจะอดตายในโลกภายนอกก็ตาม
ตระกูลอวี่มีสวนหลังบ้านที่กว้างขวาง เมื่อหลี่ว์ซู่เดินตามอวี่เตี๋ยเข้าไปด้านใน ทาสที่เฝ้าคฤหาสน์ก็มองสำรวจเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น บนใบหน้าคนพวกนั้นยังปรากฏสีหน้าไม่ยอมรับจางๆ อีกด้วย
ในความคิดของพวกเขา หลี่ว์ซู่เป็นเพียงเด็กผู้ชายอ่อนแอที่ไร้ความสามารถแต่บังเอิญมีใบหน้าหล่อๆ ไว้ใช้ดึงดูดเจ้านายของพวกเขา…ตอนนี้ที่พวกเขาได้เห็นหลี่ว์ซู่ตัวเป็นๆ แล้ว พวกเขาถึงได้รู้ว่าผิวของหลี่ว์ซู่ขาวมากจริงๆ
ในขณะที่หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปข้างใน เขาก็ถามว่า “คุณช่วยเล่าเรื่องราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าให้ผมฟังเพิ่มได้ไหม”
อวี่เตี๋ยส่ายหัวและพูดว่า “ราชาองค์เก่าเป็นชายผู้ลึกลับ ทั้งหมดที่พวกเรารู้ก็มาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการ มีการกล่าวกันว่าเคยมีใครสักคนที่แนะนำให้ราชาองค์เก่าก่อตั้งแผนกเพื่อจัดทำเอกสารเกี่ยวกับชีวิตประจำวันและประวัติของเขา แต่เขากลับปฏิเสธ เขาบอกว่าชีวิตของเขาไม่ต้องการความคิดเห็นหรือการบันทึก และเขาไม่ต้องการให้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรหรืออะไรก็ตาม เพราะคำพูดและหนังสือนั้นไม่เพียงพอที่จะเป็นเครื่องมือในการแสดงออก ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายจึงมีขึ้นเพื่อศึกษาบทกลอนที่เขาทิ้งเอาไว้เพื่อพยายามมองเข้าไปในวิถีชีวิตและปรัชญาของเขา และคนเหล่านั้นถูกเรียกว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านคำสอนของราชา”
“ดีเลย” หลี่ว์ซู่รู้สึกขบขัน “ผู้เชี่ยวชาญด้านคำสอนของราชางั้นเหรอ” มันคงเป็นเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริงถ้าพวกเขาสามารถหาเบาะแสอะไรจากบทกลอนเหล่านั้นได้! ในตอนที่พวกเขาได้ข้อสรุป พวกเขาก็จะได้รู้ว่าไม่ว่าจะราชาองค์เก่าหรือตัวเหล่าผู้เชี่ยวชาญเองก็เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว!
ในตอนนั้นหลี่ว์ซู่รู้สึกว่าราชาองค์เก่าเป็นคนพาลที่แกล้งชาวจักรวาลหลี่ว์เพราะความไม่รู้ของพวกเขา ราชาองค์เก่าอาจจะถูกประณามและถูกตำหนิถ้าเขาอยู่ในโลกมนุษย์
อวี่เตี๋ยเบี่ยงประเด็น “นายคิดว่าสนามนี่เป็นยังไง จอมทัพสวรรค์ไม่ต้องการให้สนามในคฤหาสน์ของเหล่านายทาสมีขนาดใหญ่กว่าเจ็ดเอเคอร์ ฉันต้องใช้ความพยายามและความคิดอย่างมากในการทำให้สนามนี่ไม่ใหญ่เกินกว่านั้น ลองดูตรงนี้สิ หินแบนๆ บนพื้นพวกนี้มีที่มา นี่แสดงให้เห็นว่าฉันลงทุนกับสวนนี้ไปมากแค่ไหน แต่พวกตระกูลหลินและตระกูลจางกลับไม่ยอมทำตามกฎที่จอมทัพสวรรค์ตั้งไว้ แถมยังขยับขยายสนามอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอีก ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่จอมทัพสวรรค์จะมาฆ่ายกครัวพวกเขา!”
“จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ” หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าลำดับชนชั้นในจักรวาลหลี่ว์จะเข้มงวดขนาดนี้ พวกเขามีกฎควบคุมขนาดของสวน ส่วนชีวิตของพวกนายทาสก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้อื่นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกสงสัยในความฉลาดของคนที่นี่เมื่อเขาได้เห็นการรวบรวมบทกลอนเพื่อการศึกษา
มีหนังสือ ‘สามร้อยบทกลอนจากองค์ราชา’ มากกว่าสามสิบเล่ม และ ‘รวมบทกลอนขององค์ราชา ฉบับสมบูรณ์’ อีกสี่สิบเล่ม และยังมี ‘รวมบทความเกี่ยวกับองค์ราชา ฉบับสมบูรณ์’ อีกกว่ายี่สิบเล่ม อยู่รวมกับหนังสือและแฟ้มเอกสารอื่นๆ อีกมากมาย…
อวี่เตี๋ยถอนหายใจด้วยความรู้สึกลึกๆ “องค์ราชาเป็นคนช่างจินตนาการ สถานที่บางแห่งที่เขาเอ่ยถึงในงานของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่จักรวาลหลี่ว์ ดังนั้นเราจึงคาดเดาได้ว่าจะต้องมีดินแดนแห่งพระเจ้าที่สวยงามอยู่ในจิตใจของราชาองค์เก่าอย่างแน่นอน!”
“ใช่ แน่นอน แน่นอนเลย” หลี่ว์ซู่ตอบ เขาเริ่มมีความคิดจริงจังเกี่ยวกับสติของคนในโลกใบนี้
“แต่มีข้อโต้แย้งอย่างหนึ่งว่าจริงๆ แล้วราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าอาจจะมาจากโลกอื่น และเขาคงกำลังคิดถึงบ้านเกิดในขณะที่เขียนบทกลอนเหล่านั้น” อวี่เตี๋ยพูด “บางคนก็เชื่อว่าราชาองค์เก่าคงจะโดดเดี่ยวมาก”
หลี่ว์ซู่รู้สึกแปลกใจ จริงๆ แล้วทฤษฎีนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าราชาองค์เก่าอาจจะเป็นมนุษย์โลก หรือจะมีอะไรอีกที่จะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมปรมาจารย์หุ่นเชิดถึงไปอยู่ที่โลกมนุษย์
โลกนี้เต็มไปด้วยคลื่นพลังจิตวิญญาณ แต่มันก็ถูกเรียกว่าดินแดนเนรเทศ พูดตามตรง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าชื่อนี้เหมาะกับโลกมนุษย์มากกว่า!