บางทีอาจเป็นเพราะสีหน้าจริงจังของเหอจื่ออันทำให้เธอนั้นหวั่นไหว
เวินหนิงพยักหน้า
เหอจื่ออันไม่โกหกเธอหรอก ถ้าอย่างนั้นเธอมีโอกาสที่จะเจอลูกของเธอจริงๆหรอ?
คิดแล้ว เวินหนิงยันตัวเองขึ้นนั่ง“ฉันรู้แล้ว……ฉันล้มหรอก”
……
หลังจากที่พักฟื้นตัวได้ระยะนึงแล้ว อาจเป็นเพราะชีวิตที่มืดมนไม่รู้ทางที่จะก้าวเดินไปต่อนั้นมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ร่างกายของเวินหนิงนั้นดีขึ้นไม่น้อย ค่อยๆที่จะสามารถลุกขึ้นเดินไปมา
หลังจากที่เหอจื่ออันและไป๋หลินยวี่นัดเวลากันเรียบร้อยแล้ว ก็พาเวินหนิงกลับเมืองเจียงเฉิง
วินาทีที่ลงจากเครื่องบิน เวินหนิงรู้สึกเหมือนถูกแยกไปโลกอีกใบ
ระยะนี้เธออยู่เมืองนอกตลอด ถึงภาพแวดล้อมที่นั่นจะสวยและเต็มไปด้วยวัฒนธรรมของต่างประเทศ แต่ก็ไม่ใช่บ้านเกิดอยู่ดี
ตอนนี้ กลับมาถึงสถานที่ๆเติบโตของเธอนั้น เธอรู้สึกคุ้ยเคยและคิดถึง
“ฉันจะดูสถานการณ์ก่อน ถ้าเกิดได้ละก็ สามารถออกไปเดินเที่ยวได้”
เหอจื่ออันยื่นมือไปกดหมวกที่เวินหนิงสวมอยู่ลง
เพื่อไม่ให้ใครดูออกแล้วเกิดปัญาที่ไม่จำเป็น ครั้งนี้เวินหนิงตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษ–สวมหมวกใบใหญ่บังหน้าไปเป็นครึ่ง แว่นกันแดดและผ้าปิดปาก และก็ปกปิดที่อื่นอย่างมิดชิด
โชดดีที่ตอนนี้เมืองเจียงเฉิงเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว คนอื่นที่เห็นเธอแต่งตัวแบบนี้ก็แค่จะหันมามองแต่ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร
“เวลาที่จะพาลูกออกมาคือพรุ่งนี้ใช่มั้ย?”
เวินหนิงพยักหน้าแล้วหันหลบมือของเหอจื่ออัน
มือของชายคนนี้อบอุ่นมาก แต่กลับมีความรู้สึกที่รักและห่วงใย ความรู้สึกนั้นทำให้เวินหนิงหลบด้วยสัญชาตญาณ
พอสังเกตถึงสิ่งนี้ เหอจื่ออันก็ถอนหายใจในใจ ไม่ได้แสดงถึงความผิดหวังออกมาทางสีหน้า
ดูเหมือนว่าหลังจากความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวในครั้งก่อน ทำให้เธอนั้นสร้างเกาะป้องกันความรู้สึกที่คนอื่นมีเธอให้เป็นอย่างมาก
“ใช่ ถึงเวลานั้นเธอปลอมตัวให้เรียบร้อย อย่าให้คนอื่นดูออกว่าเป็นเธอเด็กขาด หลังจากนั้นเธอก็ใช้เวลาอยู่กับลูกให้เร็วที่สุด คุณน้าจะพยายามถ่วงเวลาให้”
เวินหนิงพยัก พอคิดว่าจะได้เห็นลูกนั้นมือของเธอนั้นสั่นขึ้นมา
ตอนนี้ ลูกของเธอก็คงจะอายุสามเดือนแล้วสินะ……
ไม่รุ้ว่าตอนนี้หน้าตาของเขานั้นเป็นยังไงบ้างแล้ว มีตรงไหนที่เหมือนเธอหรือเปล่า?
พอนึกถึงตรงนี้ ในใจของเวินหนิงนั้นก็มีความรู้สึกที่หวานละมุนและปวดใจขึ้นมา
……
วันที่สอง
เวินหนิงตื่นนอนแต่เช้า
เพราะกลัวใครมาเห็นเข้า เธอไม่ได้กลับไปอยู่ที่บ้านของตระกูลเวิน แต่ไปอยู่ที่โรงแรมแทน
เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นเธอ เธอเตรียมเครื่องสำอางมาเยอะมาก ทาให้หน้าตัวเองดำขึ้นกว่าเดิม แล้วจุดฝ้าบนใบหน้าตัวเองหลายๆจุด แล้วใส่วิกผมทรงกะลา บวกกันแว่นที่หนาเตอะ เสือผ้าตัวโคร่งใหญ่ๆ
ดูธรรมดามากๆ ถ้าเข้าไปในในฝูงคนแล้วก็จะเป็นหญิงวันกลางคน ดูไม่ออกแน่นอน
เหอจื่ออันมาเคาะประตูห้อง เวินหนิงเดินออกไป เห็นการแต่งตัวของเธอแล้วก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้“แบบนี้ไม่เว่ร์อเกินไปหน่อยหรอ……”
เวินหนิงมองตัวเอง“ฉันว่าก็โอเคอยู่นะ กันไว้ก่อนเผื่อมีปัญหาตามมา ทีหลัง”
พูดจบเธอก็ดึงเสื้อเล็กน้อย ในใจก็มีความคิดแปลกๆขึ้นมา
เธอตั้งใจแต่งตัวแปลกๆแบบนี้ เหมือนกับว่าลู่จิ้นยวนจะมาหาเธออย่างงั้นแหละ ทั้งๆที่ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย แต่เธอก็ทำแบบนี้ไปแล้ว……
คิดแล้วเวินหนิงก็ยกยิ้มตัวเองที่เป็นแบบนี้ แล้วเดินตามเหอจื่ออันขึ้นรถไป
วันนี้เธอปลอมตัวเป็นแม่เลี้ยงของไป๋หลินยวี่ ถึงเวลานั้นไป๋หลินยวี่จะหาข้ออ้างไปคุยกับลู่จิ้นยวน แบบนี้เธอก็จะมีเวลาที่ได้อยู่กับลูกแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ และรถที่เคลื่อนเข้าใกล้บ้านตระกูลเวินเรื่อยๆ มือของเวินหนิงจับกันแน่นขึ้น เหงื่อเริ่มออก หัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้นเร็วๆ
เธอถึงจะเห็นว่ารถของลู่จิ้นยวนนั้นได้จอดไว้ข้างนอกแล้ว ยังคงเป็นรถลิมิเตดที่แสนสะดุดตานั้น จะละสายตายังไม่ได้เลย
ในหัวของเวินหนิงนั้นได้นึกย้อนถึงความทรงจำในอดีต ตอนนั้น เธอก็เคยนั่งรถคันนี้เหมือนกัน ความทรงจำกับเจ้าของรถคันนี้ แต่ยังไงก็เป็นแค่นั้น
ระหว่างพวกเขาสองคน ตอนนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว
“ฉันรอเธออยู่ข้างนอกนะ มีอะไรก็โทรมาหาฉันได้ ฉันจะรีบไปหาทันที”
เพราะปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความลับ เพราะฉะนั้น เหอจื่ออันเข้าไปด้วยไม่ได้ ถ้าเข้าไปใกล้กว่านี้ เกิดลู่จิ้นยวนเห็นเขาจะทำให้ฝ่ายนั้นสงสัยเอา
เวินหนิงพยักหน้าตอบ“วางใจเถอะ ไม่เกิดอะไรขึ้นแน่นอน ฉันปลอมตัวมาขนาดนี้ เขาดูไม่ออกหรอก”
พูดจบ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ลดความตื่นเต้นที่อยู่ในใจ เปิดประตูเดินลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
บ้านตระกูลเวินตอนนี้มีไป๋หลินยวี่เป็นคนดูแล สิ่งที่เวินฉี่โม่กับจ้าวหยาหลินเคยหลงเหลือไว้ เธอได้ทำลายทิ้งหมดแล้ว เก็บไว้แค่สิ่งที่เวินหนิงนั้นคุ้นเคย
ไป๋หลินยวี่ไม่ได้ให้สัญญาณอะไรกับเธอ เวินหนิงไม่กล้าที่จะเข้าไปโดยตรง เธอเลยเดินไปที่ห้องเคยเป็นของเธอตามความทรงจำที่เธอจำได้
เปิดประตูออก ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่เธอนั้นเคยคุ้นเคย
ห้องของเวินหนิง ไป๋หลินยวี่ได้จัดตกแต่งให้กลับไปเป็นสภาพตอนที่เธอยังสาว
ที่ว่างไว้ก็ได้มีเปียโนมาตั้งไว้ เตียงที่กว้างใหญ่ถูกปูด้วยผ้าสีชมพู บวกกับผ้าม่านที่เหมือนกับเจ้าหญิงที่เธอเคยชอบ ทำให้เธอเหมือนได้นึกย้อนกลับไปในหลายๆปีก่อน
เธอในตอนนั้น ยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกพ่อแม่นั้นทั้งรักทั้งหวง เห็นเธอเป็นเหมือนดั่งเจ้าหญิงตัวน้อยๆ อยากได้อะไรก็ได้ แต่ตอนนี้……
เวินหนิงมองไปที่สิ่งของพวกนั้น ถึงจะคิดถึง แต่ไม่มีความรู้สึกที่อยากได้แล้ว เธอ……ได้เปลี่ยนไปนานแล้ว ไม่ได้ชอบของพวกนั้นอีกแล้ว
ขณะที่เวินหนิงได้ยืนเหม่อในห้องนั้น ก็ได้มีเสียงเท้าดังมาจากข้างนอก
เดิมลู่จิ้นยวนแค่อยากออกมาสูบบุหรี่ ตั้งแต่หลังจากที่เวินหนิงเสีย เขาเองก็มีนิสัยชอบสูบบุหรี่ไปเลย
แต่พอออกมา ลู่จิ้นยวนเห็นประตูห้องของเวินหนิงนั้นถูกเปิดออก
ตรงนั้น เป็นที่ๆห้ามคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเข้าไปยุ่ง
ห้องของเวินหนิง เขาเป็นคนทำขึ้นเองกับมือ ของทุกอย่าง เขาเป็นคนซื้อด้วยตัวเอง แม้กระทั่งเปียโนที่ตั้งอยู่ ก็เป็นตอนนี้ตระกูลเวินล้มละลาย เขาไปประมูลกลับมา
ของทุกชิ้น ล้วนมีร่องรอยของคนๆนั้น เพราะฉะนั้น นอกจากเขาแล้ว คนอื่นไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปด้วยพละการ
คนใช้ในข้านตระกูลเวินรู้กฏข้อนี้ดี และไม่เข้าไปทำความสะอาดถ้าไม่ได้รับอนุญาต คิดไม่ถึงว่าวันนี้ยังจะกล้ามีคนเข้าไปยุ่ง?
ลู่จิ้นยวนเดินเข้าไป ก็เห็นผู้หญิงที่น่าสงสัยคนนึงกำลังคิดจะหนี
ลู่จิ้นยวนเดินเข้าไปขวางตรงหน้าเธอ“เธอเป็นใคร?มาอยู่ที่ได้ยังไง?”
เสียงที่คุ้นเคย ทำให้เท้าของเวินหนิงนั้นหยุดชะงักทันที เดิมคิดว่าเธอลืมผู้ชายคนนี้ไปหมดแล้ว แต่วินาทีที่เห็นเขา เธอถึงจะรู้ว่า นั่นมันก็เป็นแค่คำพูดที่เธอหลอกตัวเอง