เมื่อได้ยินคำพูดของฟางเสี่ยวเต๋อ ทุกคนในห้องประชุมก็แสดงท่าทางที่ไม่พอใจออกมา
ดวงตาของกู้ซีเบิกกว้าง เขามองมาที่ฟางเสี่ยวเต๋ออย่างละเอียดราวกับว่ามีความรู้สึกที่คุ้นเคย
“เธอคือ…ลูกสาวของฟางจิ้งเหยาใช่ไหม?” กู้ซีถามออกมาอย่างไม่มั่นใจ
ฟางเสี่ยวเต๋อไม่ได้ตอบคำถามนี้กลับไป แต่กลับพูดออกมาว่า “กว่าพ่อของฉันจะไปขอร้องให้ฉินเฉิงมาช่วยคุณได้มันไม่ง่ายเลย แต่ทำไมคุณถึงมีท่าทางแบบนี้? ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้อยู่ พวกเราจะไปจากที่นี่!”
กู้ซีหัวเราะและพูดออกมา “เสี่ยวเต๋อ พ่อของเธอเป็นเพื่อนสนิทของฉัน เรื่องนี้เขาได้บอกกับฉันเอาไว้แล้ว ฉันจะไม่สนใจได้อย่างไง? แต่ว่าตอนนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าอยู่ พวกเธออย่าเพิ่งใจร้อน”
ฉินเฉิงที่อยู่ตรงนั้นแค่ฟังก็เข้าใจทันที กู้ซีคนนี้ไม่ได้คิดให้เขาลงแข่งตั้งแต่แรกแล้ว
ฉินเฉิงจึงไม่ได้อะไร และนั่งลงอย่างเงียบๆ
ช่วงเวลาผ่านไปกู้ซีก็พูดคุยกับชายผมยาวอย่างใกล้ชิด คำพูดของเขาถ่อมตัว และทัศนคติที่แตกต่างออกไปชัดเจน
ฉินเฉิงสูดลมหายใจเข้า ลุกขึ้นและพูดว่า “ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”
หลังจากที่พูดจบ ฉินเฉิงก็พาฟางเสี่ยวเต๋อเดินออกไปทันที
กู้ซีเองก็ไม่ได้ห้ามเขา แค่หันมามองฉินเฉิงด้วยสายตาที่เยือกเย็น
หลังจากที่ฉินเฉิงเดินออกไปแล้ว ชายผมยาวก็ถามออกมาว่า “ประธานกู้ คนเมื่อกี้คือใคร?”
กู้ซียิ้มออกมา “เพื่อนของฉันคนหนึ่ง ที่อยู่สำนักงานความมั่นคงเมืองเจียง เขาต้องการให้เด็กคนนั้นเข้าร่วมการแข่งขัน ดูแล้วว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องเงินทอง ดังนั้นฉันจึงไม่ได้อะไรมากแล้วรับปากเขาไป คุณอย่างไปใส่ใจเลย”
ชายผมยาวยิ้มออกมาและพูดว่า “ฉันไม่ถือสาอะไรอยู่แล้ว วางใจเถอะ”
แม้ว่าฉินเฉิงจะเดินออกมาจากที่นั่นแล้ว แต่คำพูดเหล่านี้ก็ได้ยินมาถึงหูของเขา
เขาขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “กู้ซีคนนี้เป็นประธานของสมาคมศิลปะการต่อสู้งั้นเหรอ? ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่อของฉัน?”
ถึงแม้ว่าฉินเฉิงจะรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากที่เขามาในครั้งนี้ก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าของฟางจิ้งเหยา
ตั้งแต่เดินออกมาจากประตูของห้องประชุมในสมาคมศิลปะการต่อสู้ ฟางเสี่ยวเต๋อก็สาปแช่งออกมาไม่ยอมหยุด
“ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกฉันคงไม่มาด้วยแล้ว ตาแก่นั่น ฉันอยากจะดึงเคราของเขาออกมาจริงๆ!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดด้วยความโกรธ
ฉินเฉิงมองไปที่เธอและพูดว่า “ฉันไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย ทำไมเธอต้องโกรธขนาดนั้น?”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยฉันชอบโกรธมั้ง!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดอย่างโกรธเคือง
ในขณะที่พูดคุยกัน เขาทั้งสองคนก็กำลังเดินลงมาจากชั้นบนของสมาคมศิลปะการต่อสู้
และในตอนที่พวกเขาลงมาที่ชั้นล่าง เขาก็เห็นรถหรูคนหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าประตู
หลังจากที่รถจอด ก็เห็นชายชราผมหงอกกออกมาจากรถ
เมื่อฉินเฉิง เดินผ่านพวกเขา ชายชราก็จ้องไปมาที่ฉินเฉิงและตะโกนออกมาว่า “น้องชาย คุณ…คุณใช่ฉินเฉิงไหม?”
“คุณรู้จักฉัน?” ฉินเฉิงถามออกไปด้วยความสงสัย
“ก็ต้องรู้จักสิ ทั้งมณฑลปินโจวมีใครไม่รู้จักฉินเฉิงผู้โด่งดังข้าง?” ชายชราพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “คุณคือแสงสว่างแห่งอนาคตของสมาคมศิลปะการต่อสู้ ฉันตรวจสอบข้อมูลของคุณเป็นพิเศษและชื่นชมคุณมาก!”
หลังจากนั้นชายชราก็หยิบนามบัตรในกระเป๋าของเขายื่นให้ฉินเฉิง
ฉินเฉิงก้มมามองที่เขา เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าคนคนนี้คือประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้ของเมืองหนิง มู่โชวหลิน
มู่โชวหลินถามอย่างนอบน้อม “คุรฉัน คุณพอจะมีเวลาว่างไปดื่มกาแฟกับฉันสักแก้วไหม?”
ฉินเฉิงยิ้มและตอบกลับไปว่า “ประธานมู่ คุณไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆเลย”
มู่โชวหลินพูดออกมาด้วยความกระตือรือร้น “พวกเราขึ้นไปคุยกันบนรถเถอะ!”
“ประธานมู่ คุณไม่ได้กำลังขึ้นไปด้านบนเหรอ? คุณขึ้นไปก่อนก็ได้ ฉันจะรอคุณอยู่ตรงนี้” ฉินเฉิงพูดออกไป
มู่โชวหลินโบกมือ “ไม่ไป จะมีเรื่องอะไรที่สำคัญไปกว่าคุณฉิน!”
ทัศนคติก่อนหน้านี้กับตอนนี้มันต่างกันราวกับฟ้าเหว
ดังนั้นฉินเฉิงจึงขึ้นรถไปพร้อมกับเขา
หลังจากมาถึงร้านกาแฟ มู่โชวหลินถามออกมาอย่างไม่แน่ใจว่า “ไม่ทราบว่าคุณฉินมีความสำพันธ์อย่างไรกับประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้ของเมืองจิง?”
“ไม่มีความสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น” ฉินเฉิงตอบกลับไป
มู่โชวหลินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขายิ้มและพูดออกมาว่า “ฉันคิดว่าคุณควรจะฟังที่ฉันพูด ตอนนี้เมืองจิงกับเมืองหนิงกำลังจัดการแข่งขัดกันอยู่ ทุกคนก็รู้ว่าเมืองจิงกับปีนังอยู่ใกล้กันมาก ฉันกังวลมาตลอดว่าพวกเขาจะพาคุณเขามาลงแข่ง….”
ฉินเฉิงยิ้มออกไปอย่างขมขื่น “ก็แบบนั้นแหละ ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะไปช่วยเขา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่เห็นค่าในตัวฉัน”
เมื่อมู่โชวหลินได้ยินแบบนั้นดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความดีใจ
เขาพูดออกมาอย่างขุ่นเคือง “เจ้ากู้ซีนั่นไม่มีอะไรนอกจากชื่อเสียงที่ไร้สาระ เขาอาศัยเพียงชื่อเสียงของเขาในการหารายได้ แต่ที่จริงเขาไม่ได้สนใจเรื่องศิลปะการต่อสู้เลยสักนิด! คนอย่างเขาไม่คู่ควรกับสมาคมศิลปะการต่อสู้!”
“ใช่ คุณพูดถูก!” ฟางเสี่ยวเต๋อที่อยู่ข้างพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ชื่นชม “ต้องบอกเลยว่าทัศนคติของคูณดีกว่าตาแก่นั่นเยอะเลย!”
มู่โชวหลินหัวเราะออกมา หลังจากที่เขาลังเลอยู่สักพัก เขาก็ลุกขึ้นและพูดออกมาว่า “คุณฉิน ฉันต้องการเชิญคุณเข้าร่วมการแข่งขันในฐานะตัวแทนของสมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองหนิง! ไม่ว่าเงื่อนไขจะเป็นอย่างไร คุณพูดมาได้เลย แค่ฉันคนนี้สามารถทำได้ ฉันจะไม่ปฏิเสธมัน!”
ฉินเฉิงมองไปที่มู่โชวหลินและพูดออกมาในแนวล้อเล่นว่า “ถ้าหากฉันบอกว่าฉันต้องการเงินสด 100 ล้านหละ?”
“100 ล้าน?” สีหน้าของมู่โชวหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพูดออกมาด้วยความลำบากเล็กน้อย “เมืองหนิงสู้เมืองจิงไม่ได้ รายได้แต่ละปีของพวกเรานั้นน้อยมาก 100 ล้านเกรงว่าคงจะยากเกินไป ถึงแม้ว่าจะยังไม่มี แต่ฉันสามารถกู้มาให้คุณได้!”
ฉินเฉิงหัวเราะออกมาและพูดว่า “ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้น ฉันรับปสาก และฉันก็จะไม่รับเงินของคุณเลยสักบาท!”
“จริงเหรอ?” มู่โชวหลินถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“แน่นอน” ฉินเฉิงตอบกลับไปอีกครั้ง
“ขอบคุณมากครับ คุณฉิน!” ราวกับว่ามู่โชวหลินประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ ใบหน้าของเขาดูมีความสุขมาก
“พรุ่งนี้เวลาแปดโมงเช้า ฉันจะไปที่สนาม” ฉินเฉิงลุกและพูดออกมา
มู่โชวหลินรีบพยักหน้า “ครับ ฉันจะไปรอคุณที่สนาม!”
หลังจากที่ออกมาจากร้านกาแฟ ฉินเฉิงก็พาฟางเสี่ยวเต๋อกลับมาที่ห้อง
ในคือนั้นฟางเสี่ยวเต๋อทำการเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยครั้งนี้เธอใส่กระโปรงที่สั้นเหนือหัวเขาของเธอขึ้นมา เผยให้เห็นเรียวขาที่ขาวสวยของเธอ
“พวกเราออกไปหาอะไรกินที่แผงขายอาหารกันไหม?” ฟางเสี่ยวเต๋อมายืนอยู่ข้างๆฉินเฉิง ดวงตาของเธอเบิกกว้างและมันเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ฉินเฉิงยิ้มและพูดออกไปว่า “แผงขายอาหาร? เท่าที่ฉันรู้คนอย่างพวกเธอไม่ชอบบรรยากาศของแผงขายอาหารไม่ใช่เหรอ?”
“ใครบอกนาย!” ฟางเสี่ยวเต๋อตากลม “ฉันชอบกินอาหารที่แผงขายอาหารมากที่สุดแล้ว ทั้งถูกทั้งอร่อย แต่พ่อของฉันไม่ค่อยอนุญาตให้ฉันไป เขาบอกว่ามันไม่สะอาด กว่าจะได้ออกมาครั้งนี้มันก็ไม่ง่ายเลย ดังนั้นฉันอยากกินอะไรที่ฉันอยากกินให้หนัมใจไปเลย!”
ฉินเฉิงพยักหน้า “ได้ งั้นไปที่แผงขายอาหารกัน”
ฉินเฉิงพาฟางเสี่ยวเต๋อเดินลงมาเพื่อเดินทางไปที่แผงขายอาหาร
ฟางเสี่ยวเต๋อที่ดูอ่อนหวานและดูน่ารักอยู่แล้ว ในตอนนี้เธอดูเซ็กซี่มากขึ้นเมื่อสวมกระโปรงสั้น และระหว่างทางเธอได้ดึงดูดสายตาของคนจำนวนไม่น้อย
ไม่นานทั้งสองก็มานั่งอยู่ที่แผงขายอาหาร
หลังจากที่ทั้งสองคนนั่งลงได้ไม่นาน ก็มีชายที่มีรอยสักสี่ถึงห้าคนเขามานั่งล้อมพวกเขาเอาไว้
สายตาของคนพวกนั้นจับจ้องมาที่ร่างกายของฟางเสี่ยวเต๋อตลอดเวลา มันทำให้ฟางเสี่ยวเต๋อรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“จะมองอะไรกันนักหนา ถ้ามองอีกหละก็ฉันจะจิ้มตาให้บอดเลย!” ฟางเสี่ยวเต๋อด่าออกไป