แทบจะตามสัญชาตญาณมั่วชิงเฉินเก็บลมหายใจในทันใด
เสียงเจ้าเล่ห์อย่างมากของถังมู่เฉินลอยออกมา “สหายเต๋าลั่วหยาง เจ้าไม่ซื้อจริงหรือ หากใช่เพราะช่วงนี้ข้าขัดสนก็คงจะทำใจเอาสมบัติสุดที่รักออกมาไม่ได้”
เสียงของเยี่ยเทียนหยวนทั้งต่ำและเย็น “ข้าน้อยไม่ต้องการ ขอบคุณสหายเต๋าเชียนหานมาก”
ต่อหน้าชายบำเพ็ญเพียร เขายังคงเกรงใจอยู่มากนัก
เสียงของถังมู่เฉินแลเสียดแหลมขึ้น “ไม่ต้องการอะไรกัน สหายเต๋าลั่วหยาง ฟังพี่ชายพูดสักประโยคหนึ่ง ไม่มีอะไรสำคัญกว่าเจ้าอีกแล้ว เจ้าลองดูของก่อนสิ”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วต้องตื่นตะลึง ถังมู่เฉินผู้นี้ กำลังทำอะไรอยู่กันแน่
“เจ้าดูนี่ซิ หึๆ ภาพวาดนี้ ช่างสมจริงขนาดไหน เหมือนกับคนจริงอย่างไรอย่างนั้น…”
เสียงของเยี่ยเทียนหยวนฟังแล้วดูแปลกประหลาดไปเล็กน้อย เหมือนกำลังกัดฟันพูด “สหายเต๋าเชียนหาน ข้าน้อยไม่ต้องการจริงๆ!”
รีบเข้าไปจะดีกว่า ไม่แน่ว่าอีกครู่คงจะตีกันขึ้นมาจริงๆ
มั่วชิงเฉินครุ่นคิด ยื่นมือผลักประตูเข้าไป
ทั้งสองคนภายในห้องนิ่งอึ้งไปในทันใด สายตาของมั่วชิงเฉินกวาดมองข้างล่างสะดุดที่มือขวาของถังมู่เฉินที่ยื่นออกมา
ในมือเป็นสมุดรวมภาพเล่มหนึ่ง แม้นางไม่อยากยอมรับแต่ในเสี้ยววินาทีนั้นก็ยังคงสองสามคำอย่างชัดเจน ‘ภาพวสันต์สามสิบหกท่า…’
มั่วชิงเฉินหน้าดำคล้ำในทันใด
สายตาค่อยๆ เคลื่อนไปทอดมองถังมู่เฉินเห็นถังมู่เฉินรีบเอาสมุดรวมภาพยัดเข้าไปตรงหน้าอกอย่างรวดเร็ว ส่งยิ้มให้นางด้วยสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยน
เยี่ยเทียนหยวนที่อยู่อีกข้างกลับมีสีหน้าเหมือนผ้าแดง ไม่กล้ามองหน้ามั่วชิงเฉินแม้แต่นิดเดียว
สูดลมหายใจเข้าลึก มั่วชิงเฉินสืบเท้ายาวเดินเข้าหา “ท่านพี่ ช่างบังเอิญนัก”
“อืม บังเอิญมากนัก” ถังมู่เฉินกระแอมสองสามครั้ง “อ่า น้องข้า ข้าจำได้ว่ายังมีธุระอื่น พวกเจ้ายุ่งกันเลย”
จากนั้นก็ส่งสายตาตักเตือนให้เยี่ยเทียนหยวน วิ่งออกไปเหมือนไฟรนก้น
ได้ยินเสียงปิดประตูห้องมั่วชิงเฉินถอนสายตากลับมา มองไปยังเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ ถังมู่เฉินมาหาท่านทำไมหรือ”
ท่าทางบริสุทธิ์ไร้พิษภัย เยี่ยเทียนหยวนเห็นแล้วหน้าแดงมากกว่าเดิม จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนจากแดงเป็นดำ พูดกระตุกกระตัก “เขามาหาศิษย์น้อง”
มุมปากของมั่วชิงเฉินยกขึ้นน้อยๆ แลดูอยากจะหัวเราะ แต่ก็กลัวเขาจะอับอายจนพาลเป็นโกรธ
‘ช่างโง่เขลาเสียจริง แม้แต่คำโป้ปดก็ยังพูดไม่เป็น’
แสดงท่าทีเข้าใจในทันใดออกมา “ที่แท้ก็มาหาข้านี่เอง มิน่าเล่า ดูท่าหาข้าไม่เจอถึงได้คิดจะเอาของมาขายให้ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ท่านรอก่อน ข้าไปหาถังมู่เฉินชั่วครู่ ดูว่าเขาจะเอาอะไรมาขายให้ข้ากันแน่”
พูดจบก็หมุนตัวสืบฝีเท้าเดินออกไป เยี่ยเทียนหยวนกลับพุ่งเข้าหาในทันใด จับมั่วชิงเฉินเอาไว้
“ศิษย์พี่?” มั่วชิงเฉินกระพริบตา
เยี่ยเทียนหยวนทั้งร้อนใจทั้งโมโห “เจ้าอย่าไป!”
“เหตุใดเล่า” มั่วชิงเฉินถามอย่างมีเหตุผลเต็มปาก
“เพราะว่า เพราะว่า…” เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว ให้ตายอย่างไรก็ไม่พูดเหตุผลออกมา เหลือบมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงมุมปากของมั่วชิงเฉิน เมื่อสมองมาปัญญาเกิดคิดบรรลุ “ศิษย์น้อง เจ้าจงใจ!”
มั่วชิงเฉินโบกมือด้วยความไม่รู้เรื่องรู้ราว “ศิษย์พี่ วันนี้ท่านน่าแปลกนัก เช่นนั้นก็แล้วแต่เถิด ข้าไม่ไปแล้ว”
เยี่ยเทียนหยวนพรูลมหายใจด้วยความสบายใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงมั่วชิงเฉินพูดเรียบดังขึ้นมา “พรุ่งนี้ค่อยไปก็เหมือนกัน”
มุมปากเยี่ยเทียนหยวนสั่น มือข้างที่จับมั่วชิงเฉินไว้ออกแรงแน่นมากกว่าเดิม
สายตาของมั่วชิงเฉินกวาดมองไปตรงนั้น เยี่ยเทียนหยวนถึงได้ปล่อยมือ “ศิษย์น้อง ลั่วหยางขอตัวไปบำเพ็ญเพียรก่อน เจ้าตามสบาย”
เห็นเขาเร่งรีบมือไม้พันกันขึ้นไปบนเตียง นั่งขัดสมาธิหลับตาลง มั่วชิงเฉินหลุดหัวเราะ และไม่ส่งเสียงออกมาอีก บำเพ็ญตบะขึ้นมาเช่นเดียวกัน
ค่ำคืนนี้เยี่ยเทียนหยวนลืมตาขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน มองเหม่อไปยังมั่วชิงเฉินด้วยความตื่นตะลึง
ค่ำคืนนี้ดวงตาของมั่วชิงเฉินไม่ลืมขึ้นเลยตั้งแต่เริ่มต้น ในใจรู้สึกสงบอย่างไม่มีที่เปรียบ
รอบชิงมีผลแพ้ชนะออกมาอย่างรวดเร็ว ภายในกลุ่มสามคนที่แสดงความสามารถออกมาเต็มร้อย เซิงโจวครอบครองหนึ่งตำแหน่งซึ่งก็คือเฉิงหรูยวน
งานเลี้ยงฉลอง มั่วชิงเฉินไม่คุณสมบัติเข้าร่วม ถังมู่เฉินที่ชำนาญการสอดแนมกลับเล่าเหตุการณ์ภายในงานเลี้ยงออกมาด้วยความเบิกบานดีใจ
เล่าต่อกันว่าภายในกลุ่มสามคนที่แสดงความสามารถออกมาเต็มร้อยเฉิงหรูยวนเป็นคนที่มองดูแล้วเบิกบานตาสำราญใจมากที่สุด คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองของตระกูลซั่งกวนเกิดมีปากเสียงกันเพราะเขา ซั่งกวนจื่อเฟิ่งโมโหกลับตั้งตนตัดสินใจให้เฉิงหรูยวนครองคู่กับคุณหนูสามซั่งกวนอู๋ซิน
เล่าต่อกันว่าในงานเลี้ยงฉลองคุณหนูใหญ่สกุลหวง มีนามว่าหวงหลิง ดื่มจนเมามายแล้ววิ่งมาหยอกเย้าเสิ่นฉงเหวิน ถูกมีดบินของเสิ่นฉงเหวินเฉือนเส้นผมกำหนึ่งร่วงขาด
แล้วยังพูดต่อกันว่าคุณหนูรองสกุลหวง หวงเจ๋ออุ้มกระบี่หนักเล่มหนึ่ง พลิกแผ่นดินหาแม่หญิงนางหนึ่งวนไปมา ทุกคนพากันคาดเดาว่าแม่หญิงผู้นั้นน่าจะแย่งชิงสามีนางไป คุณหนูรองสกุลหวงถึงได้มาแก้แค้น
มั่วชิงเฉินได้ยินแล้วถึงกับเหงื่อไหล ลอบคิดว่าตนเองโชคดีที่ไม่มีสิทธิเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้ เรื่องวุ่นวายเหล่านี้แค่ฟังก็พอแล้ว หากว่าตนเองเข้าไปนั่นคงไม่น่าคิดเลยทีเดียว
“สหายเต๋าเฉิง เจ้ารอก่อน ข้าไปเรียกน้องสาวครั้งหนึ่งก็จบแล้ว”
มั่วชิงเฉินกำลังบำเพ็ญตบะอยู่ภายในห้อง ได้ยินเสียงของเอะอะโวยวายของถังมู่เฉินดังลอดเข้ามาจากนอกประตู
นางลืมตาทั้งสองข้างขึ้นในทันใด สบตากับเยี่ยเทียนหยวน
“ศิษย์พี่ ท่านเก็บลมหายใจให้ดี ข้าออกไปชั่วครู่”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าตอบรับน้อยๆ แสดงท่าทีให้วางใจออกมา
เปิดประตูพลางเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เห็นมั่วชิงเฉินยืนอยู่ด้านนอก
“น้องข้า สหายเต๋าเฉิงเรียกพวกเราไปดื่มเหล้า” ถังมู่เฉินส่งสายตาให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินเข้าใจในฉับพลัน ก้าวขึ้นไปข้างหน้า “สหายเต๋าเฉิง”
เฉิงหรูยวนยังคงสวมใส่ชุดแดงเช่นเดิม ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ “แม่นางมั่ว เรื่องตระกูลซั่งกวนได้จบลงแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลไว้พระจันทร์แล้ว ตัวข้าสกุลเฉิงข้าเชิญท่านทั้งสองดื่มด่ำสุราสักครา ถือว่าเป็นการเลี้ยงส่งทั้งสองท่าน”
“ขอบคุณสหายเต๋าเฉิงแล้ว ใช่แล้ว ข้าน้อยยังไม่ได้แสดงความยินดีต่อสหายเต๋าเฉิงเลย” มั่วชิงเฉินยิ้มพลางพูดขึ้น
เฉิงหรูยวนเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงเรียบเฉยกว่าเดิม “ขอบคุณ”
มั่วชิงเฉินครุ่นคิด อาจเป็นเพราะว่าการเข้าสู่ตระกูลซั่งกวนไม่ได้เป็นความตั้งใจที่แท้จริงของเฉิงหรูยวน แต่เมื่อได้ยินบทสนทนาของสยงสี่คราวนั้นได้รับรู้ว่าสิ่งที่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหล่านี้ต้องการคือคุณสมบัติการเข้าไปในแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์
ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะต้องสูญเสียอะไร ได้รับอะไรแต่เดิมก็เป็นการเลือกของตัวพวกเขา การที่เป็นเพียงผู้ชมไม่เอ่ยวาจาออกมาก็พอแล้ว สำหรับความเห็นใจกลับไม่มีแม้แต่น้อย
เข้าไปในห้องเฉิงหรูยวน บนโต๊ะมีอาหารและกับข้าวมากมายวางตั้งไว้อยู่แล้ว
เฉิงหรูยวนอมยิ้มเชิญทั้งสองคนนั่งที่
ทั้งสองคนเพิ่งนั่งลง เสิ่นฉงเหวินก็สืบฝีเท้าเข้ามา เห็นทั้งมั่วชิงเฉินและถังมู่เฉินสีหน้าก็ดำคล้ำขึ้นมา หมุนตัวเตรียมจากไป
“ฉงเหวิน เจ้าจะไปไหน”
เสิ่นฉงเหวินหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่หันกลับมามอง “กลับห้อง”
เฉิงหรูยวนขมวดคิ้ว “ฉงเหวิน เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่ใจอีก ไม่นานสหายเต๋าถังและแม่นางมั่วก็จะจากไปแล้ว การลาจากครั้งนี้เกรงว่าคงจะมีโอกาสได้พบกันใหม่ยาก พวกเราถือเป็นเพื่อนกันก็ควรจะเลี้ยงฉลองกันสักครา”
“ข้าอิ่มแล้ว” เสิ่นฉงเหวินกัดฟันพูด แต่กลับหมุนตัวเดินกลับเข้ามา
“อืม ช่างหอมเสียจริง” ถังมู่เฉินจงใจขยับจมูก จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารคำหนึ่ง มองเสิ่นฉงเหวินอย่างหาเรื่อง
เสิ่นฉงเหวินกัดริมฝีปาก ฝืนกลืนกดความโกรธลงไป หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมดในรวดเดียว
ถังมู่เฉินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาจิบเบาๆ อึกหนึ่ง ยิ้มแย้มพูดขึ้นว่า “สหายเต๋าเฉิง ไม่ทราบว่างานแต่งของท่านกำหนดไว้เป็นวันใดหรือ”
เสิ่นฉงเหวินแค่นเสียงฮึดฮัด
เฉิงหรูยวนยิ้มแย้ม “เป็นวันไหว้พระจันทร์พอดี ฉะนั้นเมื่อถึงเวลานั้นข้าน้อยไม่อาจไปส่งได้”
“ไอหย๊า ช่างน่าเสียดายเสียจริง ข้าน้อยยังอยากเห็นเสียหน่อยสตรีผู้หนึ่งตบแต่งบุรุษหลายคนจะเป็นภาพเหตุการณ์เช่นไร เข้าห้องหอจะวุ่นวายขนาดไหน” ถังมู่เฉินสีหน้าเสียดาย
ขาที่อยู่ใต้โต๊ะของมั่วชิงเฉินเตะเขาอย่างรุนแรง
ถังมู่เฉินผิวสากหยาบหนา สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน จ้องมองรอคำตอบจากเฉิงหรูยวน
รอยยิ้มตรงมุมปากของเฉิงหรูยวนแข็งค้าง นิ้วที่จับแก้วเหล้ายิ่งจับแน่นขึ้น
เสียงดังเคร้งดังขึ้น เสิ่นฉงเหวินวางแก้วเหล้าลง “สกุลถัง เจ้าอย่าได้ทำตัวเกินเหตุ!”
ถังมู่เฉินเช็ดเปลือกตา “ข้าทำเกินเหตุอะไรกัน ข้าเพียงแต่พูดเรื่องจริงเท่านั้นเอง ถามเรื่องที่ทุกคนต่างสงสัย อีกอย่างสหายเต๋าเฉิงก็ไม่ได้มีนิสัยเป็นเด็กเหมือนใครบางคน ในเมื่อตนเองยินยอม และยิ่งไม่มีใครเอามีดมาจ่อคอขู่บังคับ แล้วจะมาทำท่าโทษดินโทษฟ้าให้ใครดูกัน”
“ถังมู่เฉิน!” เสิ่นฉงเหวินลุกขึ้นในทันใด
“น้องข้า!” เฉิงหรูยวนตะคอกออกมา ดึงให้เขานั่งลง จากนั้นก็หัวเราะเรียบๆ “สหายเต๋าถังพูดถูกแล้ว ขอบคุณสหายเต๋าถังที่เอ่ยเตือน หรูยวนขอเคารพท่านหนึ่งแก้ว”
ถังมู่เฉินยกแก้วเหล้าขึ้น ชนแก้วกับเฉิงหรูยวน
“แม่นางมั่ว นี่คือคนที่เจ้าชอบพอหรือ!” เสียงของเสิ่นฉงเหวินจู่ๆ ก็ดังขึ้นในหัว แฝงความเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอาไว้
มั่วชิงเฉินสีหน้านิ่งสนิท หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง
พบว่าตนเองโดนเมินความสนใจ สีหน้าของเสิ่นฉงเหวินยิ่งดำคล้ำกว่าเดิม ลืมเรื่องส่งกระแสจิตเสียงเรื่องนี้ไปพูดออกมาตรงๆ “ผมยาวเสียเปล่าแต่กลับโง่เขลา แววตาช่างต่ำช้าเสียจริง!”
มั่วชิงเฉินตื่นตะลึง ยกแก้วเหล้านิ่งค้างไป
อีกสองคนที่เหลือก็ตื่นตะลึงมองไปยังเสิ่นฉงเหวิน
เสิ่นฉงเหวินถึงรู้ตัวว่าตนเองลืมส่งกระแสจิตเสียง สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวสับเปลี่ยนกันไป จากนั้นก็ผลักเก้าอี้จากไปอย่างรวดเร็ว
เฉิงหรูยวนถอนหายใจด้วยความจนปัญญา “ทั้งสองท่านอย่าได้สนใจ พวกเราดื่มกันต่อ”
เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงคืนวันไหว้พระจันทร์
ตระกูลซั่งกวนต้อนรับการมาเยือนของเรื่องน่ายินดีในรอบหนึ่งร้อยปี คุณหนูทั้งสามคนตบแต่งหนึ่งสามีสามอนุพร้อมกัน และบุรุษเหล่านั้นล้วนเป็นชายหนุ่มรูปงามมากความสามารถจากดินแดนใกล้เคียงทั้งห้า
คืนวันแต่งงาน จวนสกุลซั่งกวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟ ผู้คนที่มาแสดงความยินดีมิขาดสาย
ส่วนมั่วชิงเฉินและถังมู่เฉินกลับมุ่งหน้าไปยังเขาจิ่วเฟิ่งด้วยการนำทางจากหญิงบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณผู้นี้ในตระกูลซั่งกวน
คนที่ร่วมเดินทางไปด้วยยังมีเสิ่นฉงเหวินที่สีหน้าดำคล้ำ เขาเป็นตัวแทนเฉิงหรูยวนมาส่งลา
“ไม่ทราบว่าพี่สาวมีนามว่ากระไร” ถังมู่เฉินยิ้มกว้างสดใส ดวงตาดอกท้อเป็นประกายสั่นไหว
หญิงบำเพ็ญหลุดหัวเราะออกมา “คุณชายช่างน่าตลกเสียจริง ข้าย่อมต้องสกุลซั่งกวนซิ”
ถังมู่เฉินตบหัวตัวเอง “อ่า ดูสมองข้าซิ พอเห็นแม่นางกลับคิดไม่ทันเสียแล้ว”
หญิงบำเพ็ญหัวเราะติดต่อกัน เห็นชัดว่าอารมณ์ดีอย่างมาก
มั่วชิงเฉินสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาประหนึ่งใบมีดของเสิ่นฉงเหวิน ลอยมาทางนาง
ถังมู่เฉินหยอกเย้าผู้อื่น แล้วเกี่ยวอะไรกับนางกัน
“แม่นางซั่งกวน ไม่ทราบว่าการใช้ม่านเคลื่อนย้ายระยะไกลครั้งนี้ นอกจากพวกเราแล้วยังมีกี่คนที่ไปด้วยกัน” ถังมู่เฉินเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ถึงได้โยนคำถามที่คิดอยากจะเข้าใจมาตั้งนานแล้วออกมา
หญิงบำเพ็ญยิ้มพลางพูดว่า “ยังมีอีกสองท่าน ตอนนี้ไปรอที่บริเวณนั้นแล้ว”
ถังมู่เฉินสบตามั่วชิงเฉินทีหนึ่ง
มั่วชิงเฉินพยักหน้าน้อยๆ อย่างไม่ให้ทันจับสังเกต แสดงท่าทีว่าเข้าใจแล้ว
ถังมู่เฉินรีบพูดว่า “เช่นนั้นต้องรบกวนแม่นางซั่งกวนรีบพาพวกเราไปกันเถิด จะได้ไม่ต้องให้สหายเต๋าอีกสองท่ารอคอย”
“รอก่อน!” ห่างออกไปไกลมีเสียงสตรีลอยมา
กลุ่มคนเงยหน้าขึ้นมองเห็นพี่น้องตระกูลหวงรีบวิ่งมาหา