ไอสีม่วงอมเขียวปกคลุมล้อมรอบ แต่กลับถูกเมฆมงคลสีทองกั้นเอาไว้ข้างนอก มั่วชิงเฉินวิ่งหนีไปข้างหน้าพร้อมกับนักบวช มุมปากกระตุกอย่างแรง ใครก็ได้บอกนางทีได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หรือว่าเป็นเพราะความปากเสียของอู๋เย่ว์จริง ถึงได้เรียกคนกลุ่มนี้ให้มาอย่างไร้ซึ่งเหตุผล
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดก็เห็นว่านักบวชที่อยู่ข้างหน้าหยุดนิ่งกะทันหัน มั่วชิงเฉินเกือบจะชนรีบแสดงเคลื่อนเงาเลือนรางกันไว้ข้างกาย พูดด้วยความโมโหว่า “เหตุใดถึงหยุดกะทันหันเล่า”
นักบวชหันกลับมา มือสองข้างประกบกัน “โยม ไม่ใช่ว่าอาตมาคิดจะหยุด แต่เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์รับไม่ไหวแล้ว”
ตราบจนตอนนี้มั่วชิงเฉินถึงได้เห็นรูปโฉมของนักบวชอย่างชัดเจน
เขาดูแล้วยังอายุน้อย น่าจะไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปด คิ้วเข้มตาคม สายตาบริสุทธิ์มีชีวิตชีวา ต่อให้หลบหนีหัวซุกหัวซุนแต่ก็ยังให้ความรู้สึกสงบนิ่งดุจต้นสน
“เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์คืออะไร หรือว่า…” คิดถึงความเป็นไปได้นี้สีหน้าของมั่วชิงเฉินก็เปลี่ยนไป “หรือจะเป็นของวิเศษที่กั้นขวางปราณมังกรไว้ข้างนอกอย่างนั้นหรือ”
เส้นเลือดบนขมับมั่วชิงเฉินเต้นตุบ นักบวชผู้นี้ยิ้มอะไรกัน หรือไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทายถูกคือพวกเขาเข้าใกล้ความอันตรายเร็วขึ้นหรืออย่างไร
สิ่งที่หมดคำพูดมากที่สุดคือ ทั้งๆ ที่เป็นนักบวชรูปหนึ่ง แต่รอยยิ้มนี้กลับปรากฏเขี้ยวสองข้างแสนน่ารักออกมา
“เช่นนั้นเมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์รับไม่ไหวแล้ว หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร” มั่วชิงเฉินถามตรงประเด็น
“หลังจากนี้…” ในที่สุดนักบวชก็หุบยิ้ม หน้าตาเศร้าสร้อยพูดว่า “หลังจากนี้เดี๋ยวโยมก็จะรู้ในทันที…”
มั่วชิงเฉินเห็นว่าแสงจ้าของเมฆมงคลสีทองประกายพริบ จากนั้นก็มืดสนิทลง ลอบคิดในใจว่าแย่แล้ว รีบคว้ามือของนักบวชขึ้นมาถ่ายทอดพลังวิญญาณของตนเองเข้าไปให้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าพลังวิญญาณนั้นถูกกระแทกกลับมา
เสียงของนักบวชลอยมา “ไม่ได้ ตัวอาตมาบำเพ็ญเพียรทางพุทธ แตกต่างจากนักบำเพ็ญเพียรเต๋าเช่นเจ้า ไม่อาจเปลี่ยนแปลงพลังวิญญาณของเจ้าได้!”
มั่วชิงเฉินจนปัญญาโดยสิ้นเชิง ปราณมังกรไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถรับมือได้ในตอนนี้ หรือว่าจะทำได้เพียงนั่งรอความตายเท่านั้นหรือ
‘นี่…นี่มันกรรมเวรที่ตกมาจากฟ้าชัดๆ!’
ไม่ยอมรับชะตากรรม มั่วชิงเฉินเกิดนึกฉุกคิดเริ่มบีบบังคับปราณแห่งเซียนวิญญาณขนาดเท่าหน้าเล็บกลุ่มหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่ภายในร่างกายมาตลอด
จนถึงตอนนี้มีเพียงทดสอบโชคชะตา ทั้งตัวของนางมีเพียงปราณแห่งเซียนวิญญาณกลุ่มนี้บวกกับปราณแห่งวิญญาณมารอีกด้านที่สามารถป้องกันได้บ้าง
แต่นางเป็นนักบำเพ็ญเพียรเต๋า คิดจะขับพลังปราณแห่งวิญญาณมารย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ มีเพียงปราณแห่งวิญญาณเซียนนี้เท่านั้นที่พอจะลองดูได้
มั่วชิงเฉินยังประเมินความสามารถตัวเองเอาไว้สูง ไอแห่งวิญญาณเซียนกลุ่มนี้แม้จะน้อย แต่กลับอยู่ระดับสูงกว่าปราณวิญญาณอื่นมากไม่รู้เท่าไร มันนอนนิ่งอยู่ในจุดตันเถียนมาตลอดเวลา เมื่อมีของจากภายนอกแทรกซึมเข้าไปก่อนย่อมต้องสู้กลับอย่างไม่เกรงใจ แต่นางคิดจะควบคุมก่อนเองถือว่าเป็นเรื่องยาก
‘ไม่อาจสิ้นหวัง!’
สีหน้ามั่วชิงเฉินแดงระเรื่อ พยายามใช้กำลังทั้งหมดดึงดูดปราณแห่งวิญญาณเซียนกลุ่มนั้น ความคิดสะเปะสะปะเรื่องอื่นเลือนหายไป
ในเวลานี้เองภาพข้างหน้ากลายเป็นดำสนิท จากนั้นมือที่แห้งกร้านอบอุ่นจับข้อมือของนางเอาไว้ ลากพุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดความสามารถ
ไม่รู้ว่าวิ่งออกมานานเพียงใด เจ้าของมือข้างนั้นถึงได้หยุดลง มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าจู่ๆ ข้างหน้าก็สว่างขึ้นมา สิ่งที่มองเห็นคือจีวรสีน้ำตาลตัวหนึ่งกำลังตกลงบนร่างของนักบวช
สีหน้ามั่วชิงเฉินดำคล้ำในทันใด ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้ภาพข้างหน้าถึงได้ดำสนิท วุ่นวายอยู่นานที่แท้นักบวชผู้นี้ถือจีวรมาคลุมร่างพวกเขาสองคนเอาข้างใน
นักบวชนั่นยังไม่รู้ตัว พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า “โยม เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ โชคดีที่อาตมาหัวไว คิดออกว่าในถุงเก็บวัตถุยังมีจีวรที่พระอาจารย์เคยสวมใส่เมื่อสองร้อยปีก่อนสามารถบังได้ชั่วครู่หนึ่ง มิเช่นนั้นพวกเราคงได้ไปพบพระพุทธเจ้าแล้ว”
‘สองร้อยปีก่อน?’
‘นักบวชเฒ่าเคยสวมใส่?’
มั่วชิงเฉินมองเขี้ยวคู่ที่โผล่ออกมาเล็กน้อย อดคิดไม่ได้ว่าหากต่อยไปสักหมัดหนึ่งทำให้เขี้ยวของเขาหลุดจะรู้สึกเช่นไร
ความโชคร้ายที่มาติดต่อกันไม่หยุดทำให้สีหน้าของนางไม่ดีอย่างมาก พูดเสียดแทงว่า “พวกท่านบำเพ็ญเพียรทางพุทธ ไม่ใช่ว่ามุ่งฝึกมรณะภาพในท่านั่งสมาธิในเร็ววัน จะได้ไปสู่แดนสุขาวดีพบพระมหายานที่ประจิมทิศหรืออย่างไร เหตุใดท่านถึงไม่คิดอยากพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารู้เข้าจะเสียใจเอานะ”
นักบวชกระพริบตา มือทั้งสองข้างพนมเข้าหากัน “อมิตตาพุทธ โยมพูดถูกแล้ว การไปสู่แดนสุขาวดีพบพระมหายานที่ประจิมทิศเป็นความหวังของพวกเราชาวนิกายพุทธจริง แต่อาตมาเองก็ถือศีลไม่ครบ ไปพบพระพุทธเจ้าตอนนี้ พระพุทธเจ้าท่านเองก็จะไม่ยินดี อีกทั้ง…”
“อีกทั้งอะไรหรือ” จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่านักบวชรูปนี้เจ้าสำบัดสำนวนยิ่งนัก
เห็นนักบวชยิ้ม เขี้ยวคู่โผล่ออกมาอีกครั้ง “อีกทั้งหากพระพุทธองค์เห็นอาตมายังพาสีกาไปพบท่านด้วย คงจะไม่ยินดีเข้าไปใหญ่”
มั่วชิงเฉินซวนเซ เกือบจะล้มหน้าคะมำ นี่ นี่มันนักบวชอะไรกัน!
แต่เมื่อช้อนสายตาขึ้นมองกลับเห็นว่าเขามีท่าทีจริงจังเลื่อมใส แม้แต่รอยยิ้มก็ยังแฝงความบริสุทธิศักดิ์สิทธิ์เอาไว้
ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าควรต้องพูดเช่นไรดี กวาดตามองรอบด้านทีหนึ่งพบว่าที่แห่งนี้เป็นพื้นที่โล่งเปล่าที่ไม่มีไออากาศสีม่วงอมเขียว แต่ขอบเขตค่อนข้างเล็ก ห่างออกไปไม่ไกลมีไออากาศสีม่วงอมเขียวลอยอยู่เป็นกลุ่มใหญ่
ลมกระแสหนึ่งพัดพา ไออากาศสีม่วงอมเขียวที่ลอยอยู่ไม่ไกลกลับเริ่มพัดเข้ามาทางนี้ตามกระแสลม
สีหน้ามั่วชิงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลบหลีกไออากาศสีม่วงอมเขียวที่พุ่งเข้ามาในพื้นที่ว่าง ถามขึ้นว่า “นี่คือที่ไหน”
คำพูดของนักบวชทำให้สีหน้าของนางยิ่งดำคล้ำ “อาตมาเองก็ไม่ทราบ แค่เห็นว่าที่แห่งนี้ไม่มีไอมังกรพุ่งเข้ามา”
“เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ของท่านใช้ได้หรือยัง หรือว่าจีวรก็ย่อมได้ ที่นี่เกรงว่าไม่นานคงถูกปราณมังกรปกคลุมไปทั่วแล้ว” มั่วชิงเฉินไม่มีเวลามานึกรังเกียจจีวรของนักบวชชราที่เคยใช้มาร้อยกว่าปี เพียงแค่มีชีวิตรอดก็พอแล้ว
คำพูดของนักบวชทำลายความหวังสุดท้ายของมั่วชิงเฉิน “เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์จะต้องให้อาตมาฟื้นฟูพลังพุทธญาณถึงจะสามารถกลับมาใช้ไม่ได้ จีวรนั้นไม่ได้มีความสามารถในการป้องกันปราณมังกร แต่เป็นเพราะลมหายใจของท่านอาจารย์ที่หลงเหลือเอาไว้ป้องกันให้ แต่เพราะเมื่อครู่ใช้ไปแล้ว ลมหายใจของท่านอาจารย์ที่อยู่บนจีวรก็หายไปแล้วเช่นกัน”
มั่วชิงเฉินกุมหมัดแน่น ไม่มีเวลามากล่าวโทษนักบวชอีกต่อไป ในหัวรีบคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว
ได้ยินเสียงนักบวชพูดว่า “สีกา อาตมาจะเพิ่มพลังพุทธญาณให้กับเมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ รบกวนโยมรับมือไปก่อนชั่วครู่”
พูดจบก็เห็นนักบวชนั่งยกขาขึ้นขัดสมาธิ ในมือประคองดอกบัวสีทองดอกหนึ่งเอาไว้ จากนั้นก็ร่ายประทับพุทธออกมาทีละระลอก ปากท่องบทสวดมนต์ขึ้นมา
มั่วชิงเฉินสีหน้าท้อแท้ใจ นางคิดจะรับมือ แต่ที่สำคัญคือจะเอาอะไรมารับมือ!
มองดูนักบวชที่ตั้งใจทุ่มสมาธิสวดมนต์ และมองดูไออากาศสีม่วงอมเขียวที่กำลังจะลอยมาถึงร่างเขา มั่วชิงเฉินรีบควักไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมา กลายเป็นควันบางกีดขวางไออากาศสีม่วงอมเขียวไว้ข้างหน้า
แต่เวลาผ่านไปไม่นานไหมเกล็ดน้ำแข็งก็กลายเป็นผ้าผืนสีเหลี่ยมลอยกลับมาบนมือนาง
ไม่มีเวลาให้ลังเล มั่วชิงเฉินรีบวิ่งไปย้ายร่างนักบวชให้เข้าหลบในช่องว่างด้านข้าง
เห็นนักบวชยังคงหลับตาสวดมนต์ ท่าทีเหมือนฟ้าผ่าก็ยังไม่รู้ตัว มั่วชิงเฉินยิ้มขมขื่น เอาเถิด รับมือไอมังกรไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังจับย้ายนักบวชได้
ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ มือทั้งสองข้างของมั่วชิงเฉินแบกร่างนักบวชไปยังที่ต่างๆ กว่าสิบที่ หลังจากนั้นมานางเริ่มเกิดอาการด้านชา แบกนักบวชก็ง่ายดายเหมือนกับแบกลูกเจี๊ยบตัวน้อย
แต่มาถึงสุดท้ายในที่สุดทั้งสองคนก็ไม่มีที่ให้หลบอีกต่อไป ไออากาศสีม่วงอมเขียวโหมลอยมายังพื้นที่ว่างเดียวทีเหลืออยู่
มั่วชิงเฉินกัดฟันมองนักบวช ตะโกนพูดว่า “เมื่อไรท่านจะตื่นขึ้นมา”
สิ่งที่ตอบโต้นางมีเพียงเสียงสวดมนต์ต่อเนื่องไม่ขาดสาย รวมไปถึงดอกบัวสีทองที่เริ่มส่องแสงประกายจัดจ้ามากขึ้น
ในเสี้ยววินาทีที่ทั้งสองคนกำลังจะจมหายไปในไออากาศสีม่วงอมเขียวมั่วชิงเฉินเหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ เหมือนมีอยู่ไม่จริง จากนั้นตะเกียงน้ำมันสีเขียวหยกดวงหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ส่องประกายแสงสีหยกสว่างจ้าในทันใด จากนั้นนางก็พบว่าบริเวณสองสามจั้งรอบกายเหมือนจะกลายเป็นพื้นที่โล่งโดยลำพัง กั้นไออากาศทั้งหมดเอาไว้ข้างนอก
ไฟสะท้อนหทัย!
แววตามั่วชิงเฉินชะงักงัน นึกถึงหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจที่ได้พบเมื่อเข้าไปในยี่สิบแปดค่ายกลแห่งเขตน่านน้ำโกลาหล
เสียงหนึ่งลอยขึ้นมาในหัวช้าๆ “เจ้าเด็กน้อย ข้าจะช่วยเจ้าเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว อย่าลืมคำสัญญาที่เจ้าให้ข้าไว้ตอนแรก”
“ขอบพระคุณท่านอาวุโส” มั่วชิงเฉินไม่นึกแปลกใจกับเสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น ในตอนนั้นสตรีผู้นี้ทิ้งตราประทับเอาไว้ให้นางตอนที่อยู่ในยี่สิบแปดค่ายกล เกรงว่าคงต้องทำเรื่องที่รับปากกับนางไว้ให้สำเร็จถึงจะปลดปล่อยลงได้
เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ไม่มีอะไรให้ได้ยินอีก
มั่วชิงเฉินมองตะเกียงน้ำมันสีเขียวหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศรู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าอิทธิฤทธิ์ของไฟสะท้อนหทัยจะกลายเป็นเขตแดนแห่งหนึ่ง แม้ว่าขอบเขตจะเล็กไปบ้างแต่ในช่วงเวลาสำคัญกลับมีประโยชน์ในการเอาชีวิตรอด
ก้มหน้าเหลือบมองนักบวชที่ยังคงสวดมนต์ ลอบคิดในใจว่าโชคดีที่ผู้บำเพ็ญเพียรสายพุทธแตกต่างกับผู้บำเพ็ญเพียรสายเต๋าอื่นๆ พวกเขาไม่ต้องการดูดซับลมหายใจจากผืนดินแผ่นอากาศ แต่มาจากพลังพุทธญาณที่เกิดขึ้นจากใจบริสุทธิ์ มิเช่นนั้นในเขตแดนของไฟสะท้อนหทัยนี้เกรงว่าเขาคงจะไม่มีทางได้ฟื้นฟูพลังพุทธญาณให้เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป
หลังจากที่ครึ่งชั่วยามผ่านไปเขตแดนที่เกิดจากไฟสะท้อนหทัยเริ่มสลายลง โชคดีที่นักบวชลืมตาขึ้นทันเวลา สะบัดแขนเสื้อเมฆมงคลสีทองปรากฏออกมา ปกป้องมั่วชิงเฉินเริ่มวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเอาตัวรอดอีกครั้ง
ทั้งสองคนไม่รู้ว่าวิ่งไปนานเพียงใด ในที่สุดก็มองเห็นบริเวณที่ไม่มีไออากาศสีม่วงอมเขียว รีบพุ่งเข้าไปหา
“ถือว่าปลอดภัยเสียที” นักบวชหอบหายใจเล็กน้อย แต่เริ่มเผยรอยยิ้มออกมา
มองฟันเขี้ยวคู่นั้นมั่วชิงเฉินกัดฟัน นี่จะต้องเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากเพียงใด ถึงยังยิ้มเช่นนี้ได้!
“เกรงว่าคงจะไม่ปลอดภัยกระมัง หากเกิดลมพัดขึ้นมาแล้วมีปราณมังกรลอยเข้ามาเหมือนเมื่อครู่นี้จะทำเช่นไร”
นักบวชตะลึงไปเล็กน้อย รีบนั่งยกขาขัดสมาธิ “เช่นนั้นอาตมารีบฟื้นพลังพุทธญาณให้เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะดีกว่า ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยวิ่งกันอีกครั้ง”
มั่วชิงเฉินตีหน้านิ่งนั่งลง ถามว่า “คนที่ไล่ตามเจ้าเกิดอะไรขึ้น”
เห็นนักบวชไม่พูด มั่วชิงเฉินพูดต่อไปว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะไต่ถามเรื่องส่วนตัวเจ้า เพียงแต่พวกเราวิ่งหนีไปมาอยู่เช่นนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเท่าไรนัก พวกเราต้องกลับไป!”
“กลับไป?” นักบวชส่ายหน้า “ไม่ได้ พวกเขาคนเยอะ สีกาเจ้าจะพาลโชคร้ายไปด้วย คนพวกนั้นจิตใจเ**้ยมโหด คิดแล้วว่าเจ้าเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์กับข้า ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
“ไม่มีทางปล่อยข้าไป?” มั่วชิงเฉินหลุบตาลง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ายิ้มแย้ม “คนเหล่านั้นฆ่าผู้อื่นอย่างง่ายดายเช่นนั้นเชียวหรือ”
“อมิตตาพุทธ ไอบาปบนร่างพวกเขารุนแรงมาหนัก ล้วนเกิดขึ้นเพราะไล่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ตอนนี้ไล่ตามอาตมาไม่ปล่อยก็เพราะคิดจะแย่งชิงของวิเศษนิกายพุทธยานที่สามารถกำจัดไอบาปได้ เพราะเหตุนี้ศิษย์พี่และศิษย์น้องหลายคนของอาตมาหลายคนต้องพบกับความโหดร้ายนี้ไปแล้ว” นักบวชพนมมือ น้ำเสียงแม้จะเรียบนิ่ง แต่สายตากลับแฝงความเศร้าเสียใจ
ในใจลอบคิดว่า โยมหญิงผู้นี้ช่างมีเมตตาเสียเหลือเกิน ไม่เชื่อว่ามีคนที่ไล่ฆ่าผู้บริสุทธิ์อยู่จริง
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว “พวกเราอยู่ที่นี่ จะช้าก็เร็วก็ต้องตาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเรารีบกลับไปเถิด”
“ยังจะกลับไป?” นักบวชเบิกตาโต แลดูนิ่งงัน
มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติ “ใช่แล้ว หากพวกเขาไม่ปล่อยข้า ข้าจะฆ่าพวกเขาก่อน”
นักบวช “…”