“ไสหัวไป!” คุณชายสี่ลงมาจากเตียงใส่เสื้อด้วยความใจเย็น สายตาจ้องมองสาวใช้อย่างเกรี้ยวกราด นางทั้งอับอายทั้งกลัว ยืนนิ่งสั่นระริกกลั้นใจพูดออกไป
“คุณชายทิงเฉารอท่านอยู่ด้านนอก…”
“ออกไป!” คุณชายสี่ตะโกนใส่หน้าสาวใช้
“เจ้าค่ะๆ” นางวิ่งออกมาขาชนกับประตูเข้าอย่างแรง เจ็บแค่ไหนก็ไม่กล้าส่งเสียงได้แต่รีบก้าวออกไปเท่านั้น
บ่าวรับใช้ของสกุลหวังมีหรือไม่รู้ คุณชายสี่ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนตลอดเวลา คนภายนอกอาจจะคิดว่าคุณชายสี่ปฏิบัติกับฮุหยินของตัวเองด้วยความเคารพ แต่หารู้ไม่ นี่เป็นเพียงสิ่งที่คนภายนอกรู้เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วพวกเขาโดนกระทำย่ำยีเยี่ยงสุนัขก็ไม่ปาน
คุณชายสี่สวมเสื้อผ้าทีละชิ้น ดวงตาหรี่ลงเพ่งวิเคราะห์
เหตุใดท่านประมุขถึงเรียกมั่วหนิงโหรวไปหา
เขานั่งลงข้างเตียง จับข้อมือของมั่วหนิงโหรวมาถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไปช้าๆ นางไม่อาจลืมตาได้อีกสักพัก
คุณชายสี่ขมวดคิ้วจนหน้าผากเกิดรอยย่นสามขีด เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ร่างกายช่างอ่อนแอเสียจริง!”
“คุณชายสี่ ท่านประมุขเชิญฮูหยินสี่ให้ไปหาขอรับ” เสียงที่เรียกเป็นเสียงของทิงเฉา ทุกประโยคกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
คุณชายสี่จ้องมั่วหนิงโหรวอยู่ชั่วครู่ ก่อนลุกไปเปิดประตูสั่งการบสาวใช้ที่อยู่ด้านนอก
“ดูแลฮูหยินให้ดี!” พูดจบก็ก้าวออกไป
ทิงเฉาคือเด็กรับใช้ที่อยู่ข้างกายท่านประมุขตั้งแต่เด็ก ฟังคำสั่งจากท่านประมุขผู้เดียวเท่านั้น ถึงแม้พลังของเขาจะเป็นเพียงปราณรากฐาน แต่คุณชายสี่กลับไม่กล้าออกคำสั่ง ต่อหน้าเขาทำได้เพียงยิ้มออกมาเท่านั้น “ปล่อยให้ท่านรอนานแล้ว ไม่ทราบว่าท่านประมุขเรียกหาฮูหยินสี่ด้วยเรื่องอันใด”
ทิงเฉาคำนับตอบอย่างเกรงใจ “เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ฮูหยินสี่นาง…”
ทิงเฉาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม คุณชายสี่ก็ไม่กล้าสอบถามอะไรอีก ได้แต่ตอบกลับไปว่า
“ฮูหยินสี่ไม่สบายเล็กน้อย ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น ให้ข้าเดินไปบอกท่านประมุขกับท่านดีหรือไม่”
ทิงเฉาลังเลเล็กน้อบ “หากเป็นเช่นนี้ คุณชายสี่โปรดตามข้ามา”
เพื่งเดินเข้าสู่ลานบ้าน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเป็นมิตรของท่านประมุขดังออกมา
คุณชายสี่เลิกคิ้วมองทิงเฉาด้วยความประหลาดใจ ไปชั่วขณะ
ทิงเฉาส่งเสียงรายงานทันที “เรียนท่านประมุข คุณชายสี่มาแล้วขอรับ”
เสียงหัวเราะในห้องโถงหยุดลงชั่วขณะ ไม่นานก็มีเสียงของท่านประมุขตอบรับออกมา “ให้เขาเข้ามา”
“เชิญคุณชายสี่ขอรับ” ทิงเฉาเปิดม่านขึ้น
คุณชายสี่เดินเข้าไปในห้อง กวาดตามองมู่ชิงเฉินและพวกของนางอีกสองคน ก่อนจะก้มทำความเคารพ
“คารวะท่านประมุข”
ประมุขหวังในตอนนี้สีหน้าเคร่งขรึมในทันใด
“เจ้าหนูหนิงโหรวล่ะ”
คุณชายสี่แปลกใจเล็กน้อย ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสอง เหตุใดถึงอยากพบมั่วหนิงโหรว
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตอบกลับไปอย่างทันท่วงทีว่า “หนิงโหรวสุขภาพไม่ค่อยดี ไม่สะดวกมาพบท่านประมุขขอรับ”
ประมุขหวังขมวดคิ้ว ไม่สะดวกพบมั่วชิงเฉินอย่างนั้นหรือ
สีหน้าของมั่วชิงเฉินเย็นชาลง เอ่ยวาจาอย่างเยือกเย็น “ประมุขหวัง ในเมื่อพี่สิบสี่ของข้าไม่สะดวกพบ เช่นนั้นให้ข้าไปหานางที่ห้องเถอะ”
คุณชายสี่เงยหน้าขึ้นมาตะโกนออกไปทันใด “เจ้า เจ้าคือ…”
มั่วชิงเฉินยิ้มหวานตอบ “คุณชายสี่ ไม่พบกันตั้งนาน”
คุณชายสี่กำหมัดแน่น ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมั่วชิงเฉินไม่ละสายตาราวกับจะจับนางกลืนลงท้อง
มิน่าเล่า ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงเรียกหามั่วหนิงโหรว ที่แท้เป็นเพราะเจ้าเด็กสมควรตายนี่เอง!
“หวังสี่” ประมุขหวังกดหน้าลงต่ำเรียกชื่อเขาอย่างเย็นชา
คุณชายสี่ถึงเรียกสติกลับมาได้
ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เสียแล้ว เจ้าเด็กบ้านี่ในตอนนี้กลายเป็นผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณขั้นสูง ทั้งยังมากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เรื่องที่น่าแปลกใจก็คือท่านประมุขในปีนั้นมีทัศนคติที่ยากจะอธิบายกับเจ้าเด็กนี่
ตอนนั้นเขาบาดเจ็บสาหัสปางตาย ต่อมาถึงได้ฟังเรื่องราวที่น้องสิบเจ็ดเล่า ไม่ว่านางมีความผิดร้ายแรงเพียงใด เห็นชัดว่าทำให้สกุลหวังต้องเสียหน้าครั้งใหญ่ แต่ท่านประมุขไม่เพียงไม่ต่อว่าอะไร ทั้งยังให้สัญญากับมั่วหนิงโหรวอีกว่าอยากจากไปเมื่อไหร่ก็ไปได้เลย
อีกทั้งผู้อาวุโสทั้งสามและท่านประมุขก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรง แต่สิบปีต่อมาท่านประมุขก็ผ่านเรื่องร้ายแรงมาได้ กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ยิ่งไม่มีใครกล้าตั้งคำถามต่อการตัดสินใจของเขาอีก
ความสัมพันธ์ของท่านประมุขและเจ้าเด็กน่าตายนี่ช่างแปลดประหลาดยิ่งนัก
คุณชายสี่ที่ตกใจอย่างมากเมื่อครู่สงบลงแล้ว แล้วยิ้มตอบรับ “แม่นางมั่ว พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้วจริงๆ”
มั่วชิงเฉินขี้เกียจจะพูดกับเขา นางหันไปก้มหัวให้ท่านประมุขหวังเล็กน้อยแล้วจะลุกเดินออกไป
เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียร เหตุใดร่างกายถึงป่วยบ่อยเพียงนี้ ให้นางเก็บอารมณ์ต่อหน้าเขานับว่าเป็นเรื่องแปลกแล้ว
“แม่นางมู่ ตอนนี้หนิงโหรวหลับไปแล้ว รอให้นาง…”
คุณชายสี่พูดไม่ทันจบ มั่วชิงเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้มเย็นเย็นชา “ข้าแค่จะไปดูด้วยตาของข้า พี่สิบสี่หลับอยู่ก็ไม่เป็นไร ทำไม หรือว่าคุณชายสี่ไม่ยินยอม พี่สิบสี่ของข้าสุขภาพไม่ดี แล้วเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย”
คุณชายสี่เม้มริมฝีปากแน่น “เช่นนั้นก็เชิญแม่นางมั่วเข้าไปดูนางเถอะ”
ช่างเรื่องสวรรค์ช่างเรื่องมนุษย์ เรื่องของสองสามีภรรยาใครจะกล้าเอามือเข้ามาสอด
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือจวนของสกุลหวัง ระดับปราณของเขานับว่าด้อยกว่านาง หากนางสร้างความวุ่นวายขึ้นมา ท่านประมุขที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดคงไม่ปล่อยให้ลูกศิษย์ของตนโดนกลั่นแกล้งเป็นแน่
มั่วชิงเฉินมองคุณชายสี่อย่างไม่แยแส
“หวังสี่ เจ้าพาแม่นางมั่วไปเถอะ” ประมุขหวังออกคำสั่ง
แม้ว่าฐานะของเขาจะสู่งกว่ามู่ชิงเฉิน สามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดได้ในอนาคต แต่เทียบไม่ได้กับโอสถอายุวัฒนะที่นางมี อีกทั้งข้างกายยังมีลั่วหยางเจินจวิน แน่นอนว่าเขาไม่อาจสู้ได้
เมื่อถึงสวนพีซิ่ว คุณชายสี่หยุดเดินแล้วเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางมั่ว หนิงโหรวยังพักอยู่ที่ซีสุยเสี่ยวจู้ พวกท่านสองพี่น้องใช้เวลาพูดคุยกันไปเถอะ ข้าไม่ขอตามไปรบกวน”
“ขอบใจมาก” มู่ชิงเฉินพูดจบก็เดินเข้าไปในซีสุยเสี่ยวจู้
หลางซีสุยเสี่ยวจู้มีสาวใช้ถืออ่างน้ำและผ้าขนหนูเดินเข้าออกตลอดเวลา
“นี่ เจ้าเป็นผู้ใด ที่นี่ไม่อนุญาติให้คนนอกเข้ามา…” มู่ชิงเฉินที่กำลังเดินเข้าไปในม่าน หันหลังกลับไปกวาดสายตามองสาวรับใช้ที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่อย่างไม่ยินดียินร้าย หญิงสาวผู้นั้นกลับนิ่งเงียบไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีก
เมื่อเข้าไปในห้องพบมั่วหนิงโหรวนอนอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียง เส้นผมของนางดำยาวสลวย และดวงตาที่ปิดอยู่นั้นดูเหมือนจะติดอยู่ในห้วงภวังค์
มั่วชิงเฉินสาวเท้าเข้าไป สาวใช้ที่อยู่ด้านในเห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามาคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ล่าถอยออกไป หญิงสาวนั่งลงข้างเตียงของมั่วหนิงโหรว พลางพิจารณาอย่างระมัดระวัง
ตอนนี้นางเป็นผู้หญิงแต่งงานที่อายุครบสามสิบแล้ว ถึงแม้ภายนอกจะดูไม่โรยราไปตามวัย แต่ระหว่างคิ้วกลับปรากฏร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้า ใบหน้าขาวผ่องเป็นยองใย บริเวณแก้มทั้งสองกลับไม่มีเลือดฝาดอยู่เท่าที่ควรจะเป็น ทั้งปลายคางยังมีรอยช้ำน่ากลัวอยู่เล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากเเน่น ยื่นมือออกไปจับข้อมือของมั่วหนิงโหรว
พลังของมั่วหนิงโหรวคือปราณระดับรากฐานตอนต้น ผลลัพธ์เช่นนี้อยู่เหนือความคาดหมายของมั่วชิงเฉินไปมาก
ระดับหลอมลมปราณของนางแตกสลายหลังจากคลอดลูก มั้งยังต้องสร้างเตาหลอมรางน้ำมาหลายปี
รากวิญญาณเป็นรากวิญญาณธรรมดาระดับสามเท่านั้น หากปีนั้นไม่มาที่ทะเลขนาบใจแล้วพบมันโดยบังเอิญ เพื่อรักษาสุขภาพของตัวเองให้กลับมาดีได้แล้ว เกรงว่านางคงกลายเป็นเถ้าธุลีไปนานแล้ว
สามารถมีปราณระดับสร้างรากฐานได้ นับว่าเป็นความโชคดีอย่างคาดไม่ถึงจริง
มั่วชิงเฉินได้แต่คิด เพื่อปราณระดับสร้างรากฐาน มั่วหนิงโหรวถึงขนาดต้องพยายามอย่างหนัก
ทว่าร่างกายของนางไม่ควรอ่อนแอเช่นนี้ ไม่เพียงแค่นั้น ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายยังติดขัด เห็นได้ชัดเจนว่าได้รับผลกระทบทางด้านอารมณ์ นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาทางด้านร่างกายเพียงอย่างเดียวแต่เป็นสภาพจิตใจด้วย
อยากถามสถานการณ์ล่าสุดจากปากคุณชายหก ประมุขหวังก็บอกว่าเขากักตัวฝึกฝนตนหากไม่ถึงระดับก่อแก่นปราณจะไม่ออกมาโดยเด็ดขาด ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่
มั่วชิงเฉินสะกิดดวงจิตของมั่วหนิงโหรวขึ้นมาเบาๆ นางถึงค่อยๆ รู้สึกตัว
กลัวว่านางจะตื่นตระหนกเกินไป มั่วชิงเฉินจึงนั่งอยู่ด้านข้าง ไม่ได้จ้องนางโดยตรง แล้วเรียกชื่ออกมาเบาๆ “พี่สิบสี่”
มั่วหนิงโหรวสั่นสะท้านไปทั้งตัว แต่ไม่ได้ขยับตัวเพียงพึมพำกับตัวเองว่า “ทำไมถึงฝันเช่นนี้อีกแล้ว”
มั่วชิงเฉินกุมมือมั่วหนิงโหรว “พี่สิบสี่นี่ไม่ใช่ความฝัน ชิงเฉินมาหาพี่แล้ว”
มั่วหนิงโหรวค่อยๆ เงยหน้าสบตามั่วชิงเฉิน
มือของมั่วชิงเฉินจับอยู่บนหน้าของมั่วหนิงโหรว พูดหยอกเย้าว่า “ทำไม ไม่เจอกันตั้งนาน ท่านไม่รู้จักมั่วชิงเฉินแล้วหรือ”
มั่วหนิงโหรวน้ำตาไหลพราก เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ชิงเฉิน เจ้าไปเจอกับเจ้าหู่โถวมาใช่หรือไม่ ถึงรีบมาหาข้าที่นี่”
“หู่โถว” หัวใจของมั่วชิงเฉินกระตุก แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา
มั่วหนิงโหรวยิ้มอย่างอ่อนโยน “อืม ยี่สิบกว่าปีก่อน หู่โถวกับคุณชายถังท่านหนึ่งแอบมาหาข้าที่นี่ ข้าบอกพวกเขาว่าเจ้าอยู่ที่ดินแดนต้าหยวนกลายเป็นศิษย์ของสำนักเหยากวงแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาอยู่ที่นี่ไม่กี่วันก็ออกไปตามหาเจ้า”
มั่วชิงเฉินรู้ซึ้งในทันใด เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหู่โถวถึงไม่ยอมพูดเรื่องนี้ออกมาโดยชัดเจน เพราะพบมั่วหนิงโหรวในสภาพร่างกายซูบผอมเช่นนี้ ถึงขนาดต้องแสร้งว่าแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยเจอนาง
มั่วชิงเฉินพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “หู่โถวยังมีชีวิตอยู่ ลำบากเขาแล้ว น่าเสียดายที่หลายปีมานี้ข้าท่องยุทธภพมาโดยตลอดยังไม่ได้กลับไป”
“เช่นนั้นเจ้าก็พักยู่ที่นี่ก่อน แล้วรีบกลับไปเจอเจ้าหู่โถว”
มั่วชิงเฉินพูดพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ชิงเฉิน มีเรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า ตอนนี้เขาบวชเป็นพระ อีกทั้งการฝึกยุทธ์เป็นเหตุ ทำให้เขาต้องกลายเป็นเด็กแบบนี้”
“หา?” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ หู่โถวกลายเป็นนักบำเพ็ญเพียรสายพุทธยานแล้ว เหตุใดมั่วหนิงโหรวถึงมีท่าทีเคร่งขรึมเช่นนี้”
“ข้ารู้ว่าเจ้าตกใจ แต่ตระกูลมั่วของพวกเรา มีหู่โถวเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาไม่อาจบวชเป็นพระได้ ชิงเฉินรอเจ้ากลับไปหาเขา แล้วค่อยเกลี่ยกล่อมเขาดีๆ เพราะเขาเชื่อฟังคำพูดของเจ้ามากที่สุด”
หากไม่ใช่เพราะมั่วหนิงโหรวกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก มั่วชิงเฉินคงหลุดยิ้มออกไปแล้ว
บังคับให้เจ้าหู่โถวสึกออกมา เรื่องเช่นนี้นางคงมิกล้า
แต่ไม่รู้เหตุใด มั่วชิงเฉินถึงคิดถึงมั่วหรานอีขึ้นมา
การที่หู่โถวเลือกบวชเป็นพระ นางปล่อยให้เป็นไปตามนั้น หากหนิงโหรวแนะนำทางเลือกที่ดีให้มั่วหรานอีล่ะ จะเป็นเช่นไร
ย้อนคิดมาถึงตอนนี้ มั่วชิงเฉินย้อนกลับถามมั่วหนิงโหร่วอย่างจริงจังว่า “พี่สิบสี่ ขอให้ท่านพูดความจริงกับข้า หลายปีมานี้ท่านใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง แล้วเหยียนเหยี่ยนเล่า”
มั่วหนิงโหรวหลุบตามองต่ำ ตอบอย่างสบายๆ ว่า “เหยียนเหยี่ยนออกไปท่องยุทธภพ ตอนนี้น่าจะใกล้กลับมาแล้ว ส่วนข้า สบายดี”
“จริงหรือ” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว
“อืม ท่านประมุขดูแลข้าอย่างดี นายท่านเองก็ให้ความเคารพข้า ส่วนเหยียนเหยี่ยนนั้นเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณ…”
“หวังสี่ละ”
มั่วหนิงโหรวชงัก กัดปากตอบไปว่า “ที่สวนพีซิ่วตอนนี้ไม่มีพวกนางบำเรอแล้ว เขาเอาแต่มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรตน พวกเรา…อยู่ด้วยกันอย่างสันติ…”
มั่วชิงเฉินฉีกปกคอเสื้อของมั่วหนิงโหรวออกทันใด หน้าอกขาวเนียนกลับมีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำอย่างชัดเจนจนน่าตกใจ
“อยู่อย่างสันติ สันติแบบไหนเขาถึงทำกับท่านเยี่ยงนี้”
มั่วชิงเฉินเคยจัดการเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ชายผู้นั้นก็ยังไม่ยอมหยุด หากเขามีความเมตตาสักนิด ก็ไม่ควรทำร้ายกันถึงเพียงนี้”
แววตาของมั่วชิงเฉินเต็มไปคำถามอย่างชัดเจน มั่วหนิงโหรวทำได้เพียงพยักหน้า “นี่เป็นชะตากรรมของข้า”
มั่วชิงเฉินยืนขึ้นในทันที “ชะตากรรมอันใดเล่า รอบข้างเป็นใครข้าไม่สน ข้ารู้เพียงว่าพี่สาวของมั่วชิงเฉินไม่ได้เกิดมาเพื่อโดนกลั่นแกล้ง!”
พูดจบก็เรียกสติมั่วหนิงโหรวแล้วสาวเท้าเดินพรวดพราดออกไปในทันที