จากนั้นแม่ทัพโฮ้วก็อ้างเรื่องค่ายทหารปลีกตัวออกไป ทำให้ซูเจ๋อมีโอกาสพาเฉินเสียนเที่ยวชมชัยภูมิให้เกิดความคุ้นเคย
เหลียนชิงโจวลำเลียงเสบียงอาหารมายังค่าย ก่อนจะมารวมตัวกับแม่ทัพโฮ้ว เมื่อเห็นใบหน้าแม่ทัพโฮ้วเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น หัวเราะถามว่า “ท่านแม่ทัพโฮ้ว อากาศไม่ได้ร้อนถึงขั้นเหงื่อชุ่มตัวนะ? เหตุใดท่านจึงร้อนขนาดนี้?”
แม่ทัพโฮ้วถอนหายใจหนึ่งเฮือก กล่าวว่า “อย่าเอ่ยถึงเลย เมื่อครู่เจอองค์หญิงกับใต้เท้าซู”
“พวกเขาทำไมหรือ?” เหลียนชิงโจวนั่งลงขอชาดื่ม
“ข้าเห็นองค์หญิงกับใต้เท้าซูจูงมือกัน” แม่ทัพโฮ้วกล่าว “โชคดีที่ข้ามีไหวพริบอ้างถึงอากาศ ไม่งั้นคงพะอากพะอำแน่ ไม่ว่าเวลาไหนเรื่องอันใด การคุยถึงอากาศก็เป็นวิธีเยี่ยมยอดในการคลี่คลายความอึดอัด”
เหลียนชิงโจวกล่าวด้วยความขบขัน “แม่ทัพใหญ่ ท่านมีเหงื่อไหลไม่หยุด ไยข้าถึงรู้สึกว่าท่านยังคลี่คลายความอึดอัดไม่ได้?”
แม่ทัพโฮ้วถอนหายใจยาว “ข้ารู้ว่าความสัมพันธ์ของใต้เท้าซูกับองค์หญิงลึกซึ้งและพัฒนาไปในทิศทางนี้ขึ้นทุกวัน” เขาถามเหลียนชิงโจว “ท่านรู้ไหมว่าพวกเขาไปถึงขั้นไหนแล้ว?”
เหลียนชิงโจวกล่าว “ข้าไม่ได้เห็นพวกเขานานแล้ว จึงไม่รู้” เขาใคร่ครวญดูสักพัก จึงกล่าวอีกว่า “แต่ข้าคิดว่า……น่าจะถึงขั้นมีลูกได้แล้วกระมัง?”
แม่ทัพโฮ้วสำลักน้ำชา ไอแค่กๆกล่าวว่า “ท่านว่ากระไร?” ดูจากท่าทางแล้วเหลียนชิงโจวรู้เรื่องซูเจ๋อกับองค์หญิงตั้งนานแล้ว เขากลับเป็นกบในกะลา วันนี้ถึงจะเปิดโลกทัศน์ เขาเป็นคนซื่อและสะเพร่า ก่อนหน้านี้ซูเจ๋อกับองค์หญิงชิดใกล้กัน เขากลับไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น
แม่ทัพโฮ้วเอามือตบหัวอก “ข้ารู้เพียงว่าเขาเป็นอาจารย์ขององค์หญิง เป็นอาจารย์หนึ่งประหนึ่งเป็นพ่อชั่วชีวิต เข้าใกล้กันก็ถือเป็นเรื่องปกติ กลับคิดไม่ถึงว่าความรักจะงอกเงยเสียแล้ว”
เหลียนชิงโจวกล่าว “ถึงแม้จะเป็นอาจารย์ อายุองค์หญิงกับอาจารย์ไม่ห่างกันเท่าไหร่และไม่มีเป็นสายเลือดเดียวกัน หากขืนบอกว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวันประหนึ่งเป็นพ่อชั่วชีวิต คงจะเกินไปหน่อยกระมัง คนในโลกอาจคิดเช่นนี้ แต่แม่ทัพโฮ้วเป็นคนเรียบง่ายสง่าผ่าเผย คงไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่าหรอกกระมัง?”
เหลียนชิงโจวรินน้ำชาให้แม่ทัพโฮ้ว กล่าวต่อว่า “ไยท่านแม่ทัพต้องตะลึงด้วย อย่างนี้ก็ดีมากไม่ใช่หรือ อาจารย์รอบรู้ยุทธวิธี เป็นวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ ข้าน้อยคิดว่า นอกจากอาจารย์แล้วไม่มีใครคู่ควรกับองค์หญิงแล้ว”
แม่ทัพโฮ้วก็ไม่ใช่พวกหัวโบราณที่ต้องยึดถือปฏิบัติตามทำนองคลองธรรม ทว่าซูเจ๋อเป็นคนเยี่ยงไร เขานั้นย่อมรู้ดี
แม่ทัพโฮ้วทอดถอนใจ “ท่านเห็นเขาอ่อนโยนดุจหยก สุภาพบุรุษพวกนี้เป็นเพียงภาพลวงตา ความจริงเขาเป็นสุนัขป่าตัวหนึ่ง เกรงว่าวันข้างหน้าองค์หญิงจะเอาเขาไม่อยู่”
เหลียนชิงโจวยิ้มระรื่น “เอาอยู่หรือเปล่า อนาคตก็รู้เอง”
แม่ทัพโฮ้วจ้องเขม็งเหลียนชิงโจวแวบหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าคุยเรื่องนี้กับท่านทำไม ท่าเป็นลูกศิษย์ของเขา ท่านต้องเข้าข้างเขาอยู่แล้ว”
เหลียนชิงโจวกล่าว “แม้ข้าจะเป็นลูกศิษย์ของเขา แต่ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน สิ่งที่อาจารย์ทำทุกอย่างล้วนเป็นเพราะองค์หญิงไม่ใช่หรือ?”
จุดที่แม่ทัพโฮ้วไร้คำทัดทานใดๆ
หากไม่มีซูเจ๋อ องค์หญิงก็ไม่มีอำนาจ ณ ตอนนี้ แม่ทัพโฮ้วรู้อยู่เต็มอก
ทว่าขณะเดียวกันแม่ทัพโฮ้วก็อดวิตกกังวลไม่ได้ ผู้ที่โดดเด่นด้านกลยุทธ์ หากไม่ได้หวังเพียงเคียงบ่าเคียงไหล่องค์หญิง เช่นนั้นจะเป็นเภทภัยมหันต์เลยละ
มีเรื่องต้องให้กลัดกลุ้มเป็นห่วงไม่หยุดหย่อน ยังดีที่แม่ทัพโฮ้วเป็นข่มอารมณ์ไว้ได้ เขาจะคอยสังเกตการณ์แล้วค่อยว่ากันทีหลัง
ยามราตรี ว่างจากการทหาร แม่ทัพโฮ้วพลันจัดโต๊ะในลานบ้านที่เฉินเสียนกับซูเจ๋อพักอาศัยชั่วคราวในเมืองขุย โดยอ้างว่าต้อนรับทั้งคู่ที่เดินทางมาถึง
เหลียนชิงโจวนำสุรามา กล่าวว่า “อันนี้เป็นเหล้านารีแดง(เหล้าที่เตรียมไว้ดื่มเมื่อบุตรสาวแต่งงานออกเรือน) ข้าแอบเก็บไว้ที่เมืองเจียงหนาน องค์หญิงจะดื่มหรือไม่?”
เฉินเสียนหัวเราะคิกคัก พลางกล่าวว่า “ให้ข้าชิมเหล้า ข้าคงไม่เป็น แต่ดื่มสองสามจอกนั้นไม่มีปัญหาอันใด”
เตาด้านข้างกำลังต้มน้ำชาอยู่ ซึ่งน้ำชากำลังเดือดพลั่ง ๆ เฉินเสียนยกขึ้นมารินให้ซูเจ๋ออย่างไม่รีบร้อน
แม่ทัพโฮ้วเห็นก็ไม่ได้พูดกระไรมาก ถามเพียงว่า “ใช่แล้ว ลูกศิษย์ที่ข้ารับใหม่ หลานเฮ่อล่ะ?”
เฉินเสียนกล่าว “เขาเฝ้าอยู่ในเมืองหลวง”
“ยังปลอดภัยดีหรือไม่? ไยไม่ตามมาด้วยกัน?”
“เขาทิ้งบิดาไม่ลง ยามนี้ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิ น่าจะปลอดภัยดี”
แม่ทัพโฮ้วกล่าว “ไอ้เด็กคนนี้ ปากร้ายใจดี เป็นคนมีน้ำใจ มีคุณธรรม ข้าดูออกตั้งนานแล้ว”
แม่ทัพโฮ้วถามต่อว่า “โชคดีมากที่ครั้งนี้พวกท่านออกจากเมืองหลวงได้อย่างราบรื่น คนที่ข้าส่งไปรับรายงานว่า เกิดไฟไหม้บนเรือ
และองค์หญิงก็อยู่ในทะเลเปลวไฟ ข้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่เรื่องมันอย่างไรกันแน่ เหตุใดพวกท่านจึงไปอยู่ในค่ายทหารของราชสำนักได้?”
เฉินเสียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยสังเขปหนึ่งจบ
แม่ทัพโฮ้วกล่าว “หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่า ตั้งแต่พวกท่านออกจากเมืองหลวงจนเดินทางมาถึงเมืองขุยก็อยู่ในค่ายทหารของพวกเขา?”
เฉินเสียนพยักหน้าหงึกๆ “ใช่”
“มิน่าล่ะ คนที่ข้าส่งไปตามหาพวกท่านสักทั่ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย ที่แท้ก็อยู่ในค่ายทหารของศัตรูนี่เอง เป็นวิธีที่ดีมาก ลดความยุ่งยากระหว่างทางได้เยอะมากเลย”
เมื่องานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก ใบหน้าแม่ทัพโฮ้วก็เริ่มแดง กล่าวกับเฉินเสียนว่า “องค์หญิง ชีวิตประจำวันในค่ายทหารนั้นลำบากมาก มีแต่บุรุษหยาบกระด้าง ใต้เท้าซูดูแลพระองค์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนอดมองซูเจ๋อไม่ได้ เห็นเขาทำหน้าไม่ยินดียินร้าย กล่าวอย่างอบอุ่นใจว่า “ดูแลดีอยู่แล้ว”
แม่ทัพโฮ้วถามอีกว่า “พักในกระโจมเดียวกันหรือเปล่า?ปกติทหารชั้นล่างจะอัดกันอยู่ในกระโจมเดียวกัน”
เฉินเสียนจิบเหล้าหนึ่งคำ “อืม ทหารหนึ่งเหล่าห้าถึงสิบคน เบียดกันอยู่ในกระโจมเดียวกัน”
คล้ายกับว่าแม่ทัพโฮ้วดื่มหนักมากแล้ว เมื่อเปิดการสนทนาก็พูดเป็นต่อยหอย ถามต่อว่า “กระโจมกว้างไหม? ห้าถึงสิบคนใช้หนึ่งกระโจม งั้นพอตั้งเตียงได้ห้าถึงสิบอันไหม?”
เมื่อคุยถึงเรื่องจุกจิกในค่าย เมื่อกี้เฉินเสียนปากเร็วไปหน่อย ตอนนี้ตอบอย่างระวังว่า “กระโจมทหารจะสู้กระโจมแม่ทัพได้อย่างไร ไม่พอตั้งเตียงขนาดนั้นหรอก ปกติจะนอนด้วยกันสองถึงสามคนในเตียงไม้หนึ่งอันตัว”
ซูเจ๋อยกมือลูบสันจมูก กล่าวเสียงทุ้มต่ำอย่างปวดเศียร เวียนเกล้า “องค์หญิงไม่จำเป็นต้องพูดรายละเอียดพวกนี้กับทหารเก่าแก่หรอก เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร”
จากนั้นแม่ทัพโฮ้วก็ถามอีกว่า “ออ? งั้นองค์หญิงนอนเบียดกับทหารนายไหน? โดนผู้นั้นจับได้ว่าเป็นสตรีหรือเปล่า?”
เฉินเสียนพึ่งรู้ตัวว่าเธอถูกทหารชราล่อถาม เธอแทบอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายเหลือเกิน
เฉินเสียนเท้าคาง กล่าวว่า “ท่านใช้เล่ห์เหลี่ยมกับข้า?”
แม่ทัพโฮ้วกล่าวด้วยใบหน้าวาทะเต็มไปด้วยสัจธรรม “องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นห่วงชื่อเสียงขององค์หญิง ไม่มีเจตนาพูดไร้สาระ ใช่ทหารที่องค์หญิงพามาเมื่อวานหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะไปเชือดคอเขาทิ้ง”
เฉินเสียนกระดกมุมปาก “……ไม่ใช่ แแค่เป็นแผนการรับมือชั่วคราว ไหนเลยจะเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงเรียงนาม แม่ทัพโฮ้วกล่าวเกินไปแล้ว?”
เหลียนชิงโจวกล่าวอย่างรู้ความ “แม่ทัพโฮ้ววางใจ ไม่ว่าอย่างไรอาจารย์ก็ไม่ทำให้ชื่อเสียงองค์หญิงป่นปี้หรอก ย่อมไม่ให้พวกทหารมีโอกาสเข้าใกล้องค์หญิงอยู่แล้ว”