แน่นอนว่าคนคนนี้ก็คือซูวาน เธอยืนอยู่บนคฤหาสน์บนเขาหลงไห่ และสูดบรรยากาศที่น่าคิดถึงไปแบบไม่รู้ตัว
รอยยิ้มที่หายไปนานปรากฏบนใบหน้าของเธอความรู้สึกคุ้นเคยนี้ทำให้เธอรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
“เอ๋ สาวสวยคนนี้ ใครกัน?” ฉูเป่ยชวนวิ่งออกมา มองไปที่ซูวานแล้วถามคำถาม
“แล้วนายหละเป็นใคร?” ซูวานถามฉูเป่ยชวน
ฉูเป่ยชวนกล่าวทันทีด้วยความภาคภูมิใจว่า “ฉันเหรอ ฉันก็คือลูกศิษย์ของเจ้าของบ้านหลังนี้! ถ้าหากเธอมีเรื่องอะไรกับอาจารย์ของฉัน บอกฉันมาได้เลย เมื่อถึงเวลาฉันจะบอกท่านอาจารย์ให้เอง”
“ลูกศิษย์?” ซูวานหัวเราะออกมา “เจ้าของบ้านหลังนี้ ใช่ฉินเฉิงไหม?”
“ใช่ เขาคือคุณฉิน!” ฉูเป่ยชวนตอบออกมาอย่างภาคภูมิใจ “บอกมาได้เลย มีเรื่องอะไรมาขอร้องคุณฉินของพวกเรา”
ซูวานหัวเราะออกมา “ฉันเป็นแฟนของฉินเฉิง”
ฉูเป่ยชวนผงะ เขามองไปที่ใบหน้าที่สวยงามของซูวานอีกครั้ง จู่ๆเขาก็ถอยหลังออกไปสองสามก้าวและพูดออกมาว่า “คุณ…คุณคือซูวาน? โอ้ สวัสดีครับนายหญิง!”
…….
ตำหนักเทพโอสถ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เขตลูโจว เมืองเถาหยวน
เมืองเถาหยวนเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจดีมาก ดังนั้น ตำหนักเทพโอสถจึงเลือกที่จะมาตั้งอยู่ที่นี่ บุรุษผู้มั่งคั่งและนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนจะมาที่เถาหยวนเพื่อรับยา
ทันทีที่ฉินเฉิงเข้าสู่เมืองเถาหยวน เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นของยาเกือบทั่วทั้งเมือง
เมื่อเดินไปตามถนนในเมืองเถาหยวน ฉินเฉิงสัมผัสได้ถึงออร่าที่แข็งแกร่งที่ไม่ใช่เพียงแค่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังมีจอมยุทธ์รวมอยู่ในนั้นด้วย
” ตำหนักเทพโอสถนี่สมกับคำร่ำลือจริงๆ” ฉินเฉิงถอนหายใจ ตราบใดที่ ตำหนักเทพโอสถยังอยู่ที่นี่ ก็จะมียอดฝีมือต่างๆมาที่เมืองเถาหยวนนี้ตลอดไป
และในตอนนั้น คนขับรถแท็กซี่อ่านสีหน้าของฉินเฉิงออก
เขาเปิดกระจก โบกมือและถามออกมาว่า “นี่ ต้องการไปที่ ตำหนักเทพโอสถใช่ไหม?”
ฉินเฉิงถามออกไปด้วยความสงสัย “คุณรู้ได้อย่างไง?”
“เฮ้ ฉันอยู่ที่นี่เพื่อทำงานหาเงินโดยเฉพาะ คนทั่วไปที่มาที่เมืองเถาหยวนแห่งนี้ 9 ใน 10 คน ล้วนแต่จะต้องเดินทางไปที่ ตำหนักเทพโอสถ!” คนขับรถพูดออกมา “รีบขึ้นรถเร็ว”
ฉินเฉิงพยักหน้า จากนั้นเขาก็ขึ้นรถไปกับชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า
บนรถคันเล็กๆก็ยังมีผู้โดยสารอีกสองคนนั่งเบียดกันอยู่ด้วย และแถมทั้งสองคนก็เป็นนักรบ ออร่าที่ออกมาจากร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งไม่เบา
“ทำไมถึงมีคนอื่นด้วยหละ?” ชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าขมวดคิ้วและถามออกไป
คนขับรถตอบออกมาว่า “เอ้า แบบนี้มันก็เป็นเรื่องปกตินิ!”
“ถ้าไม่อยากนั่งก็ลงไป” ชายหัวโล้นที่นั่งข้างๆฉินเฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ทั้งสองคนนี้เป็นเจ้าแห่งพลังปราณ เมื่ออยู่ในเมืองเมืองเถาหยวนแล้วมันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่ถ้าหากไปอยู่ที่เมืองอื่นก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือได้เลย
รถแล่นไปที่จดหมายก็คือ ตำหนักเทพโอสถ และในตอนที่ใกล้จะถึง ตำหนักเทพโอสถ คนขับรถก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ชาย คนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปที่ ตำหนักเทพโอสถได้ ทางที่ดีพวกคุณเตรียมของขวัญอะไรไปด้วย เพื่อนำไปให้กับคนเฝ้าประตู แบบนั้นอาจจะช่วยพวกคุณได้”
“มันขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉินเฉิงถามออกไป
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าสถานะของ ตำหนักเทพโอสถนั้นไม่ธรรมดา แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่ามันจะขนาดนี้
หลังจากลงจากรถ คนขับยื่นนิ้วออกมา 1 นิ้ว แล้วพูดว่า “ค่ารถคนละ 1000”
“เท่าไหร่นะ?” ฉินเฉิงตะลึงงัน “นี่มันระยะทางแค่กี่กิโลเมตรเอง?”
“เอ๋ พวกนายเป็นนักรบต่างก็มีเงินมากมาย ทำไมต้องมาแคร์กับเงินเล็กน้อยแค่นี้ด้วย?” คนขับรถยิ้มและพูดออกมา
ฉินเฉิงดึงมือของเขา ส่ายหัวและกล่าวว่า “ฉันขอโทษด้วย ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเงิน ให้มากสุดก็ได้แค่ 100 เท่านั้น”
เมื่อได้ยินแบบนี้สีหน้าของคนขับรถก็เปลี่ยนไปทันที
เขามองมาที่หน้าของฉินเฉิงและพูดว่า “นายมั่นใจเหรอว่าจะเห็นกับเงินแค่นี้? ฉันจะบอกนายเอาไว้ให้ ฉันทำงานอยู่ที่นี่มานาน รู้จักกับคนของ ตำหนักเทพโอสถมาไม่น้อย อาจจะทำให้นายเสียงานได้เลยนะ”
เมื่อฉินเฉิงได้ยินแบบนั้น เขาก็ดึงเงิน 100 ที่เขายื่นออกไปกลับมาทันที
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เงิน 100 หยวนนี่ฉันก็จะไม่จ่าย” ฉินเฉิงขี้เกียจจะพูด “ขอบคุณมากที่มาส่งฉันถึง ตำหนักเทพโอสถ”
หลังจากพูดจบ ฉินเฉิงก็เดินจากไป
คนขับตบพวงมาลัยอย่างโกรธจัด เขาวิ่งลงจากรถแล้วชี้ไปที่ฉินเฉิงแล้วพูดว่า “ได้ นายรอฉันเดี๋ยว ฉันจะทำให้นายต้องจ่ายเป็นหมื่นๆหยวน!”
พูดจบเขาก็วิ่งไปที่หน้าประตูของ ตำหนักเทพโอสถ เขาพูดอะไรกับคนที่เฝ้าประตูสองสามคำ
หลังจากที่พูดคุยกัน คนเฝ้าประตูก็มองมาที่ฉินเฉิง
หลังจากนั้นคนเฝ้าประตูก็หันหลังไปหาพวกนักต่อสู้ที่รออยู่ด้านหลัง
“นายรอเดี๋ยว” คนขับรถชี้มาทางฉินเฉิงและพูดออกมา “นายรอก่อนเถอะ ฉันจะไม่ทำให้นายเข้า ตำหนักเทพโอสถไม่ได้เพียงอย่างเดียว แต่ฉันจะทำให้นายถูกลุมกระทืบด้วย!”
ฉินเฉิงหัวเราะและพูดออกมาว่า “ได้ ฉันจะรอ”
พูดจบคนเฝ้าประตูสองคนก็พานักต่อสู้ที่อยู่ในระดับของเจ้าแห่งพลังปราณ 2 คน เดินเข้ามาหาฉินเฉิง
ผู้โดยสารสองคนที่นั่งมาด้วยกันกับฉินเฉิงก็รีบโบกมือทันที “พวกเราไม่เกี่ยว พวกเราแค่นั่งรถมากับเขาเฉยๆ!”
แต่คนเฝ้าประตูก็ไม่ได้ฟังที่สองคนนี้พูดอยู่แล้ว เขาหัวเราะและพูดออกมาว่า “ไม่ต้องพูดมาก ถ้าโทษก็ต้องโทษที่พวกนายโชคไม่ดีที่นั่งรถมาคันเดี๋ยวกับพวกเขา”
สีหน้าของสองคนนั้นเปลี่ยนไปทันที พวกเขากัดฟันและหันมาพูดกับฉินเฉิงว่า “นี่เจ้าหนุ่ม ทั้งหมดเป็นเพราะนาย ถ้าหากไม่สามารถเข้าไปใน ตำหนักเทพโอสถได้ ฉันจะฆ่านาย!”
คนเฝ้าประตูมองไปที่เจ้าแห่งพลังปราณสองคนนั้นและพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก “จัดการพวกเขาทั้งสี่คนซะ แล้วฉันจะให้พวกนายเข้าไปใน ตำหนักเทพโอสถ”
เมื่อเจ้าแห่งพลังปราณทั้งสองคนได้ยินแบบนั้น สีหน้าของพวกเขาก็อิ่มเอมขึ้นมาทันที “วางใจครับ ฉันจะตัดขาของพวกมันให้หมด!”
ทันทีที่เสียงเงียบลง หนึ่งในนั้นก็ยกมาที่หน้าของฉินเฉิง
ฉินเฉิงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน ส่วนชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าที่อยู่ข้างๆก็ยืนมือออกมาและโจมตีสวนกลับไป
“ปึก” เกิดเสียงของหมัดชนกันขึ้น เจ้าแห่งพลังปราณคนนั้นรู้สึกว่าหมัดของตัวเองไปชนเข้ากับเหล็ก ทำให้เขารู้สึกชาที่มือของเขา!
“การฝึกแบบเหิงขั้นสูง?” เจ้าแห่งพลังปราณคนนั้นหรี่ตาลง ตะโกนออกมาและโจมตีเข้ามาชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าอีกครั้ง!
หมัดของเขามีแสงเปล่งออกมา และพุ่งเข้าหาชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว!
ชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าไม่ได้ใช้พลังอะไรมากมายนัก เขาไม่ได้พูดหรือตะโกนอะไร แค่ปล่อยหมัดของเขาออกไปอีกครั้ง!
“ปึก!” เสียงปะทะเกิดขึ้นอีกครั้ง หมัดของเจ้าแห่งพลังปราณคนนั้นถูกทำลาย แขนของเขาผิดรูป กระดูกของเขาโผล่ออกมาจากหนังที่หุ้มแขนของเขา!
ชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าใช้โอกาสนี้ตบเข้าไปที่หน้าของเขาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็บอกให้เขาไสหัวไป!
ส่วนเจ้าแห่งพลังปราณอีกคนก็ถอยไปทันที
จากนั้นชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าก็เดินเข้าไปหาคนเฝ้าประตู
คนเฝ้าประตูคนนี้เป็นแค่คนธรรมดา เมื่อเห็นใบหน้าที่โหดเหี้ยมของชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า เขาก็ตกใจทันที
“นาย…นายอย่าเข้ามานะ ฉันจะบอกนายเอาไว้ให้ ฉันเป็นคนของ ตำหนักเทพโอสถ!” คนเฝ้าประตูพูดออกมาพร้อมกับถอยหลังไปด้วยความกลัว
ชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าถีบไปที่ท้องของเขา และพูดออกมาอย่างเยือกเย็นว่า “ในเมื่อนายเป็นคนของ ตำหนักเทพโอสถ ถึงต่อให้ฉันตัดแขนหรือขาของนาย ตำหนักเทพโอสถก็คงรักษานายให้หายดีได้ใช่ไหม?”
คนเฝ้าประตูจับท้องของเขาและลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก
ด้วยลูกเตะเพียงครั้งเดียวทำให้เขารู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก
เขาชี้มาที่หน้าของชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าและพูดออกมาว่า “นาย…นายรอฉันเดี๋ยว! รอฉันเดี๋ยว!”
พูดจบเขาก็วิ่งเข้าไปใน ตำหนักเทพโอสถ
คนรอบข้างอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ หนุ่มๆนี่ใจร้อนจริงๆ
และใบหน้าของผู้โดยสารทั้งสองก็มืดมนยิ่งขึ้น
ถึงตรงนี้จะจัดการไปได้แล้ว แต่กลับไปทำให้คนเฝ้าประตูโกรธ
ตามที่พูดกันมา หนีเสือปะจระเข้!
คิดว่าไปทำให้คนเฝ้าประตูโกรธแล้วยังจะสามารถเข้าไปได้อีกอย่างนั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!