“เธอมากจากจิงตู?” ฉินเฉิงเลิกคิ้วและถามออกไป
หยูเหม่ยเหรินยิ้มและตอบกลับมาว่า “ส่วนใหญ่ฉันจะอยู่ที่จิงตู”
“ได้” ฉินเฉิงพยักหน้า “ถ้าหากมีโอกาส ฉันจะต้องติดต่อไปแน่”
คุณสมบัติของหยูเหม่ยเหรินคนนี้นั้นดึงดูดคนได้ดีมาก แม้แต่ฉินเฉิงเองก็ยังอดคิดไม่ได้ในบางครั้ง
และเธอก็ใช้ความสามารถนี้ของเธอในการสร้างโครงข่าย ทำให้คนที่เธอรู้จักมีมากหน้าหลายตา
ถ้าหากวันใดวันหนึ่งไปที่จิงตู เขาจะต้องได้ใช้ประโยชน์จากเธออย่างแน่นอน
….
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ฉินเฉิงตื่นขึ้นมาแล้ว เขาก็พาฟางเสี่ยวเต๋อเตรียมตัวกลับ
หลังจากที่ทำการทักทายหยูเหม่ยเหรินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉินเฉิงก็ไปเรียกรถที่หน้าประตูเพื่อที่จะกลับไปที่บ้านตระกูลซู
และในตอนนั้นจู่ๆก็มีคนตะโกนเรียกชื่อของฉินเฉิงมาจากด้านหลัง
ฉินเฉิงหันหลังไปมอง ก็พบว่าคนที่เรียกเขาก็คืออาจารย์หมอคนเมื่อวานนี้
อาจารย์หมอคนนี้พูดออกมาด้วยความเคารพ “คุณฉิน ฉันตามหาคุณมานานแล้ว สุดท้ายก็ได้พบกัน”
ฉินเฉิงยิ้มและถามออกไปว่า “คุณมีเรื่องอะไรไหม?”
อาจารย์หมอคนนั้นพูดออกมาว่า “หลังจากเมื่อวานได้เห็นฝีมือการกลั่นยาของคุณแล้ว ฉันรู้สึกนับถือคุณจากใจจริง ฉันต้องการที่จะเชิญคุณไปที่ ตำหนักเทพโอสถ ในฐานะผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ ฉันไม่รู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์?” ฉินเฉิงขมวดคิ้วขึ้น “งั้นสิ่งนี้มันมีประโยชน์อะไรกับฉัน?”
อาจารย์หมอคนนั้นยิ้มและพูดออกมาว่า “แน่นอนว่ามันต้องมีประโยชน์ ประการแรก ผู้อาวุโสของ ตำหนักเทพโอสถไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนก็จะได้รับความเคารพเป็นอย่างมาก! ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณจะเป็นนักรบอยู่แล้ว แต่สถานการณ์สังคมในปัจจุบัน นักรบมันก็ไม่ได้มีฐานะสูงส่งอะไรขนาดนั้น”
“แต่มันไม่เหมือนกับผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของ ตำหนักเทพโอสถ ทุกคนที่อยู่ใน ตำหนักเทพโอสถล้วนแต่เป็นแพทย์อัจฉริยะ! สำหรับคนธรรมดาแล้วความหมายของคำว่าแพทย์อัจฉริยะนั้นเหนือกว่าคำว่านักรบ!” อาจารย์หมอคนนั้นพูดออกมา
ฉินเฉิงพยักหน้า ที่เขาพูดมามันก็ถูก ไม่ว่าใครก็กลัวตายกันทั้งนั้น
“แล้วเรื่องอื่นๆหละ?” ฉินเฉิงถามออกมาต่อ “คงไม่ได้มีข้อดีแค่เท่านี้ใช่ไหม?”
“แน่นอนว่ามันไม่ได้มีแค่นั้น” อาจารย์หมอคนนั้นพูดออกมา “ตำแหน่งผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ คุณจะได้รับโอกาสในการเลือกวัสดุยาเดือนละครั้ง แต่ว่าคุณภาพของมันจะดีแค่ไหนนั้น อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง”
ฉินเฉิงจับไปที่ค้างของตนเอง เงื่อนไขนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
“งั้นฉันต้องทำอย่างไง?” ฉินเฉิงถาม
อาจารย์หมอยิ้มและพูดออกมาว่า “ทุกเดือนคุณจะต้องกลั่นยาให้กับ ตำหนักเทพโอสถหนึ่งครั้ง และนั่นคือบทพิสูจน์ของตัวคุณ”
ฉินเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดออกมาว่า “ได้ ฉันจะลองคิดดู”
อาจารย์หมอคนนั้นรีบส่งนามบัตรให้ฉินเฉิงทันที เมื่อฉินเฉิงมองไปเขาก็รู้ว่าคนคนนี้ชื่อ เต้าเฉิง เขาไม่เพียงแต่เป็นหมออยู่ที่ ตำหนักเทพโอสถ แต่ในขณะเดียวกันเขาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งหนึ่งด้วย
หลังจากที่รับนามบัตรของเขาแล้ว ฉินเฉิงก็พาฟางเสี่ยวเต๋อรีบกลับไปที่บ้านตระกูลซู
ในระหว่างทางฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาว่า “ไม่ใช่แล้ว เมื่อวานฉันจำได้ว่าหยูเหม่ยเหรินคนนั้นเข้ามาหานาย หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงหลับไป!”
“พูดมา พวกนายสองคนทำอะไรกัน!” ฟางเสี่ยวเต๋อเบิกตากว้างและถามออกมา
ฉินเฉิงกลอกตา “เธอจำผิดหรือเปล่า? หยูเหม่ยเหรินไม่ได้มาหาฉันสักหน่อย เธอละเมอหรือเปล่า?”
ฉินเฉิงเกาหัวและพึมพำออกมา “หรือว่ามันเป็นแค่ความฝัน? เห้อ ฉันคิดมากไปเองเหรอเนี่ย….”
…..
เหลือเวลาเพียงหนึ่งวันก่อนงานเลี้ยงของคุณปู่ซู
ทุกวันนี้ซูวานไม่อยู่ ดังนั้นฉินเฉิงจึงต้องเป็นพ่องานแทน
เนื่องจากเขาไม่ได้ติดต่อกับองค์กรการกุศล ดังนั้นฉินเฉิงจึงตัดสินใจทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาเรียกจินฮู่มา จากนั้นก็สั่งให้จินฮู่ไปติดต่อกับคนยากจนในพื้นที่และมอบเงินให้กับพวกเขาด้วยตัวเอง
วันเกิดของคุณปู่ซู
บริษัทประมูลบริษัทหนึ่งมาร่วมงาน และพวกเขาก็เป็นคนจัดพิธีในครั้งนี้ด้วย
“ขอให้คุณปู่ซูมีร่างกายแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน!”
“ขอให้คุณปู่ซูอายุยืน ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ!”
บุคคลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองเจียงมาถึงที่นี่พร้อมกับของขวัญในมือ
สีหน้าของคุณปู่ซูเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข เขากล่าวขอบคุณแขกทุกคนที่มาร่วมงาน ส่วนทางด้านของฉินเฉิงก็เป็นคนพาแขกเข้าไปนั่งที่โต๊ะ
“พี่ใหญ่” ปี้เสี่ยวเหยาเดินเข้ามากล่าวทักทายฉินเฉิง
ฉินเฉิงตบไปที่ไหล่ของเขาและพูดออกมาว่า “นายเข้าไปก่อนเลย อีกเดี๋ยวพวกเรามาดื่มกัน”
ปี้เสี่ยวเหยาพยักหน้าและเดินเข้าไป
นอกจากเขาแล้วยังมีตระกูลจี้ ตระกูลเฉิน ตระกูลเฝิงและอีกหลายตระกูลที่มาร่วมงานพร้อมกับของขวัญที่มามอบให้กับคุณปู่ซู
“นี่!” ในตอนนั้นฟางเสี่ยวเต๋อตบไปที่ไหล่ด้านหลังของฉินเฉิง
เธอมองมาที่ฉินเฉิงและพูดออกมาว่า “สวมชุดแบบนี้ นายก็พอไปวัดไปวาได้บ้าง!”
“เป็นไง เท่ไหม?” ฉินเฉิงยิ้มและถามออกไป “นี่เป็นชุดที่พี่วานเอ๋อของเธอซื้อมาให้!”
“ชิ เหม็นความรัก!” ฟางเสี่ยวเต๋อแลบลิ้นออกมา “ฉันซื้อกำไลหยกมาสองอัน อันหนึ่งสำหรับคุณปู่ซู อีกอันสำหรับนาย”
พูดจบฟางเสี่ยวเต๋อก็หยิบกำไลหยกในกระเป๋ายื่นออกมาให้ฉินเฉิง
ฉินเฉิงหัวเราะและพูดว่า “ฉันต้องรับมันเอาไว้ไหม?”
“รับสิ นี่มันไม่กี่บาทเอง” ฟางเสี่ยวเต๋อแลบลิ้นและพูดออกมา
กลังจากนั้นเธอก็เดินกลับไปที่โต๊ะของเธอ
ฟางเสี่ยวเต๋อยังเป็นเด็กอยู่เธอจึงเข้าไปร่วมกับกลุ่มที่อายุน้อย เนื่องจากเรียกได้ว่าเธอเป็นหัวโจกของเด็กๆเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเมื่อเธอเดินเข้าไปจึงมีคนตระโกนเรียกเธอออกมาด้วยความเคารพว่า “พี่สาว”
เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน แขกที่มาในงานก็เกือบจะมาถึงกันหมดแล้ว ฉินเฉิงเองก็มานั่งลงที่โต๊ะ
และในตอนนั้นจู่ๆก็มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามา
เขาคนนั้นคือผู้บัญชาการกั๋ว เขาเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ด้านหลังของเขามีทหารสองนายเดินถือของขวัญตามเขามา
“ผู้บัญชาการกั๋วเองก็มาด้วยอย่างนั้นเหรอ?” เมื่อเห็นแบบนั้นผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้บัญชาการกั๋วมาในงานวันเกิดเป็นการส่วนตัวแบบนี้
“คุณปู่ซูสุขสันต์วันเกิดครับ ขอให้คุณมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย อายุยืนนาน!” ผู้บัญชาการกั๋วยิ้มและอวยพรออกมา
คุณปู่ซูรีบลุกขึ้นทันที จากนั้นก็ตอบกลับไปด้วยความเคารพ “ผู้บัญชาการกั๋ว คุณไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้! เร็วๆ รีบเข้ามาเร็วครับ!”
“ฉันยังมีธุระอยู่ ขอไม่นั่งแล้วกันนะ” ผู้บัญชาการกั๋วยิ้มและพูดออกมา
จากนั้นเขาก็หันไปมองฟางจิ้งเหยา และพูดออกมาว่า “เหล่าฟาง ดูแลคุณปู่ซูให้ดีๆนะ!”
“ครับ น้อบรับภารกิจครับ! ฟางจิ้งเหยารีบลุกขึ้นและตอบออกมาอย่างสุภาพ
ผู้บัญชาการกั๋วพยักหน้า จากนั้นสายตาของเขาก็ไปอยู่ที่ฉินเฉิง
“คุณฉิน ถ้ามีเวลาเชิญไปที่บ้านของฉันหน่อยนะ” ผู้บัญชาการกั๋วยิ้มและพูดออกมา
“ได้ครับ” ฉินเฉิงลุกขึ้นและตอบออกมา
หลังจากนั้นผู้บัญชาการกั๋วก็เดินทางกลับ
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ที่ผู้บัญชาการกั๋วมาในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะตระกูลซู แต่อาจจะเป็นเพราะฉินเฉิง
แม้แต่คุณปู่ซูเองก็ยังอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้ฉินเฉิงไม่ได้ต้องการการดูแลคุ้มครองจากตระกูลซูแล้ว แต่กลับกับ ตระกูลซูต่างหากที่ต้องการการดูแลจากฉินเฉิง
“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ตอนนี้งานประมูลการกุศลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!ของขวัญที่ทุกท้านนำมาจะนำไปบริจาคในรูปแบบการประมูล! ขอเรียนเชิญทุกท่านช่วยกันประมูลนะครับ” และในตอนนั้นพิธีกรก็เดินออกมา
จากนั้นไม่ไกลจากตรงนั้นก็มีคนพูดออกมา “นี่มันไม่ใช่การบังคับให้เราทำบุญใช่ไหม?”
“พอได้แล้ว คุณได้เงินไปตั้งมากมายเท่าไหร่แล้ว ตอนนี้ถึงเวลาตอบแทนสังคมบ้างแล้ว” คนที่อยู่ข้างๆของเขาพูดออกมา
เมื่อการประมูลเริ่มต้นขึ้น ก็เกิดเสียงหัวเราะดังลั่นที่นอกประตู
“คุณปู่ซู สุขสันต์วันเกิด!” เห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับนำโลงศพขนาดใหญ่มาด้วย