“อ๊าก…”
นิกิตาฮึดฮัดด้วยความเจ็บปวด
ใบหน้าของเขาแดงและดวงตาของเขาก็แดงก่ำ
สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขามาถึงขีดจำกัด แต่ถึงกระนั้นลูกบอลพลังงานตรงหน้าเขาก็ไม่เล็กไปกว่ากำปั้นเลย
เขาหันไปมองที่หัวหน้าชั้นอย่างสิ้นหวัง
“ ดะ – ได้โปรดรออีกหน่อย!”
“ คุณมาถึงขีดจำกัดแล้วหากคุณตั้งใจจะทำให้มันเล็กลงอีกคุณจะทำลายระบบประสาทของตัวเอง ดึงมานาของคุณกลับได้”
“ เอ่อ…”
ไม่ใช่แค่เขา
พ่อมดส่วนใหญ่ที่เข้ารับการทดสอบก็มีขีดจำกัดเช่นเดียวกับเขา
พ่อมดเหล่านี้ที่ไม่สามารถบีบอัดลูกบอลพลังงานให้ได้ขนาดที่ต้องการได้ทำได้แค่เดินกลับขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับความผิดหวัง
“ อืม…ผ่าน”
“ ฉันทำแล้ว!”
แน่นอนว่ายังพอมีผู้ที่ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง
ผู้เข้าสอบถึงกับเหงื่อออกและนี้ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจในขณะที่หัวหน้าชั้นพยักหน้าและประกาศอย่างใจเย็นว่าพวกเขาผ่าน
เป็นที่เข้าใจได้ว่าพวกเขามีความสุข
มิเคลหนึ่งในหัวหน้าชั้นของหอคอยเวทมนตร์ที่ 3 มองไปรอบๆห้องและพลางคิด
“ครั้งนี้ระดับการสอบผ่านนั้นอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย”
จากนั้นสายตาของมิเคลก็จ้องมองไปที่ดาร์กเอลฟ์ทั้งสอง
เมื่อเขาเห็นขนาดของลูกบอลพลังงานตรงหน้าพวกเขา ความรู้สึกของเขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมอยู่ในใจของเขา
ลูกบอลพลังงานตรงหน้าเอลฟ์ชายนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ลูกบอลพลังงานที่อยู่ตรงหน้าเอลฟ์หญิงนั้นมีขนาดเท่ากับเล็บมือ
มิเคลไม่สามารถปกปิดความประหลาดใจของเขาเพราะการควบคุมที่แม่นยำนั้น
“ คุณเรียนรู้เวทมนตร์มานานแค่ไหนแล้ว?”
“20 ปี”
“ อืม…ยอดเยี่ยม พวกคุณทั้งสองผ่าน”
จากนั้นเขาก็กล่าวเสริม
“ ฉันไม่คิดว่าเธอจะต้องทำการทดสอบอะไรอีกแล้ว เธอได้รับอนุญาตให้อ่านกริมโมส คนที่เหลือเห็นด้วยมั้ย?”
“ฉันเห็นด้วย”
“ยอดเยี่ยม”
หัวหน้าชั้นคนอื่นๆ พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
คามิลล์และเลียมสันเพียงแต่ยักไหล่และยอมรับการตัดสินใจ
หลังจากโบกมือให้เฟรย์แล้วพวกเขาก็กลับขึ้นไปชั้นบน
“ฉันอิจฉาพวกเขาจริงๆ”
“มันแย่จริงๆที่คนที่ไม่มีพรสวรรค์จะต้องอยู่กับความเศร้าโศกเท่านั่น”
ในขณะที่พ่อมดคนอื่นๆมองดูเอลฟ์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา มิเคลก็หันไปจ้องที่แถวถัดไป
นั่นคือเฟรย์
แวบแรกดูเหมือนจะไม่มีลูกบอลพลังงานอยู่ตรงหน้าเขา
มิเคลหยุดอยู่ตรงหน้าเขาโดยไม่พูดอะไร
เหล่าพ่อมดเริ่มกระซิบกระซาบกันเมื่อเห็นสิ่งนี้
“เขาทำอะไร? เขายอมแพ้แล้วเหรอ?”
“ ฉันคิดอย่างนั้น ”
“ แล้วทำไมเขาถึงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นใจละ? ”
“ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนักรบเวทย์ธรรมดาๆเท่านั้น”
“ ไม่มีทางที่ผู้ชายที่แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้สู่สีกับดาร์กเอลฟ์จะเป็นพ่อมดได้”
ตอนนั้นเอง
มิเคลเดินเข้าไปหาเฟรย์ขณะที่กำลังจะพูด
“ …ไม่อยากจะเชื่อเลย”
มิเคลไม่ได้มองไปที่เฟรย์
สิ่งที่เขามองคือพื้นที่ว่างตรงหน้าเขา
ไม่…มันไม่ได้ว่างเปล่า
เหล่าพ่อมดขี้สงสัยเริ่มหรี่ตาทีละคน
ความตกใจค่อยๆเริ่มกระจายไปทั่วใบหน้าของพวกเขา
“ นะ – นั่น…”
“ ปะ – เป็นไปไม่ได้…”
จากนั้นพ่อมดก็รู้ในทันที
สิ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้าเฟรย์คือลูกบอลพลังงานขนาดเท่าเม็ดฝุ่นละออง
แม้แต่มิเคลเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะบีบอัดได้มากถึงขนาดนั้น
ไม่เพียงแค่นั้นไม่ว่าเขาจะถามหัวหน้าชั้นคนไหนคำตอบก็คงจะเหมือนกัน
สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ยกเว้นว่าเขาจะสามารถควบคุมมานาได้อย่างแม่นยำมาก
“คุณชื่ออะไร?”
“เฟรย์”
“ …เฟรย์สินะ”
มิเคลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยเสียงใสและดวงตาประกาย
“ คุณไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบอีกต่อไป”
“ คุณหมายถึงอะไร?”
“คุณสอบผ่านและก็…”
เขามองไปรอบๆสักครู่ก่อนจะพูดต่อ
“ ถ้าไม่รบกวนคุณเกินไป ทำไมเราไม่ไปคุยเป็นการส่วนตัวกันสักหน่อยละ”
* * *
เฟรย์ตามมิเคลไปที่ชั้น 9 ของหอคอย
เขาอยู่หอคอยมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาขั้นนี้
นั่นเป็นเพราะมีเพียงเจ้าหน้าที่สำคัญของหอคอยเท่านั้นที่สามารถผ่านเกินชั้นที่ 7 ได้
มิเคลจ้องมองเฟรย์ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเปิดปาก
“คุณมาจากไหน?”
เขาถามคำถามที่คลุมเครือมาก
ในขณะเดียวกันเขาก็จงใจมองไปที่ต่างหูไต้ฝุ่นที่ห้อยอยู่ข้างหูของเฟรย์
หากเขาไม่ต้องการตั้งคำถามต่อไปเฟรย์ก็สามารถตอบได้ง่ายๆว่าเขามาจากตระกูลเบลค
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น
“ ดยุกเชพเพิร์ดเป็นคนที่แนะนำผมให้มาที่หอคอยเวทย์มนต์ที่ 3”
“ อืม ”
มิเคลขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อของเชพเพิร์ด เขารู้ว่าเชพเพิร์ดเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเซอร์เคิล
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจหนักๆ
“อย่างนี่สินะ ครั้งนี้ออเนอเชพเพิร์ดได้เจอกับคนที่มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ‘
ดูเหมือนว่าเขาเข้าใจผิดไปบางอย่าง
“ ตอนนี้ผมไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมกับสโตรว์เน็คลิซ”
“ โห นั่นหมายความว่าคุณยังเป็นคนพเนจร ถ้าอย่างนั้น … คุณต้องการเข้าร่วมกับเราไหม?”
เฟรย์พูดไม่ออกไปชั่วขณะเพราะเขาไม่คาดคิดว่าเขาจะโยนข้อเสนอดังกล่าวออกมาในทันที
“…เรา?”
“ กลุ่มเซอร์เคิลที่ชื่อว่าไพลส์ฟาวเดอร์อาร์เมลท์”
เฟรย์ส่ายหัว
“ ผมไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มใดๆในตอนนี้”
“ นั่นเป็นเรืองที่น่าเสียดาย”
“ ผมไม่คิดว่านั่นเป็นสาเหตุที่คุณเรียกผมมาที่นี่”
มิเคลลังเลครู่หนึ่งก่อนจะอ้าปาก
“ คุณดูเหมือนพ่อมดที่อยู่ในระดับ 5 ดาวเป็นอย่างน้อย ฉันพูดถูกไหม?”
“ ผมไม่ปฏิเสธ”
แม้ว่าเฟรย์จะมาถึงครึ่งทางของระดับ 7ดาว แต่ก็ไม่ผิดที่จะบอกว่าเขาอยู่ในระดับ 5 ดาวเป็นอย่างน้อย
เฟรย์พยักหน้า
การจ้องมองของมิเคลรุนแรงขึ้น
“ คุณรู้จักเกี่ยวกับเดมิก็อดมากแค่ไหน?”
“นิดหน่อย”
“ ดีเพราะการสนทนาจะได้ไม่ยาวจนเกินไป ไม่นานมานี้มีการพบร่องรอยของเดมิก็อดในอุเธียโน่”
“ …!”
ดวงตาของเฟรย์เย็นขึ้นมา
“ ร่องรอยอะไร?”
“ เพื่อความแม่นยำ เป็นร่องรอยของผู้คลั่งไคล้ที่บูชาพวกเดมิก็อด พวกเขาเป็นคนที่ถูกควบคุมโดยเหล่าเดมิก็อด แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นพวกลูกเจี๊ยบดังนั้นเราจึงไม่ได้ใส่ใจกับมันมาก แต่มีโอกาสสูงที่จะมีอัครสาวกอยู่ท่ามกลางพวกเขา”
“ …?”
“ อ๊ะคุณยังไม่รู้หรือ อัครสาวกคือคนที่ถูกเลือกโดยเหล่าเดมิก็อดโดยตรง พวกเขาสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเดิมเป็นเอกสิทธิ์ของเดมิก็อดเท่านั้นได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่เฟรย์ได้ยินเกี่ยวกับพวกเขา
4,000 ปีมาก่อนไม่มีเรืองเช่นนี่เลย
“ อุเธียโน่เป็นพื้นที่ภายใต้การควบคุมของออเนอลุคส์และฉัน ”
“ ออเนอคืออะไร? ”
“ อืม…แสดงว่าคุณยังไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับเซอร์เคิล”
มิเคลยักไหล่และอธิบาย
“ ฟอร์สออเนอหรือพูดง่ายๆก็คือพวกเขาเป็นผู้บริหารในเซอร์เคิล ตำแหน่งที่สูงกว่านั้นคือเซอร์เคิลมาสเตอร์ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นหัวหน้าสูงสุดและเซอร์เคิลราวเดอร์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาลำดับที่สอง”
เขาเพิ่งรู้ว่าเชพเพิร์ดเป็นฟอร์สออเนอ ก็ตอนนี่เอง
เขาอยู่ในระดับ 7 ดาวซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยต้องมีระดับเดียวกันจึงจะสามารถเป็นผู้บริหารได้
‘แสดงว่าเซอร์เคิลมาสเตอร์และเซอร์เคิลราวเดอร์น่าจะต้องแข็งแกร่งกว่านั้น’
เฟรย์ตัดสินใจถามสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดหลังจากกลับมา
“ เหล่าเซอร์เคิลมาสเตอร์อยู่ในระดับใด?”
“ …”
มิเคลสังเกตเห็นเฟรย์อยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าไร้คำพูด
“ …ฉันไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ระดับของเซอร์เคิลมาสเตอร์ไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรรู้”
ในสายตาของเฟรย์มิเคลไม่ใช่พ่อมดที่จะยอมคุกเข่าให้ใครง่ายๆ
เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในระดับ 6 ดาวเป็นอย่างน้อย
เขาอยากรู้อยากเห็น
‘…ครึ่งปีไม่สิ การทดสอบจะมีขึ้นในอีกห้าเดือน
ถ้าเขาไปที่นั่นเขาจะมีโอกาสสูงที่จะได้พบกับเซอร์เคิลมาสเตอร์ที่ใช่นามของเขาและเพื่อนสนิทของเขา
พวกเขาเป็นคนที่น่าจะรู้เกี่ยวกับพวกเดมิก็อดมากที่สุดในยุคปัจจุบันและมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะมีอำนาจพอในการเผชิญหน้ากับพวกมัน
ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นคนที่เฟรย์ต้องพบ
เฟรย์ไม่เชื่อว่าพวกเขาใช้ชื่อเหล่านั้นเพราะแค่ชื่นชมเหล่าวีรบุรุษในอดีต
วีรบุรุษเมื่อ 4,000 ปีก่อนเป็นบุคคลในตำนานของเหล่ามนุษย์ เฟรย์เคยอ่านเรื่องนี้ในหนังสือหลายเล่มแล้ว
ชไวเซอร์สโตรว์ได้รับการยกย่องว่าฉลาดกว่าใครในโลก
ไอริส ไพลส์ฟาวเดอร์ผู้ซึ่งเปลี่ยนการยอมรับของเหล่าแม่มดบนโลกโดยสิ้นเชิง
คาซาจินผู้ซึ่งกล่าวกันว่าได้ปูถนนแห่งศิลปะการต่อสู้
ลูซิดผู้ขึ้นสู่บัลลังก์ของราชาแห่งดาบ
และลูคัสโทรว์แมน ชายคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้รับฉายา “มหาจอมเวทย์”
ไม่มีเหยื่ออะไรที่ดีไปกว่าการใช้ชื่อเหล่านั้นเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน
แน่นอนเฟรย์ไม่ได้ตำหนิพวกเขา
ในการต่อสู้กับเดมิก็อด พวกเขาต้องใช้ทุกวิธีที่พวกเขาหาได้
และเฟรย์ก็ชอบวิธีนั้นเช่นกัน แต่ก็ไม่ควรให้ค่ามันมากเกินไป
นี่คือเหตุผลที่เฟรย์ตั้งใจที่จะเห็นพวกเขาด้วยตาของเขาเอง
หากเฟรย์ได้พบพวกเขาด้วยตนเองเฟรย์จะสามารถเรียนรู้ขอบเขตของพลังและความตั้งใจจริงของพวกเขาได้
“ ทำไมคุณถึงบอกเรื่องของอัครสาวกให้กับผมที่ยังไม่ได้เข้าร่วมเซอร์เคิลละ?”
“ …เราไม่มีสมาชิกเซอร์เคิลคนอื่นอีกแล้วในหอคอยเวทมนตร์ในขณะนี้ ออเนอลุคส์ถูกเรียกให้เข้าประชุมฉุกเฉินในขณะเดียวกันพวกเราก็ได้พบร่องรอยของอัครสาวก”
หลังจากที่เขาพูดมาทั้งหมดเฟรย์ก็เข้าใจเจตนาของเขา
“ คุณอยากขอให้ผมเป็นกำลังเสริมเหรอ?”
“ พูดตามตรง ใช่”
มิเคลพูดต่อขณะประสานมือต่อหน้าเขา
“ ออเนอลุคส์ได้สั่งไม่ให้ฉันออกไปไหนจนกว่าเขาจะกลับมา แต่สถานการณ์นี้เลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากเราปล่อยทิ้งไว้เฉยๆหมู่บ้านเหล่านี่ก็อาจระเหยหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
“ เหตุผลที่คุณขอความช่วยเหลือจากคนนอกอย่างผม…เป็นเพราะไม่มีสมาชิกของเซอร์เคิลคนอื่นๆอยู่ในหอคอย?
“ถูกตัอง”
หวด!!
มิเคลยกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นสร้อยข้อมือสีดำที่รัดข้อมือเขาแน่น
เฟรย์ตระหนักว่าเป็นของที่ไอริสเคยประดิษฐ์
“ ปัจจุบันเซอร์เคิลต้องเคลื่อนไหวอย่างลับๆมากขึ้น นับตั้งแต่การตายของเซอร์เคิลมาสเตอร์ของโทร์วแมนริงส์จากฝีมือของเดมิก็อด หากพวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวพวกเราก็คงไม่ต้องพูดกันในที่ลับๆแบบนี้”
“ …”
“มันเป็นความจริง คุณอาจสังเกตเห็นแล้วว่ามีมนต์สะกดอยู่บนผนัง”
“ มันไม่สามารถหยุดใครจากการดักฟังได้โดยสิ้นเชิง แต่คุณออกแบบมันในลักษณะที่คุณสามารถบอกได้ทันทีหากมีคนพยายายทำลายและดักฟัง”
“ …! ถูกต้อง”
มิเคลพูดขึ้นหลังจากตกใจครู่หนึ่ง
เขาไม่ได้ตรวจไปที่กำแพงเลยด้วย แต่เขาก็ยังสามารถเข้าใจลักษณะที่แท้จริงของเวทย์มนต์ที่เราใช้
‘อืม ดูเหมือนเขาจะอายุไม่ถึงยี่สิบปีเลยนะ ‘
แต่มันทำมันเหมือนกับการพูดคุยอยู่กับพ่อมดที่อยู่ในวัยแก่
นอกเหนือจากขนาดของลูกบอลพลังงานซึ่งมีขนาดเล็กกว่าจุดฝุ่นและปริมาณมานาที่แท้จริงที่เขาสัมผัสได้ภายในนั้น …
มิเคลไม่เคยอิจฉาความสามารถของคนอื่นมาก่อน แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขากลายเป็นข้อยกเว้น
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลานั้น
มิเคลที่ไออยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็เปิดเผยความตั้งใจของเขา
“ แน่นอนฉันไม่ได้ตั้งใจให้คุณมีบทบาทสำคัญ ฉันขอให้คุณช่วยเพื่อเป็นหลักประกัน”
“หลักประกัน?”
การแสดงออกของมิเคลกลายเป็นจริงจัง
“ …ที่จริงฉันขอกำลังเสริมจากพันธมิตรของเราในเซอร์เคิล นั่นคือเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว”
“ ถ้าเป็นเดือนที่แล้ว…อา”
มิเคลพยักหน้าเมื่อเขารู้ว่าเฟรย์เข้าใจเรืองที่เกิดขึ้นแล้ว
“ ดาร์กเอลฟ์ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเซอร์เคิลด้วย ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เป็นกำลังเสริมจาก [แบล๊คทูฟ] ที่ฉันร้องขอไป”
แน่นอน
ตอนนี้เฟรย์สามารถเข้าใจได้แล้วว่าทำไมมิเคลจึงอนุญาตให้พวกเขาอ่านกริมโมสในหอคอยได้อย่างง่ายดาย
บางทีนั่นอาจเป็นข้อตกลงของการที่ของพวกเขายอมมาเป็นกำลังเสริม การเข้าร่วมการทดสอบเป็นเพียงกระบวนการบังหน้าเท่านั้น
“ พวกเขาบอกว่าพวกเอลฟ์จะมาที่นี่เพื่อเสริมกำลังให้ แต่ฉันไม่เชื่อใจพวกเขาอย่างสมบูรณ์ ฉันเคยได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีมากมายเกี่ยวกับดาร์กเอลฟ์ และตอนที่ฉันเห็นคุณใส่ต่างหูไต้ฝุ่นฉันก็….”
เฟรย์เขี่ยตุ้มหูของเขาข้างหนึงเล่นไปมาจากคำพูดนั้น