พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 484 กลิ่นกรุ่นสหายเก่า

ดวงตาคู่หงส์ของชายหนุ่มตวัดขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่แยแส ชั่วพริบตาคลื่นแสงสีทองอร่ามก็ปรากฏออกมา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับรากฐานใบหน้าร้อนผ่าว เมื่อสัมผัสได้ถึงความอัปยศของตนจึงตำหนิใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่พอใจ “เจ้าตัณหากลับ อย่าคิดว่าข้าไม่กล้า!”

 

 

บรรยากาศอึมครึมเข้าปกคลุมชั่วพริบตา

 

 

ตู้รั่วมองหามั่วชิงเฉินแต่กลับเห็นนางหัวเราะออกมา

 

 

สตรีผู้นี้แม้จะไร้ยางอายไปเสียหน่อยแต่ก็ยังคงน่ารัก ช่างเป็นสตรีที่ไม่เหมือนใครเสียจริงๆ เมื่อเห็นสีหน้าของลูกศิษย์มิสู้ดีจึงกัดฟันพุ่งเข้าไปปะทะ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพลาดท่า ฉับพลันปีกคู่ด้านหลังของตู้รั่วก็กางออก เดิมรากวิญญาณแห่งสายลมของเขามีความรวดเร็วมากอยู่แล้วเมื่อมีปีกคู่นี้เพิ่มความเร็วอีก ฝ่ายตรงข้ามจึงไม่อาจเข้าถึงการโจมตีของเขาได้ ท่าทางการต่อสู้ที่ทั้งสง่างาม ทรงพลังและดุร้าย ใช้เวลาไม่นานก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียงหญิงผู้นั้นเหนื่อยหอบและถอยหลังไป

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับรากฐานมองไปยังชายที่อยู่ข้างหลังของหญิงสาว เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่แผ่ออกมาดวงตาพลันเบิกกว้างเผยให้เห็นถึงความรู้สึกกลัวอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

 

ตู้รั่วมุมปากโค้งขึ้น ใบมีดลมแห่งปีกเวหาถูกขว้างออกไปดั่งแสงสีเขียวมรกตที่กำลังร่ายรำกลางอากาศ

 

 

ร่างของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสั่นสะท้าน ช่วงเวลาเพียงครู่ก็ทำให้เกิดบาดแผลในใจของนางได้แล้ว ท่าทางทีเย่อหยิ่งเมื่อครู่กลับเหลือสภาพที่ไม่น่าดูยิ่งนัก

 

 

ตู้รั่วบินลงมานั่งอย่างช้าๆ เศษธุลีที่ไม่อาจดำรงอยู่บนร่างกายแตกสลายกระจายออกไป

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงได้ยินเสียงลมหายใจของเขาก็รู้สึกสิ้นหวัง “อย่า!” พูดจบก็หลับตาแน่น ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษต้มเปื่อย

 

 

เสี่ยวหลางตะครุบชายอีกผู้ลงกับพื้น กรงเล็บอันแหลมคนกดร่างกำยำร่างนั้นเอาไว้ ปากของมันที่จ่อบนลำคอของเหยื่อพลางหันไปถามเจ้านายว่า “นายท่าน ชายผู้นี้ข้ากินได้หรือไม่”

 

 

สิ้นเสียงดุร้ายที่แฝงไปด้วยความหวัง ขอเพียงแค่มั่วชิงเฉินพยักหน้า มันก็พร้อมใช้เขี้ยวของมันเจาะลงคอหอยของชายผู้นี้และกลืนลงท้องในทันที

 

 

มั่วชิงเฉินกวักมือเรียก “เสี่ยวหลาง กลับมาก่อน”

 

 

เสี่ยวหลางหุบกรงเล็บอย่างไม่เต็มใจ ทำได้เพียงทิ้งสายตามองเหยื่อที่หลุดลอยไปตาละห้อยแล้วถึงยอมกลับมา ลมกรดสีดำพุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของมั่วชิงเฉิน หางใหญ่ๆ ของมันแกว่งไปมา “นายท่าน เสี่ยวหลางหิว”

 

 

คำพูดแบบนี้ ออกจากปากของเสี่ยวหลาง อาจจะฟังดูแปลกๆ ไม่เหมือนที่เสี่ยวเจี่ยวทำสักเท่าไหร่ ทว่ากลับเผยให้เห็นถึงเจตนาที่ชัดเจน มันคือหมาบ้าที่วันๆ คิดแต่เรื่องกิน

 

 

“เด็กดี เนื้อของมนุษย์นั่นทั้งแก่ทั้งเคี้ยวยาก ไม่อร่อยหรอก” มั่วชิงเฉินพูดปลอบใจ

 

 

เสี่ยวหลางได้แต่พยักหน้า มองไปยังผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับรากฐานอย่างดุร้าย

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงรู้สึกสลด พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร”

 

 

เท้าของนางยืนอย่างไม่มั่นคงราวกับจะล้มลงตลอดเวลา

 

 

ชายหนุ่มลุกขึ้นบินไปหาผู้บำเพ็ญหญิงแล้วพยุงนางไว้ จากนั้นก็หันไปสบตามั่วชิงเฉิน

 

 

“ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสองเป็นผู้มีความสามารถสูงส่ง พวกเราสองพี่น้องมีตาหามีแววไม่ โปรดยกโทษให้พวกข้าที่ล่วงเกินด้วย!”

 

 

เขารู้อยู่แล้วว่าน้องสาวที่เอาแต่ใจต้องก่อเรื่องเข้าสักวัน แต่ไม่คิดว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วเพียงนี้

 

 

ทำไมเขาถึงมองผู้บำเพ็ญชายหญิงในชุดอาภรณ์เขียวคู่นั้นไม่ออก โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญชาย เพียงแค่นั่งอยูตรงนั้นอย่างเงียบๆ ไร้วาจาใด ก็พาลให้รู้สึกเหมือนตัวเองแหงนมองภูผาตรงหน้า

 

 

“มีตาหามีแววไม่ ก็แค่ข้ออ้างของผู้กระทำผิดมิใช่รึ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ถูกบังคับให้แสดงตัวออกมา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสูง!

 

 

ชายหนุ่มตาเบิกโตด้วยความตกตะลึง มือเขย่าตัวของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่พยุงเอาไว้

 

 

เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แล้วเหตุใดท่านถึงต้องลงมือโหดเ**้ยมเช่นนั้นด้วย น้องสาวของข้ายังเด็กไม่รู้ความ อาจทำให้ท่านทั้งสองไม่พอใจบ้าง ข้าน้อยยอมรับผิด ทว่าวิญญาณอสูรของท่าน ไม่ทันจะทำอะไรก็โจมตีข้าน้อยโดยไม่ทันตั้งตัวแล้วมิใช่รึ”

 

 

“อาๆๆ” มั่วชิงเฉินหัวเราะ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยันสุดจะพรรณนา “เรียกว่าเป็นวัยรุ่นใจร้อนได้หรือไม่ น้องสาวของเจ้าเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนเป็นเช่นไร ผ่านมาเจ็ดสิบปีก็ยังเป็นเช่นนี้ ช่างหน้าสนใจเสียจริงๆ”

 

 

สีหน้าของชายหนุ่มแข็งค้างทันใด “ท่านเป็นใครกันแน่”

 

 

“ใครงั้นรึ ก็ผู้ที่โชคดีที่ เจ็ดสิบปีก่อนถูกน้องสาวของเจ้าที่เป็นวัยรุ่นใจร้อนไล่ตามจับอสูรของเขาอย่างไม่ลดละ แล้วเจ็ดสิบปีต่อมา ก็ยังถูกน้องสาวที่เป็นวัยรุ่นใจร้อนของเจ้าตามมาจับเสี่ยวหลางไปอีก” มู่ชิงเฉิงทัดผมสีดำสลวยไว้หลังหูอย่างเรียบร้อยพูดหยอกล้อฝ่ายตรงข้าม “ต้องขออภัยจริงๆ ตัวข้าหาใช่คนจิตใจดี หากมีแค้นก็ต้องชำระ”

 

 

ตู้รั่วหลุบตามองต่ำ ในแววตาแฝงไปด้วยรอยยิ้มเจือจาง การที่อาจารย์ใช้วิธีการพูดเช่นนี้้บีบบังคับให้อีกฝ่ายพูดออกมาเองช่างแทงใจคนยิ่งนัก เป็นแผนการที่เหนือความคาดหมายอย่างมาก

 

 

ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า “วัยรุ่นใจร้อน” ชายหนุ่มก็ยิ่งทำสีหน้าไม่ถูก สายตาจ้องไปยังมั่วชิงเฉินด้วยความตกใจก่อนจะตะโกนออกมาว่า “ที่แท้เป็นเจ้า!”

 

 

ในที่สุดเขาก็จำเรื่องของสาวชุดดำที่ภูเขาอู๋ฉยงขึ้นมาได้แล้ว แต่นางในตอนนั้นปล่อยผมยาว โทนเสียงน้ำหนักเบาไร้ชีวิตชีวา เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความจำล้ำเลิศก็มิอาจจำได้ เขาคิดว่าหากปีนั้นนางเป็นเหมือน ณ ตอนนี้ ตนมีหรือจะจำไม่ได้ อีกทั้งตนยังตกอยู่ภายใต้สถานการณ์น่าอึดอัดใจเช่นนี้อีก

 

 

เดี๋ยวก่อน เจ็บสิบปีที่แล้วพลังของนางยังไม่ถึงขั้นระดับรากฐานโดยสมบูรณ์เลยมิใช่หรือ!

 

 

จนถึงตอนนี้เขาก็ยังจ้องมองมั่วชิงเฉินด้วยสายตาที่ประหลาดใจและคาดไม่ถึง

 

 

“เพียงแค่เจ็ดสิบปี เหตุใดจึงถึงสามารถข้ามผ่านพลังระดับรากฐานโดยสมบูรณ์เป็นขั้นสูงได้รวดเร็วนักเล่า”

 

 

เท่าที่รู้ ตอนนั้นเขาเองก็เป็นผู้มีพลังปราณรากฐานโดยสมบูรณ์ ทั้งยังติดอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก

 

 

“ศิษย์น้องอย่ารบกวนทั้งสองนานนักเลย หากมีเรื่องอะไรก็รีบถามรีบตอบเถอะ” เยี่ยเทียนหยวนที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น

 

 

การที่ดวงตาของชายผู้นั้นจ้องมายังชิงเฉินทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ราวกับมีแรงกระตุ้นบางอย่างเกิดขึ้นในใจเขา

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้ความคิดของเยี่ยเทียนหยวน แต่ก็รำคาญและหน่ายที่จะยุ่งกับสองพี่น้องคู่นี้เหมือนกัน จึงตอบไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สหาย คำถามข้อนี้ข้ามิอาจตอบได้”

 

 

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนยั้งสติไม่อยู่ ทั้งยังรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย “คงเป็นเช่นนั้น”

 

 

แต่มั่วชิงเฉินกลับยิ้มและพูดต่อ “แต่ข้าก็มีคำถามอยากถามสหายทั้งสองเช่นเดียวกัน”

 

 

“หืม” ชายหนุ่มงุนงง แต่ก็รับฟังคำถามของมั่วชิงเฉิน

 

 

“ไม่ทราบว่าพี่น้องผู้สูงส่งทั้งสอง เหตุใดถึงมาอยู่ที่ทะเลขนาบใจ แล้วเหตุการณ์วิกฤตอสูรที่ดินแดนเทียนหยวนในปีนั้นเป็นเช่นบ้าง”

 

 

มั่วชิงเฉินถามออกไปตรงๆ

 

 

ชายหนุ่มหันมาสบตาน้องสาวของตัวเองที่พยุงอยู่ด้านข้าง ก่อนจะตอบกลับไป

 

 

“พวกเราสองพี่น้อง เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นั้นจึงหนีออกมาที่ทะเลขนาบใจ ไม่กี่ปีมานี้มีผู้บำเพ็ญเพียรจากเทียนหยวนเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทว่าหลังๆ มานี้ก็เริ่มน้อยลงแล้ว เพราะระหว่างทะเลขนาบใจและดินแดนเทียนหยวนเองก็มีเรือพาณิชย์ล่องไปมา พวกเราจึงรู้ข่าวคราวเหตุการณ์ฝั่งนั้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่ได้ยินมาว่าวิกฤตอสูรเมื่อสามสิบปีก่อนได้สิ้นสุดลงแล้ว พรรคเต๋า พรรคมารและพรรคปีศาจ ได้ทำข้อตกลงร่วมกันโดยร่วมมือกันตามหามุกเจ็ดสี”

 

 

ฟังถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้น สามสิบปีที่แล้วน่าจะเป็นช่วงหลังจากที่เหล่าสำนักใหญ่เปิดฉากระดมค่ายกลพิทักษ์ภูษาใช่หรือไม่

 

 

หากเป็นเช่นนี้สถานที่ตรงนั้นน่าจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่อ่อนแอที่สุด แต่หลังจากที่สำนักใหญ่ร่วมมือกันเปิดประตูภูเขา สถานที่ทั้งสามจุดเกิดพลังที่สมดุลกันจึงปิดฉากความโกลาหลแห่งวิกฤตอสูรได้

 

 

เดี๋ยวก่อน แต่พรรคปีศาจเองก็มีจักรพรรดิปีศาจปกครองอยู่

 

 

“สหายรู้ข่าวคราวของจักรพรรดิปีศาจบ้างหรือไม่” มู่ซิงเฉินถาม

 

 

ไม่รู้เหตุใด เมื่อได้ยินคำว่าจักรรพรรดิปีศาจ ในใจของตู้รั่วก็รู้สึกร้อนเป็นไฟขึ้นมาทันที เหมือนกับโดนตอกย้ำเรื่องราวในอดีต แต่อีกใจหนึ่งก็สงสัยขึ้นมาเหมือนกัน

 

 

ชายหนุ่มตอบกลับ “ว่ากันว่าปีก่อนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสี่ปลิดชีพตัวเอง นับเป็นเรื่องที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเป็นอย่างมาก จักรพรรดิปีศาจได้รับบาดเจ็บจนถึงตอนนี้ก็ยังเก็บตัวรักษาอาการอยู่ แต่หลังจากที่ผู้นำพรรคปีศาจไม่อยู่ พรรคเต๋าและพรรคมารเองก็ไม่ได้ต่อสู้กันเลย”

 

 

เมื่อนึกถึงภาพลักษณ์อันสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างหรูอวี้เจินจวิน มั่วชิงเฉินก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย

 

 

ท่านเจียนจวินทั้งสี่เอง ปกติแล้วคนทั่วทั้งใต้หล้าต่างก็ยกย่องพวกเขาเป็นบุคคลที่สูงส่งดั่งภูผา แต่เพราะเหตุการณ์โกลาหลแห่งวิกฤติอสูร ทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาพังทลายลง ทุกคนขวัญหนีดีฝ่อแม้แต่จะให้กลับชาติมาเกิดยังไม่กล้า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ผู้คนล้วนได้แต่ถอนหายใจอย่างน่าเสียดาย

 

 

แต่ทั้งนี้ก็เป็นการตัดสินใจของพวกเขาเอง ถึงจะถูกจารึกว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่าง ที่คงเหลือเรื่องราวให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋ารุ่นหลังกว่าหมื่นชีวิต

 

 

“แล้วมุกเจ็ดสีละหาเจอหรือไม่” มั่วชิงเฉินถาม

 

 

“น่าจะหาพบแล้ว ว่ากันว่าสิบปีก่อนแดนสวรรค์มี่หลัวตูได้เปิดออกแล้ว” ชายหนุ่มตอบ

 

 

มั่วชิงเฉินเงยหน้าถามต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดสหายถึงไม่กลับไปเล่า”

 

 

ชายหนุ่มอมยิ้มตอบ “ความจริงหลายปีมานี้มีสหายข้าไม่น้อยที่กลับไป แต่ก็มีไม่มากที่อยู่ที่นั่นเช่นกัน อย่างไรก็ตามแต่ ดินแดนสวรรค์มี่ตั๋วลู หากไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ไม่อาจเข้าไปได้ พวกเราที่อยู่ที่นี่ถึงแม้อยากไปแค่ไหน แต่ก็ไร้วาสนา”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า เข้าใจในความหมายของชายหนุ่ม

 

 

ทะเลขนาบใจเดิมทีก็เป็นพื้นที่ของสกุลหวังเพียงผู้เดียวอยู่แล้ว ทรัพยากรที่มีถึงแม้จะไม่มากเท่าเทียนหยวน แต่หากพูดตามตรง สำหรับนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักนั้นถือได้ว่ามีทรัพยากรเยอะกว่าอยู่ที่เทียนหยวนอย่างมาก อีกทั้งนักบำเพ็ญเหล่านี้และสกุลหวังก็ได้แบ่งผลประโยชน์ร่วมกันอีกด้วย

 

 

หากตอนนั้นสกุลหวังมีการพัฒนาสู่ระดับสูงได้อย่างราบรื่น กวาดตามองทั่วทะเลขนาบใจคงมีแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเท่านั้น

 

 

และถ้าผู้บำเพ็ญเพียรจากเทียนหยวนมารวมตัวกันที่นี่ เกรงว่าช่วงเวลาคงผ่านพ้นไปอย่างมีความสุขเป็นแน่

 

 

“แล้วสหาย ท่านคิดอยากจะกลับไปหรือไม่” ชายหนุ่มถาม

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ไม่ผิด พวกเราผ่านมาทางนี้พอดี จึงตัดสินใจจะไปเยี่ยมเยียนท่านประมุขสักคราค่อยกลับเทียนหยวน”

 

 

“อ้อ พูดตามตรง มีสองผู้มีอิทธิพลอย่างมากในแถบทะเลขนาบใจ หนึ่งคือเซียนผู้บำเพ็ญเพียรจากสกุลหวังโดยตรง สองคือผู้บำเพ็ญเพียรจากเทียนหยวนที่ผันตัวเป็นพันธมิตรนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก สกุลหวังมีหัวหน้าตระกูลระดับก่อกำเนิดตอนต้นเป็นผู้นำ พันธมิตรนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักมีนักพรตโยวหย่วนและนักพรตฮวั่นเตี๋ยผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่มีพลังอย่างล้นหลามเป็นผู้นำ”

 

 

นักพรตโยวหย่วน? นักพรตฮวั่นเตีย?

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว มุมปากพยายามที่จะหุบยิ้ม

 

 

คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะเป็นสหายเก่าสองคนนั่น

 

 

นักพรตโยวหย่วนก็คือหนึ่งในผู้ที่หลบซ่อนในหลุมถ้ำใต้หน้าผา ส่วนนักพรตฮวั่นเตี๋ยนั้น เพียงคิดถึงนางมั่วชิงเฉินก็อดยิ้มออกมาเสียไม่ได้

 

 

ปีนั้นที่เข้าป่าไผ่ นางและหลัวเตี๋ยจวินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่แสนเย็นชาและมีความมั่นใจในตัวเองสูงมากผู้นั้น แท้จริงคือฮว่ายเตี๋ยนี่เอง!

 

 

“ขอบคุณสหายที่บอกกล่าว” พูดจบก็กลับไปหาเยี่ยเทียนหยวนแล้วหยักหน้าให้เขาทีหนึ่ง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนขยับนิ้ว เรือลำเล็กรูปทรงดั่งลูกศรก็แล่นออกไปข้างหน้าทันที

 

 

“สหายทั้งสองไม่คิดจะอยู่ที่สำนักพันธมิตรสักสองสามวันกับข้าหรือ” ชายหนุ่มตะโกนออกไปสุดเสียง

 

 

มองดูเรือลำเล็กแล่นออกไปไกลๆ อย่างอดผิดหวังเสียมิได้ เดิมทีคิดว่าพวกเขาทั้งสองเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากดินแดนเทียนหยวน ในเมื่อมาเยี่ยมเยียนนายท่านก็ควรจะตามเขาไปที่พันธมิตรบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก

 

 

“พี่ใหญ่ คู่รักสองคนนั้นจากไปแล้วท่านยังขายหน้าไม่พออีกหรือ!” นักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ

 

 

ชายหนุ่มเพิ่งตะโกนออกไป มั่วชิงเฉินก็ตอบกลับมาเสียงดัง “กลับไปบอกนักพรตโยวหยวน และนักพรตฮวั่นเตี๋ย มั่วชิงเฉินอยู่ที่เกาะใจศักดิ์สิทธิ์”

 

 

เสียงของหญิงสาวค่อยๆจางหายไปในสายลม ชายหนุ่มถอนหายใจพูดกับน้องสาวตัวเอง “เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะไปรู้อะไร ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสูง ข้าไม่อาจเข้าใจความคิดของของนางได้ อีกทั้งชายที่ไม่พูดไม่จาผู้นั้น ข้ากลับไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา เจ้าว่าชายผู้นั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับใดละ?”

 

 

ไม่รอให้น้องน้องสาวตอบ ชายหนุ่มก็พูดต่อ “ไปเถอะพวกเรารีบนำเรื่องวันนี้ไปรายงานต่อพรรคพันธมิตร”

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset