ในใจเหมือนดั่งเครื่องปรุงรสต่างๆหกกระจาย ความรู้สึกปั่นป่วนไปหมด
มองไปยังใบหน้าที่ยังคงหล่อเหลาเหมือนดั่งงานแกะสลักชั้นเลิศนั้น เธอหวั่นไหวไปชั่วขณะ รู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้เป็นเหมือนความฝัน
เวินหนิงชะงักไปสักพัก แล้วหันตัวหลบลู่จิ้นยวน
แต่ขาเจ้ากรรมกลับสะดุดเข้า
“โอ้ย……”ร่างกายของเวินหนิงเอียงโงนเงนแล้วเธอก็อุทานด้วยความตกใจ ตามด้วยเธอรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง
ชะล่าใจเกินไปแล้ว เสียงของเธอ……
ลู่จิ้นยวน คงได้ยินไม่ชัดหรอกใช่มั้ย?
เวินหนิงรู้สึกว่าร่างกายของเธอกำลังล้มไปข้างหลัง รู้สึกตัวเองนั้นโง่มาก ที่มาล้มตรงหน้าของลู่จิ้นยวน เธอกำลังที่จะตกอยู่ในความน่าอับอายนั้นผู้ชายตรงหน้าได้ยื่นมือมาดึงเสื้อเธอไว้
หลังจากที่ได้ช่วยเธอแล้วลู่จิ้นยวนยังรู้สึกคาดคิดไม่ถึงกับการกระทำของเขาเลย
เขาเองเป็นคนที่มีนิสัยไม่ชอบถูกเนื้อต้องตัวใคร คนตรงหน้าของเขาเป็นแค่คนธรรมดาคนนึง แว่นตาที่หนาเตอะ และบนใบหน้าที่มีฝ้านั้น ดูยังไงก็ไม่ใช่แนวที่เขาจะเข้าใกล้
แต่ว่า…….
ความรู้สึกที่คุ้นเคยนั่น ทำให้เขาทำแบบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว
เวินหนิงชะงัก เธอไม่รู้ว่าทำไมลู่จิ้นยวนถึงออกมือช่วย แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หลังจากที่ทรงตัวได้แล้ว เวินหนิงหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง จากนั้นถึงจะคลองสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง
“ขอบคุณค่ะ”ในใจของเวินหนิงนั้นทั้งอายและว้าวุ่น อยากที่จะหายไปจากตรงนี้เสียให้ได้
แต่เธอได้กดเสียงตัวเองให้ต่ำลงตอนที่พูดขอบคุณ ถ้าสักแต่คิดจะหนีอย่างเดียวอาจะทำให้เขาสงสัยเอาได้
ลู่จิ้นยวนจ้องเธอเขม็ง เสียงเมื่อสักครู่ แหบแห้ง และทุ้มเล็กน้อย กับเสียงของเวินหนิงที่นุ่นนวนน่าฟังนั้นไม่มีความเหมือนเลยสักนิด
เมื่อสักครู่ทำไมถึงเหมือนฟังผิดไป เหมือนได้ยินเสียงของเวินหนิง?
“เธอเป็นใครกันแน่?ไม่มีใครบอกเธอหรือไงว่าห้องนี้ไม่ให้เข้าโดยพละการ?”
ลู่จิ้นยวนปล่อยมือ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ
“คือ ฉันเป็นแม่เลี้ยงคนใหม่ ไม่รู้กฏระเบียบ…….”เวินหนิงที่ได้ยินที่ลู่จิ้นยวนพูดก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็คงพูดขอโทษด้วยความถ่อมตัว
ห้องนี้ เป็นที่หวงห้ามของบ้านหลังนี้งั้นหรอ?
ทำไมลู่จิ้นยวนถึงมีสีหน้าดูใส่ใจขนาดนั้น?
เขามีแผนอะไรกันแน่ หรือว่าเธอในสายตาเขาแล้วห้องของ’คนตาย’มันอัปมงคล กลัววิญญาณจะมาก่อความวุ่นวาย จะพาหายยะนะมาให้งั้นหรอ?
ขณะที่ความคิดของเวินหนิงกำลังตีกันอยู่ในหัว ไป๋หลินยวี่ที่เห็นลู่จิ้นยวนที่ยังไม่กลับเข้าไปนั้นก็เดินออกมาหา แล้วได้ยินเสียงดังอยู่ข้างนอก
จากนั้นก็เห็นทั้งสองคนที่กำลังจ้องมองกันอยู่
เธอตกใจจนหัวใจเกือบจะหยุดเต้น
คงไม่ใช่โดนจับได้แล้วใช่มั้ย?
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไรคะ ฉันแค่เพลอเข้าไปในห้องของคุณหนู ขอโทษด้วยนะคะ”
เวินหนิงเก็บความคิดที่เรื่อยเปื่อยพวกนั้นทันที กดเสียงแล้วพูดขอโทษ
ยังไม่โดนจับได้
ไป๋หลินยวี่โล่งอกขึ้นมาในทันที ตามด้วยมองไปที่ลู่จิ้นยวนแวบนึง “นายตามฉันมา ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
แล้วยื่นเด็กในอ้อมกอดไปให้เวินหนิง“เธอพาคุณชายน้อยไปเข้านอนก่อน”
เวินหนิงตื่นเต้นขึ้นมาในทันที มองไปยังเด็กตัวเล็กๆที่อยู่ในอ้อมกอดของไป๋หลินยวี่ จังหวะการหายใจของเธอก็ช้าลงตามไปด้วย
เด็กคนนี้เป็นลูกของเธอ……
ลู่อันหรานดูเหมือนจะเหนื่อยแล้ว ตอนนี้เลยยังคงหลับอยู่ ใบหน้าเล็กๆนั่นดูดีขึ้นเยอะกว่าตอนที่คลอดออกมาไม่น้อย คงจะเป็นเพราะโตขึ้นแล้วสินะ จากที่มีเส้นผมแค่ไม่กี่เส้น ตอนนี้ก็มีเยอะขึ้นกว่าเดิมแล้ว ดูเหมือนตุ๊กตาเลย น่ารักมาก
เวินหนิงแทบจะก้าวขาตัวเองไม่ออก มองดูลูกของเธออย่างงั้น จนน้ำตาเกือบไหลออกมาเลยทีเดียว
ลู่จิ้นยวนที่เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือนมีตรงไหนแปลกๆ
ผู้หญิงคนนี้ ถึงแม้จะชอบเด็กมากแค่ไหนก็ไม่ควรมีท่าทีแบบนี้หรือเปล่า?
เหมือนเห็นลูกของตัวเองอย่างงั้นแหละ ทั้งคนนี่แปลกไปหมดเลย
“ไม่ได้ คนนี้ ฉันไม่เชื่อใจ”
ลู่จิ้นยวนตัดบทสนทนาของทั้งสอง
ลู่อันหรานตอนนี้เป็นเหมือนหัวใจตระกูลลู่ จะให้เขาลูกไปอยู่กับคนที่เขาไม่เชื่อใจได้ยังไง?
ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
“……”
เวินหนิงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นสายตาที่มีความระแวงของลู่จิ้นยวน เธอกัดฟันตัวเองแน่น“แต่การดูดเจรจาของพวกคุณจะรบกวนการนอนของคุณชายน้อย ฉันอยู่ที่บ้านตระกูลเวินคงไม่หนีไปไหนหรอก ให้ฉันเป็นคนดูเขาเถอะ!”
ไม่ง่ายเลยที่กว่าจะได้มีเวลาที่จะได้อยู่กับลูก ให้พูดยังไงเวินหนิงก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปหรอก
“……”
ลู่จิ้นยวนเงียบไปสักพัก“เธออุ้มเด็กไว้ แล้วยืนอยู่ที่ฉันสามารถมองเห็นได้ ไม่งั้นละก็ ฉันจะเป็นคนอุ้มเอง……”
ลู่จิ้นยวนตั้งใจที่จะพูดแบบนี้ คนนี้น่าสงสัยเกินไป ถึงจะไม่มีหลักฐาน แต่หน้าตาและเสียงเป็นคนแปลกหน้า แต่ยังไงลู่จิ้นยวนก็มีความรู้สึกคุ้นผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างมาก ความคุ้นเคยนั้นทำให้เขาแปลกใจ
ถึงในความเป็นจริงรู้ว่าเวินหนิงได้ตายไปแล้ว และเขาเองก็เป็นคนฝังเองกับมือ แต่ยังไงเขาก็ไม่อยากที่จะเชื่อเรื่องนี้อยู่ดี
เห็นความเด็ดขาดของลู่จิ้นยวนแล้วเวินหนิงก็จนปัญญา ได้แต่ตอบตกลงไปตามนั้น
อุ้มเด็กไว้แล้วเดินไปที่ๆอยู่ในสายตาของทั้งสอง แล้วยืนหลบตรงมุม ลู่อันหรานหลับไปแล้วเลยไม่ได้ร้องไห้โวยวาย
เวินหนิงอุ้มไว้แบบนั้น ถึงเด็กจะมีอายุแค่ไม่กี่เดือน แต่ก็มีน้ำหนักพอสมควร กับเวินหนิงที่ป่วยมาตลอดแล้วมาอุ้มเด็กไว้แล้วไม่ไปไหน กับเธอแล้วไม่ใช่งานเบาๆเลยทีเดียว
แต่เธอไม่อยากจะปล่อยมือ เธอนั้นแทบจะอยากอุ้มลูกของเธอไว้ ไม่แยกจากกันอีก
ไป๋หลินยวี่เหล่มองเวินหนิงเป็นพักๆ แล้วก็สังเกตการเคลื่อนไหวของลู่จิ้นยวน
ดูลู่จิ้นยวนเองก็ไม่มีท่าทีสงสัยอะไร ก็โล่งอก เปิดสัญญาฉบับหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นไปให้ลู่จิ้นยวน
ตอนนี้เธอนั้นรับช่วงต่อตระกูลเวินอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ไป๋หลินยวี่ก็ยืนยันที่จะไม่รับการช่วยเหลือใดๆจากตระกูลลู่ เธอไม่อยากให้ตระกูลลู่เข้ามาแทรกแซงเรื่องของครอบครัวของตัวเอง และไม่อยากที่จะติดหนี้บุญคุณของตระกูลลู่
ในเมื่อการติดหนี้บุญคุณใครนั้น อยากที่จะทดแทน
แต่เพื่อที่จะยื้อเวลาให้เวินหนิงได้อยู่กับลูก ไป๋หลินยวี่ได้เตรียมสัญญาฉบับหนึ่งให้ลู่จิ้นยวนอ่าน
ลู่จิ้นยวนอ่านสัญญาฉบับนี้ด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความสนใจของเขานั้นอยู่ๆก็ชอบไปอยู่ที่ผู้หญิงที่ยืนเงียบๆอยู่อีกมุมของห้อง
ตอนนี้เธอนั้นอุ้มลู่อันหรานไว้ เดินไปมากด้วยท่าทีเบาๆ บนใบหน้าที่แสนธรรมดานั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดู ทำให้ใบหน้าของเธอนั้นดูอบอุ่นขึ้นมา
แต่……
ลู่จิ้นยวนเห็นท่าทางการอุ้มของเธอนั้นยังไม่คล่องมากนัก ถึงแม้จะระมัดระวังมาก แต่แค่มองก็รู้ว่านี่คือครั้งแรกที่ทำเรื่องแบบนี้
คนแบบนี้ ทำไมถึงถูกไป๋หลินยวี่จ้างมาดูแลเด็กได้?
“พี่เลี้ยงคนนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ครั้งที่แล้วยังไม่เคยเห็นเลย”
ลู่จิ้นยวนดูสัญญาไปคร่าวๆ แล้วทำเหมือนถามโดยไม่ได้ตั้งใจ
ไป๋หลินยวี่ก็ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร เธอก็ใช้เหตุผลที่คิดไว้แต่แรกตอบไป“เธอเป็นคนน่าสงสาร ฉันเห็นเธอไม่มีที่ไปเลยรับเธอมาอยู่ด้วย เห็นเธอเป็นคนชอบเด็กเลยให้มาทำงานเป็นคนดูแลเด็ก”