“นี่..งานประชุมกลั่นยาไม่ได้กำหนดเวลาเอาไว้” ผู้อาวุโสใหญ่พูดออกมา
ถังหยิงโบกมือและพูดว่า “แบบนั้นได้อย่างไง ถ้าหากฉินเฉิงคนนี้ใช้เวลาชั่วชีวิตในการปรุงยา พวกเราก็ต้องรอไปทั้งชีวิตอย่างนั้นเหรอ?”
ผู้อาวุโสใหญ่พูดไม่ออก เขาเหลือบมองไปที่ฉินเฉิงกับท่านเจ้าสำนักโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาของท่านเจ้าสำนักยังคงจับจ้องไปที่ฉินเฉิง แม้ว่าถังหยิงจะกลั่นยาโชหยวนเสร็จ แต่มันก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของท่านเจ้าสำนักได้!
สิ่งนี้ทำให้ถังหยิงรู้สึกโกรธ เขากัดฟัน และความแค้นในใจของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านจะตัดสินกับเรื่องนี้อย่างไร?” ผู้อาวุโสใหญ่ถามออกไป
ท่านเจ้าสำนักขมวดคิ้วและพูดว่า “หลบไป อย่าบังสายตาของฉัน!”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
ท่านเจ้าสำนักคนนี้เป็นอะไรกันแน่? ทำไมถึงได้ใส่ใจฉินเฉิงขนาดนั้น?
“ท่านเจ้าสำนัก ถังหยิงกลั่นยาโชหยวนออกมาเรียบร้อยแล้ว คุณภาพดีเยี่ยม ท่านลองดูหน่อยไหม” ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มและถามออกมา
เมื่อได้ยินคำว่า “ยาโชหยวน” การแสดงออกของท่านเจ้าสำนักก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เธอมองมาที่ยาในมือของผู้อาวุโสใหญ่ พยักหน้าและพูดว่า “อืม ไม่เลว เป็นสิ่งที่ยาได้ยากมาก”
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ ท่านเจ้าสำนัก” ถังหยิงตอบกลับไปด้วยความดีใจ
แต่อย่างไรก็ตาม ประโยคต่อไปที่ท่านเจ้าสำนักพูดออกมาทำให้ถังหยิงรู้สึกตกต่ำ
“ยาโชหยวนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ฉันคิดว่ายาที่ฉินเฉิงกำลังกลี่นอยู่นี้มันคุ้มค่ากับการรอคอยมากกว่า” ท่านเจ้าสำนักพูดออกมา
สีหน้าของถังหยิงเปลี่ยนไปทันที ความโกรธที่อยู่ในใจของเขาแทบจะพุ่งออกมา
เขากำหมัดโดยไม่รู้ตัว
เขากัดฟัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีที่ชั่วร้าย
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับท่านเจ้าสำนัก เขาไม่กล้าพูดอะไรมาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดทน
ท่านเจ้าสำนักลำเอียงไปในแถบของฉินเฉิงอย่างเห็นได้ชัด สิ่งนี้ทุกคนต่างรู้ดี
แต่เนื่องด้วยความสูงส่งของตำแหน่งท่านเจ้าสำนัก ไม่ว่าพวกเขาจะสงสัยอย่างไง ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไปแม้แต่คำเดียว
“ดูไปเถอะ อาจารย์ของฉันจะต้องกลั่นยาที่ดีกว่าของที่ถังหยิงคนนั้นกลั่นออกมาแน่!” ฉูเป่ยชวนที่อยู่ข้างๆหมอยาพูดออกมา
หมอยาเหล่านั้นชำเลืองมองฉูเป่ยชวนและคิดจะด่าออกมาสักสองสามคำ แต่เมื่อคิดถึงว่าฉูเป่ยชวนคนนี้เป็น นักเลงคีย์บอร์ด พวกเขาก็ไม่พูดอะไรออกมา
ฉินเฉิงยังคงจดจ่ออยู่กับเปลวไฟของเขา และเปลวไฟของเขาแตกต่างจากของถังหยิง
เปลวไฟของถังหยิงนั้นรุนแรงและอ่อนโยนเป็นบางเวลา แต่เปลวไฟของฉินเฉิงนั้นดูอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา
พริบตาเดียวก็ผ่านไปเกือบชั่วโมง
หลายคนเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ขนาดผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่บนเวทียังหาวออกมา
มีเพียงท่านเจ้าสำนักและซูวานสองคนเท่านั้นที่ยังคงให้ความสนใจกับเปลวไฟนั่น
“ฉินเฉิงเคยกลั่นยาอย่างอื่นอีกไหม?” ท่านเจ้าสำนักหันไปทางซูวานและถามออกมา
ซูวานพยักหน้า “นอกจากยารวมชีพจร เขายังเคยทำ ยาเม็ทองคำเก้าขั้น”
” ยาเม็ทองคำเก้าขั้น?” เมื่อได้ยินแบบนั้นดวงตาของท่านเจ้าสำนักก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งประกายออกมา
“เท่าที่ฉันรู้ วิธีการกลั่นของเม็ดยานี้ดูเหมือนจะหายไปตั้งนานแล้ว” ท่านเจ้าสำนักพึมพำออกมา ดวงตาของเธอแสดงออกให้เห็นถึงความตื่นเต้น หลังจากนั้นเธอก็จ้องมาที่ฉินเฉิงอย่างใจจดใจจ่อ
“เหมือนมาก มันเหมือนมากจริงๆ!” สีหน้าของท่านเจ้าสำนักแสดงให้เห็นถึงความตกใจอย่างมาก
หลังจากที่สังเกตเห็นท่าทางของท่านเจ้าสำนัก ซูวานก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมา
สายตาของท่านเจ้าสำนักที่มองไปที่ฉินเฉิง….ดูเหมือนว่ามันจะดูแปลกไป สัมผัสได้ถึง… ความชื่นชม?
แม้ว่ารูปร่างของท่านเจ้าสำนักจะดูเด็ก แต่ที่จริงเธอก็มีอายุมากแล้ว แต่ทำไมเธอถึงมองไปที่ฉินเฉิงด้วยสายตาแบบนั้น?
“ตู้มม!”
ในตอนนั้นเตายาก็ระเบิดออกมาทันที จากนั้นก็มีควันสีดำลอยขึ้นมาอย่างหนาแน่น
ทุกคนตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา
ฉากแบบนี้เป็นฉากที่เกิดขึ้นตอนกลั่นยาล้มเหลวเท่านั้น
“เห้อ ให้รอเราตั้งนาน เสียเวลาเปล่าจริงๆ”
“รอมาตั้งนาน สุดท้ายก็ล้มเหลว”
“ท่านเจ้าสำนักคงไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม”
ใบหน้าของถังหยิงฉายแววแห่งความภาคภูมิใจ เขามองไปที่ท่านเจ้าสำนักและกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ท่านเจ้าสำนัก รู้ผลแล้วใช่ไหม”
ท่านเจ้าสำนักมองไปที่เขาและพูดออกมาว่า “ไม่ต้องรีบ รออีกเดี๋ยว”
ถังหยิงไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาพ่นลมหายใจและไปยืนอยู่ข้างๆ
สีหน้าของฉินเฉิงไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ เขาเดินไปที่เตาและเปิดกระเบื้องที่แตก ไม่รู้ว่ากำลังมองหาอะไร
“ผู้อาวุโสฉิน ก็แค่ยาที่ล้มเหลวเม็ดนึง คุณยังต้องไปหามันอีกเหรอ?” หมอยาที่อยู่ข้างๆอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“เฮ้อ ต่อให้หาเจอก็คงเอาชนะถังหยิงไม่ได้หรอก”
“ผู้อาวุโสฉิน อย่าใจร้อนไปเลย ครั้งนี้แพ้ครั้งหน้าก็ยังมีโอกาสแก้ตัว!”
เมื่อเห็นการเสียดสีบนใบหน้าของทุกคนฉูเป่ยชวนก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งออกมา “อะไรของพวกนาย รู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา ไม่รู้อะไรแล้วยังจะพูดออกมาอีก”
“เจ้าหนุ่ม ฉันอดทนกับนายมาตั้งนานแล้ว!” หมอยาหลายคนอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
“คิดว่าฉันกลัวนายหรือไง” ฉูเป่ยชวนม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้า
ชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าเองก็ลุกขึ้นมาแล้ว
เมื่อเกิดเหตุวุ่นวาย เมฆหลายก้อนก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ
“ดูนั่นสิ นั่นมัน ยาเม็ดตานหยวน!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนออกมา ทุกคนต่างหยุดเคลื่อนไหวทันที
เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นเมฆสีดำสองสามก้อนรวมตัวอยู่ในอากาศ ดูเหมือนจะมีฟ้าแลบและฟ้าร้องในเมฆ และมีเสียงระเบิดเป็นระยะๆ
“นี่…นี่มันต้นกำเนิดของยาเม็ดระดับโลก!” ผู้อาวุโสใหญ่พูดออกมา
เขามองขึ้นไปที่ยาเม็ดตานหยวนด้วยความตื่นเต้นบนใบหน้าของเขา
และท่านเจ้าสำนักเองถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็กลับมาอยู่ในสภาพที่เย็นชาเหมือนเดิม
ฉินเฉิงหยิบเม็ดยาออกจากเตายาและเดินไปหาท่านเจ้าสำนัก
“ท่านเจ้าสำนัก นี่เป็นยากที่ฉันเป็นคนกลั่นมันออกมา” ฉินเฉิงพูดออกไปด้วยความสงบ
หลังจากที่ท่านเจ้าสำนักรับยานั้นมาแล้วก็ถามกลับไปว่า “นี่คืออะไร?”
“เม็ดยาฉี่ซุ้ย” ฉินเฉิงตอบ
สัมผัสที่ประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ขาวและอ่อนโยนของท่านเจ้าสำนัก
“เม็ดยาฉี่ซุ้ย?” สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาวิ่งเข้ามาและพูดออกมาว่า “นี่…นี่มันคือเม็ดยาฉี่ซุ้ยระดับโลกนั้นจริงๆเหรอ?”
“ใช่ครับ” ฉินเฉิงตอบ “ต่อให้จอมยุทธ์เป็นคนกินมันเข้าไป แต่ก็สามารถเสริมสร้างร่างกาย ปรับรูปร่างของกล้ามเนื้อและกระดูกได้ และผมก็จะมอบมันให้กับท่านเจ้าสำนัก”
ท่านเจ้าสำนักเลิกคิ้วและแสดงรอยยิ้มที่หายาก
เธอพยักหน้าและพูดว่า “ได้ งั้นฉันจะรับไว้”
เม็ดยาฉี่ซุ้ยสามารถปรับสมดุลร่างกายได้หนึ่งครับ แต่สำหรับ111ที่ปรับสมดุลร่างกายมาแล้ว 300 ครั้ง เพิ่มไปอีกครั้งหนึ่งมันก็ไม่ได้มีความหมายมากมายอะไร ไม่สู้มอบให้ท่านเจ้าสำนักจะดีกว่า
ใบหน้าของถังหยิงที่อยู่ข้างๆน่าเกลียดเป็นอย่างมาก เขากัดฟันแน่นราวกับว่าจะกลืนกินฉินเฉิงเข้าไป
“ได้เวลาตัดสินแล้ว” ท่านเจ้าสำนักพูดออกมาด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
“เดี๋ยวก่อน!” และในตอนนั้นจู่ๆถังหยิงก็ลุกขึ้นยืน
เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น “ท่านเจ้าสำนัก ทุกคนต่างรู้ดีกว่าการกลั่นยานั้นมันมีเวลาจำกัด ถึงแม้ว่ายาที่ฉินเฉิงกลั่นออกมานั้นดีกว่าของผม แต่ว่าเขาก็ใช้เวลามากกว่าผมถึงสองชั่วโมง”
“แล้วยังไง?” ท่านเจ้าสำนักขมวดคิ้วและถามออกมา
“ผมคิดว่าพวกเราน่าจะเสมอกัน” ถังหยิงพูดออกมา “เอาเป็นว่าให้ท่านผู้อาวุโสมาลงคะแนนให้ดีกว่าไหม แบบนี้จะได้รู้ชัดไปเลยว่าใครจะได้นั่งตำแหน่งผู้อาวุโสต่อไป”
คนที่อยู่รอบๆต่างพยักหน้า คิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดี
ท่านเจ้าสำนักโบกมือและพูดว่า “งั้นเอาตามที่นายว่า”
ตำหนักเทพโอสถมีผู้อาวุโสทั้งหมดเจ็ดคน แต่ไม่นับฉินเฉิงก็เหลือแค่หก
เมื่อรวมผลคะแนนของท่านเจ้าสำนักกับชูชีเชิงแล้ว ผลออกมาฉินเฉิงกับถังหยิงก็ยังเสมอกันอยู่
“แล้วแบบนี้จะเอายังไงต่อดี?” ผู้อาวุโสใหญ่มองคะแนนโหวตที่อยู่ในมือและขมวดคิ้วออกมา
ถังหยิงยิ้มและพูดออกมาว่า “พูดกันตามเหตุผล ในมือของฉินเฉิงเองยังมีคะแนนโหวตอีก 1 คะแนน แต่การเลือกตัวเองมันก็ไม่ยุติธรรม ผมว่าเอาแบบนี้ไหม ขอให้เชิญหยูฉงชือ หรือผู้อาวุโสหยูออกมาโหวตแทน เป็นยังไง?”
ถังหยิงได้ยินเรื่องที่ฉินเฉิงกับหยูฉงชือทะเลาะกันมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ คะแนนโหวตของหยูฉงชือจะต้องตกเป็นของเขาแน่ๆ!