ล้มเหลวสองครั้งติดต่อกันนกคุกคู้เหล่านั้นก็ไม่ไว้หน้าอีกต่อไป ยิ่งพวกมั่วชิงเฉินเดินเข้าไปในส่วนลึกป่าคุกคู้มากเท่าไร กลับยิ่งไม่เห็นเงาของนอกคุกคู้อีก
แต่ดูจากท่าทีที่ทั้งสองคนแสดงออกมานั้นเห็นชัดว่าอัดอั้นตันใจ จะต้องหานกคุกคู้มาให้ได้
นิ้วมือของมั่วชิงเฉินขยับ นี่เป็นสัญชาตญาณที่คิดจะนำอาวุธออกมา แต่สุดท้ายก็ผ่อนกำลังมือลง
ห้าคน ซากศพที่ไม่รู้จำนวน สิ่งที่นางต้องทำก็คือใช้คันธนูชิงอิ่นกำจัดฆ่านักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสี่คนในทีเดียวก่อน ตอนนี้ไม่อาจอดรนทนไม่ไหว แหวกหญ้าให้งูตื่น
เดินต่อไปอีกไม่เกินกี่สิบจั้งก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอะไรแล้ว จู่ๆ บนพื้นเกิดมีแหปากใหญ่ คลุมลากทั้งทั้งสองคนเอาไว้ข้างในแล้วแขวนไว้บนต้นไม้
และในเสี้ยววินาทีที่แหปากใหญ่ยังไม่ทันดึงขึ้นนั้น มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนก็กระโดดขึ้นนำฉวยโอกาสการบุกมาไว้ก่อน แต่ในเวลานี้ความมั่นใจมีเพียงนิดเดียวเท่านั้น สำหรับคนที่มีความมั่นใจในเรื่องนี้อย่างมากรวมไปถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนนั้นล้วนไม่สังเกตเห็น
พวกอิ่นอีทั้งสี่คนในมือถือธนูเอาไว้คนละคัน ลูกศรสี่เล่มถูกยิงออกไป เป้าหมายเป็นบริเวณขาของทั้งสองคน ล้วนไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ส่วนที่เห็นชัด
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเองในมือของเยี่ยเทียนหยวนปรากฏลูกไฟขึ้นมาสองสามลูก เผาไหม้แหใหญ่ที่ครอบคลุมเอาไว้อย่างรวดเร็ว
แหปากใหญ่นั้นไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด ต่อต้านอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งถึงจะเริ่มมอดไหม้ขึ้นมา
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้สวมใส่ชุดสีฟ้าครามหลังฝนตกในที่สุดก็มีสีหน้าแปลกไป
แหปากใหญ่นี้ทำมาจากใยจักจั่นน้ำแข็ง และผสมไขกระดูกอิน เย็นสบายเรียบลื่น ทนทานอย่างมาก ไม่กลัวไฟไหม้คมดาบ หากครอบคนเอาไว้แล้วต่อให้ตายก็ไม่อาจดิ้นหนีไปได้ ชายหนุ่มผู้นี้ใช้วิชาลับธาตุไฟอะไร ลูกไฟที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรผิดปกติกลับสามารถเผาไหม้แหกกระดูกอินใยน้ำแข็งนี้ได้’
แต่ตอนที่สีหน้าของเขาเพิ่งเปลี่ยน สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น
เสี้ยววินาทีที่เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งดีดลูกไฟออกมานั้นสีหน้าของคนที่เหลือยังคงแสดงอาการดูถูกเอาไว้ แต่ยามที่แหใหญ่หมอดไหม้มีเวลาอยู่ชั่วครู่ลมหายใจ เวลาชั่วครู่ลมหายใจนี้สำหรับคนทั่วไปแล้วถือว่าสั้นจนแม้แต่กระพริบตาก็อาจจะไม่พอ สำหรับมั่วชิงเฉินแล้วถือว่ามากพอที่จะทำหลายอย่าง
คันธนูชิงอิ่นปรากฏขึ้นในมือ คันธนูเอนบังอยู่บริเวณหน้าอก มือเปลือยดึงสายธนู ศรน้ำแข็งเหมันต์ลอยออกไป เรียกใช้เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขั้นสี่ วิญญาณบุปผาจรัสแสงแล้วเปลี่ยนแปลงตามการควบคุม ศรน้ำแข็งเหมันต์แบ่งออกเป็นสี่ หนึ่งจริงสามมายา ยิงตรงไปยังทิศทางทั้งสี่คนอย่างรุนแรงราวกับพายุ
จากนั้นไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือมายา แสงกระบี่ทั้งสี่เล่มนั้นก็ผ่าธนูสี่คันที่พุ่งเข้ามาหาออกเป็นสองส่วนอย่างไร้สิ้นเสียง ทะลุกลางปล้องออกไป จากนั้นก็พุ่งไปยังทั้งสี่คนอย่างไม่ลดความเร็วลง กลับยังรุนแรงกว่าเดิม ส่งเสียงกรีดอากาศก้องออกมา
อ๋ากกก เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้น
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณยังคงตกอยู่ในภวังค์ตื่นตะลึงวิธีการทำลายแหของเยี่ยเทียนหยวน ก็ถูกเสียงร้องน่าเวทนาดึงสติกลับคืนมา ทอดสายตามองออกไปไกลก็อดตกใจไม่ได้
เห็นว่าพวกอิ่นอีทั้งสี่คนมีรูลูกธนูเล็กๆ อยู่กลางหน้าอก เลือดไหลหลั่งริน สีหน้ายังคงแฝงความภาคภูมิใจแกมดูถูกเอาไว้ จากนั้นก็ล้มตึงลงไปข้างหลัง นอนหมอบกองลงที่พื้น ดวงตาสองข้างเบิกโต นอนตายตาไม่หลับไปแล้ว
เสียงร้องแหลมเมื่อครู่นี้คือเสียงของทั้งสี่คนที่ผสมรวมกัน
ความเย็นยะเยือกกระแสหนึ่งไหลบ่าขึ้นมาจากปลายเท้า ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณกำหมัดแน่น มองไปยังหญิงชายที่หนีรอดหลุดมาจากแหเพลิง กลับมายืนเคียงข้างกันด้วยรูปลักษณ์ดั้งเดิมที่ฟื้นคืนมา
ใบหน้าบริสุทธิ์งดงามของหญิงสาวประดับรอยยิ้มบาง มือเปลือยเรียวขาวถือคันธนูยาวที่มองดูแล้วย่อมไม่ใช่ของธรรมดาเอาไว้คันหนึ่ง และชายหนุ่มเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ในมือไม่มีอะไรแม้แต่ชิ้นเดียว แต่กลับเหมือนเสือดาวที่รอตะครุบเหยื่อเสมือนลมฝนที่พร้อมถล่มรวมตัวกันเป็นไอสังหารที่ไม่อาจละสายตา
‘ทั้งสองคนนี้เป็นใครกันแน่’
“พวกเจ้า ไม่ใช่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเป็นแน่!” ชายหนุ่มก่อแก่นปราณเอ่ยปากช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างมาก
น่าตลกที่บอกว่าตนเองรอบคอบ แต่ก็ยังถูกสภาพการไล่ล่านกคุกคู้มากระทบการตัดสินใจ หญิงชายคู่นี้จะรับมือนกคุกคู้ตัวเล็กๆ ไม่ได้เลยเชียวหรือ ดูท่าคงทำให้พวกเขาเห็นเท่านั้นเอง
น่าตลกที่พวกเขาคิดว่าตนเองอยู่ในที่มืด เห็นพวกเขาสองคนเป็นสัตว์ร้ายในวงแห แต่แท้จริงแล้วในสายตาของคนอื่นพวกเขาไม่ได้อยู่กลางแหหรืออย่างไร
“พวกเราใช่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหรือไม่ ไม่จำเป็นให้ท่านลำบากใจ!” เยี่ยเทียนหยวนที่กลับมามีรูปโฉมเย็นชาไร้อารมณ์พูดออกมาดุจน้ำแข็ง เยือกเย็นพอที่จะแช่แข็งคนตาย
ชายหนุ่มก่อแก่นปราณใบหน้าตึงเครียด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดทั้งสองท่านจำต้องปิดบังหลบซ่อน ลดราตนเองด้วย”
มั่วชิงเฉินหลุดหัวเราะออกมา ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณตะลึงงันในทันใด ได้ยินเสียงสง่างามเรียบเฉยพูดขึ้นว่า “คำพูดของท่าช่างน่าตลกยิ่งนัก ปิดบังบำเพ็ญเพียรหรือไม่เป็นเรื่องของพวกเราสองคน คงไม่อาจว่าขานกล่าวโทษที่พวกเราปิดบัง แล้วการที่ท่านจับจ้องพวกข้า ฆ่าคนหลอมศพเป็นเรื่องถูกเช่นนั้นหรือ
‘คิดจะเอาเปรียบแล้วยังกล้าที่จะเอาเรื่องศีลธรรมมาเล่น ที่แท้แล้วเป็นสิ่งที่แตกต่างระหว่างนักบำเพ็ญเพียรเต๋าและนักบำเพ็ญเพียรมารเช่นนั้นหรือ’ มั่วชิงเฉินคิดหัวเราะหยันในใจ
ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณหรี่ตา “พวกเจ้ารู้ด้วยหรือว่าข้าจะใช้พวกเจ้ามาหลอมศพ”
มั่วชิงเฉินยิ้มบางๆ “มิเช่นนั้นเล่า ใช้กำลังทั้งหมดที่มีรวบตัวพวกข้า หรือจะเชิญไปเป็นแขกเหล่า”
พูดถึงตรงนี้ก็กระพริบตาปริบ น้ำเสียงลากยาว “แต่ข้านึกแปลกใจนัก ตอนนี้มีท่านเจ้าคนเดียว พวกเรากลับมีสองคน ทั้งๆ ที่ท่านคาดเดาได้แล้วว่าพวกเราปิดบังระดับตบะบำเพ็ญ แต่น้ำเสียงกลับไม่เห็นจะผ่อนลงเลยแม้แต่น้อย คิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะมีหลักพึ่งพิง มิเช่นนั้นก็…เบื้องหลังยังมีผู้ที่มีฝีมือมากกว่านี้ ท่านจึงจำต้องยินยอม”
ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณสวมใส่ชุดลายครามตัวสั่นสะท้าน ในที่สุดสีหน้าเปลี่ยนไป “แม่หญิงช่างปากคอเราะร้ายยิ่งนัก ช่างเป็นความคิดที่ฉลาดเฉลียวเสียเหลือเกิน!”
ที่เขายอมรับคำพูดของมั่วชิงเฉินไม่ได้เป็นเพราะว่าลนลานจากการที่ความลับถูกเปิดเผย แต่เพราะสถานการณ์หนึ่งคนต่อศัตรูสองคน แม้จะมีซากศพเป็นตัวช่วย แต่เพื่อความปลอดภัยทางที่ดีก็ยังต้องใช้ภาพลักษณ์ในการกดดันพวกเขา
และในตอนนี้เองไม่มีสิ่งที่ดีไปกว่ายอมรับว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับตบะลำเพ็ญสูงกว่า พวกเขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณแล้ว จะโอหังหาญกล้าก็ไม่มีทางที่จะไม่ขลาดกลัวระดับก่อกำเนิด!
ลดทอนความกล้า เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่จะกุมชัยชนะก็ยิ่งสูงมากขึ้น!
มั่วชิงเฉินหัวเราะเบา “ดูท่าข้าคงจะเดาถูกกระมัง แต่เจ้านายของเจ้า รวมไปถึงพวกเจ้าตอนแรกคิดว่าพวกข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกระมัง ส่งเจ้าออกมาได้ก็ถือว่ารอบคอบมากพอแล้ว ฉะนั้นข้าเดาว่าเจ้านายของท่านในตอนนี้ยังคงนั่งจิบชาอยู่ที่โรงชาสักแห่งเมืองไท่หยินกระมัง ท่านว่าครั้งนี้ข้าเดาถูกอีกแล้วใช่หรือไม่”
สายตาที่ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณมองมั่วชิงเฉินแฝงความตื่นตะลึง สตรีผู้นี้หรือว่าจะเป็นนางมารเช่นนั้นหรือ
ปฏิกิริยาของเขาทำให้มั่วชิงเฉินพอใจอย่างมาก เบนหน้าหันไปมองเยี่ยเทียนหยวนเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ดูเช่นนี้แล้วพวกเราจะต้องกำจัดให้ถอนรากถอนโคน มิเช่นนั้นดึงดูดนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดออกมา เช่นนั้นศิษย์น้องกลัวจังเลย”
ตอนที่พูดว่า ‘กลัวจัง’ สีหน้ากลับยิ้มแย้มแจ่มใส พลิกหมุนคันธนูชิงอิ่นที่อ่อนน้อมไร้ความเรียบหรูในมือไปมา
เยี่ยเทียนหยวนลูบผมมั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้อง เจ้าจะไปพูดมากกับเขาทำไมกัน”
เมื่อคำพูดนี้ดังออกไปชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ถึงขั้นที่ไม่ตายก็ไม่หยุด ย่อมต้องฉวยโอกาสสามส่วนลงมือก่อน มือสะบัดพลิ้วร่างศพสี่ตนปรากฏขึ้นมา ประกายแสงสีทองแดงออกมาจางๆ ล้วนเป็นศพทองแดงทั้งสิ้น
การขยับตัวของศพทองแดงทั้งสี่ตัวไม่ได้เชื่องช้าเหมือนซากศพ แต่กลับฝีเท้าเร่งรีบประหนึ่งเหาะบิน เหยียบลงบนพื้นดังตึงตังพุ่งเข้าหาทั้งสองคน
ในมือชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณมีของวิเศษลักษณะคล้ายกำไลเงินเบอร์ใหญ่ บนนั้นฝังกระดิ่งเล็กอยู่เต็มไปหมด ปากพึมพำร่ายคาถา
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนกระโจนตัว พุ่งเข้าไปต่อสู้กับฝูงศพทองแดง
ศพทองแดงเหล่านี้ความสามารถยอดเยี่ยม ต่อให้พวกเขาคิดจะลงมือจัดการกับตัวหลักก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดการกับมือเท้าของเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ศพทองแดงเพราะเหลือเพียงเนื้อหนัง ไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวด อีกทั้งเมื่อมาถึงขั้นศพทองแดงแล้วยิ่งฟันแทงไม่เข้า ต่อให้กรีดแทงเกิดรอยแผลก็เลือนหายในพริบตา
หากเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณธรรมดาสองคนบังเอิญพบกับศพทองแดงสี่ตนต่อให้ไม่ถูกกำจัดไล่ฆ่า ก็จะต้องฝืนสู้กันเป็นเวลานาน
แต่พวกมันกลับต้องพบเจอมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวน
ในเสี้ยววินาทีที่มั่วชิงเฉินปะทะกับศพทองแดงร่างหนึ่ง ปะมือกันไม่กี่ครั้งก็รู้ถึงจุดเด่นของศพทองแดงอย่างชัดเจน ย่อมไม่ฝืนรับมืออีกต่อไป ร่างกายพลิกพลิ้วกลางอากาศ ลอยออกไปข้างหลังประหนึ่งนกนางแอ่น ปากตะโกนเสียงใส “ศิษย์พี่ พวกมันสี่ตนท่านรับมือไปก่อน”
เยี่ยเทียนหยวนรับคำเสียงเบา ห่วงตะวันย้อยดาราในมือถูกโยนออกไป ห่วงทองแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ประกายเพลิงที่สะท้อนแสงม่วงโจมตีใส่ศพทองแดงทั้งสี่ตน
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ศพทองแดงเหล่านั้นที่ไม่กลัวคมกระบี่ ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดกลับพากันถอยหลังลงไปก้าวหนึ่ง
ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณสีหน้านิ่งขรึมดุจน้ำแข็ง เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอคู่ต่อสู้เช่นนี้ ช่างยากจะพบในชาตินี้เสียจริง หรือว่าจะเป็นวิบากกรรมของเขากัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้แววตากลับดูเด็ดเดี่ยวอย่างผิดปกติขึ้นมา แสงวิญญาณกระแสหนึ่งถูกยิงเข้าไปในกำไล บนร่างศพทองแดงทั้งสี่ตัวประกายแสงขึ้นมาในทันใด
แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วพวกมันไม่ต้องหลบหนีห่วงทองเข้ามาใกล้ ประกายไฟบนห่วงกลับร้อนแรงประกายเสียงคำรามแปลกประหลาดออกมา
และในเวลานี้เองมีศรยาวสี่คันพุ่งเข้ามา ส่งเสียงแหวกอากาศทะลุเข้าไปกลางหลังศพทองแดง พวกมันตัวสั่นไหวฝีเท้าซวนเซ
เก็บคันธนูเข้ามา มั่วชิงเฉินหัวเราะเบาๆ ต้นท้อสามารถปัดสิ่งชั่วร้ายได้ รับมือกับซากศพก็ยังเห็นผล!
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสีหน้าไม่น่ามองอย่างมาก ทั้งสองคนนี้ร่วมมือกันอย่างไร้ที่ติอย่างที่คิดไว้ แล้วยังมีสิ่งที่ชำนาญต่างกัน ประกายไฟของชายหนุ่มแล้วยังมีศรไม้ท้อน่าแปลกประหลาดของหญิงสาวสามารถยับยั้งสมบัติล้ำค่าของซากศพได้ เขาเป็นผู้ชำนาญการหลอมศพ เพียงแค่มองปฏิกิริยาของศพทองแดงเหล่านี้ก็ชัดเจนอย่างมากแล้ว
‘วันนี้คงจะเจอวันเลวร้ายเข้าซะแล้ว!’
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในหัว เขากลับไม่มีจิตใจนึกเสียดาย มือยกขึ้นของสิ่งหนึ่งถูกโยนออกมา
เสียงดังสนั่นก้อง พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น เห็นว่ากลางอากาศมีซากศพขนาดใหญ่กว่าสองจั้งปรากฏขึ้น บนร่างประกายแสงสีเงิน
เป็นถึงศพเงิน!
มั่วชิงเฉินตะลึงตกใจไปชั่วครู่แล้วง้างสายธนูขึ้นอีกครั้ง ศรไม้ท้อหลายคันยิงทะลุออกไป
สวนท้อของนางที่ได้มาจากไม้ท้อของตระกูลหวังจากทะเลขนาบใจมีอายุกว่าหมื่นปี ศรไม้ท้อที่ทำมาจากกิ่งท้อหลากประเภทอายุกว่าหมื่นปีจะเป็นของธรรมดาได้อย่างไร
ศพเงินนี้ดุร้ายจริง แต่เพราะจำนวนที่ไร้สิ้นสุด จนถึงสุดท้ายแทบจะกลายเป็นทะเลลูกศร ความสามารถที่แท้จริงกลับยากแสดงออก
ชายหนุ่มก่อแก่นปราณกัดฟันกรอด เจ้าเด็กบ้านี้ นึกว่าสมบัติล้ำค่าเช่นนี้เป็นของขายตามถนนเช่นนั้นหรือ แท้จริงแล้วนางมีเท่าไรกันแน่!
เยี่ยเทียนหยวนเองก็ไม่น้อยหน้า ห่วงตะวันย้อยดาราของเขาแต่เดิมไม่ได้เป็นของยอดเยี่ยมอะไร ที่เป็นของชั้นเลิศคือเพลิงวาสนาตะวันที่ผสมผสานอยู่ข้างบนต่างหาก
เพลิงวาสนาตะวันทั้งบริสุทธิ์และร้อนแรง แต่เดิมเป็นเปลวไฟที่สามารถสิ่งของทุกสิ่งอย่าง
รับมือกับศพเงินแม้จะยากลำบากกว่าศพทองแเดงอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยเพราะการร่วมมือของทะเลศรไม้ท้อของมั่วชิงเฉิน ไม่นานก็จัดการบีบให้ศพเงินค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เจ้านายของมั่นมากขึ้น ไร้ซึ่งพื้นที่ให้หลบหลีก
ฉวยโอกาสตัดสินใจดำเนินการอย่างฉับพลันชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณหมุนตัวหนีไป
ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นลำแสงดกระแสหนึ่งตามไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างของหญิงสาวชุดเขียวค่อยๆ ปรากฏขึ้น มุมปากประดับยิ้ม ลักยิ้มปรากฏขึ้นบางๆ “ท่านจะไปที่ใดหรือ”